JJNY : หนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส4/67 สูง│ยก 4 เหตุผล ขอกกต.ห้ามอุทธรณ์│“ริมาล” ทำหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้│มาครงเยือนเยอรมนี

หนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส4/67 สูง 91.3% ต่อจีดีพี แตะ 16.4 ล้านล้านบาท หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 3.5%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4596525
 
 
หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 4/67 ยังสูง 91.3% เพิ่มจากหนี้บัตรเครดิต สภาพัฒน์ กังวล หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อบ้าน แนะช่วยปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2567 ว่าในไตรมาส 4 ปี 2566 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.0% ชะลอลงจาก 3.4% ของไตรมาสก่อนหน้า หนี้ครัวเรือนนั้นมีแนวโน้มการขยายตัวที่ชะลอลง ผลส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของทางธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้หนี้ครัวเรือนที่ก่อขึ้นใหม่มีการปรับตัวลดลง

นายดนุชา กล่าวว่า ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 91.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยสินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวอย่างมาก โดยขยายตัว 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อยานยนต์หดตัว หดตัว -0.6% เคยขยายตัว 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า

เรื่องนี้เรื่องของหนี้ครัวเรือน ทางสภาพัฒน์ก็ส่งสัญญาณมาตลอดนานเป็นปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่มขึ้นของหนี้บัตรเครดิตที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้คงต้องมาช่วยกันดู เพราะเป็นเรื่องของอีโค่ ซิสเต็มของตลาดด้วย เข้าใจว่าทุกวันนี้ผ่อนทุกอย่างผ่านบัตรเครดิตได้ แถมยังมีผ่อนผ่านบัตรเครดิตยังส่วนลดด้วย เรียนตรงๆว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ เพราะมันเป็นเรื่องของตลาด เราทั้งค่านิยมของมันต้องมี ใช้จ่ายโดยไม่วงแผน ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขที่จริงจัง หนี้ครัวเรือนก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปแบบนี้” นายดนุชา กล่าว

นายดนุชา กล่าวว่า ขณะที่เรื่องของคุณภาพสินเชื่อนั้น ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท โดยหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.88% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.79% ในไตรมาสก่อน คุณภาพสินเชื่อทุกประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ดังนั้นคงต้องเร่งเข้าไปช่วยในการปรับโครงสร้างหนี้

นายดนุชา กล่าวว่า โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.34% จาก 3.24% ในไตรมาสก่อนหน้า เช่นเดียวกับ สินเชื่อที่ครัวเรือนใช้เสริม สภาพคล่อง คือ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อบัตรเคร มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% จาก 13.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ สินเชื่อรถยนต์ มีสัดส่วนหนี้เสียที่ชะลอตัวลงเหลือ 12.7% จาก 27.3% ในไตรมาสก่อนหน้า

นายดนุชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ หรือค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน จำแนกรายวัตถุประสงค์ ยังคงเป็นสินเชื่อยานยนต์ ที่ยังอยู่ในระดับที่สูง คือ 14.29% ต่อสินเชื่อโดยรวม ส่วนสินเชื่อทุกประเภทเริ่มชะลอการค้างชำระลงบ้างแล้ว

นายดนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ มีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนี้ของครัวเรือนรายได้ระดับปานกลางหรือล่าง โดยอาจต้องเฝ้าระวังและเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย และช่วยให้รักษาบ้านไว้ได้ เพราะเรื่องบ้านเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในชีวิต ถ้าไม่มีบ้านก็คงจะเกิดปัญหาเรื่องอื่นๆตามมา

นายดนุชา กล่าวว่า และ 2) การเร่งรัดสถาบันการเงินประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกหนี้เรื้อรังเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยอาจต้องเร่งสื่อสาร พร้อมมีแนวทางการปิดจบหนี้ที่เหมาะสมกับลูกหนี้รายกรณี เพื่อให้การดำเนินมาตรการประสบความสำเร็จ และเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน

หนี้ครัวเรือนนั้น มีการขยับตัวขึ้นเมื่อเกือบปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงโครงการบ้านหลังแรก ซึ่งถือเป็นการก่อหนี้เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้นยังโดตได้ดี ขณะที่หนี้ครัวก็มาพุ่งขึ้นแรงในช่วงโควิด แต่สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดี มีหลายปัญหาผสมกัน เพราฉะนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนในครั้งนี้เริ่มที่จะเกิดปัญหา ส่วนเรื่องของสินเชื่อบ้านแม้ทางทฤษฎีจะเป็นสินเชื่อที่ลงในลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและใช้ระยะเวลาผ่อนยาว ถ้าระหว่างทางเกิดกลางก็ต้องรีบช่วยกันดูแล” นายดนุชา กล่าว
 


ผู้สมัคร ส.ว.ยก 4 เหตุผล ขอ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ปมระเบียบแนะนำตัว
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4596368
 
ผู้สมัคร ส.ว. จี้ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง หลังมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบแนะนำตัวบางส่วน เพื่อให้คำสั่งมีผลทันที ให้ทุกคนแนะนำตัวอย่างเท่าเทียม
 
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้สมัคร ส.ว.ภาคประชาชน นำโดย น.ส.นารากร ติยายน นพ.ไพโรจน์ สว่างตระกูล น.ส.ชลณัฏฐ์ โกยกุล นายธีรชาติ ก่อตระกูล และนายทวีป วานิชย์หานนท์ เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.เรียกร้องให้ไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวของผู้สมัคร ส.ว. รวม 4 ข้อ

น.ส.นารากรกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเราประกอบด้วย 4 ข้อ คือ 

1. ตามข้อกฎหมายแล้ว หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา กกต.มีเวลา 30 วันในการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งพวกเราอยากให้ กกต.ไม่ยื่นอุทธรณ์ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลในทางปฏิบัติทันที จึงอยากให้ กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการโดยเร็วว่าจะไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ว.ทุกคนสามารถแนะนำตัวได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมปราศจากความหวาดกลัว
 
ข้อ 2 หาก กกต.มีการยกเลิกระเบียบฉบับเดิม และออกระเบียบฉบับใหม่ จะต้องไม่จำกัดเนื้อหาในการแนะนำตัว และไม่จำกัดการรับรู้ของประชาชน
 
ข้อ 3 กกต.ต้องประกาศสถานที่เลือกในระดับอำเภอโดยเร็ว แล้วต้องเป็นสถานที่ที่เป็นที่รู้จักเดินทางสะดวก อีกทั้งให้ความชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการแนวปฏิบัติว่าจะเลือกจะต้องทำอย่างไร ผู้สมัครต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ใช้เวลาในการเลือกเท่าใด
 
และข้อ 4 กกต.ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตการณ์เลือก ส.ว.ได้ตลอดกระบวนการ และให้ผู้สังเกตการณ์ ผู้สมัครมีสิทธิในการทักท้วงกระบวนการที่ไม่ชอบโดยกฎหมายโดยสะดวกและรวดเร็ว
 
ด้านนายทวีปกล่าวว่า ขณะนี้เวลากระชั้นชิดมาก หาก กกต.ยื่นอุทธรณ์แล้วศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จะถือว่า กกต.มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดลิดรอนสิทธิประชาชน คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ออกมาก็ระบุอยากให้การแนะนำตัวเป็นไปอย่างกว้างขวาง ให้ประชาชนได้รู้ว่าตัวแทนเป็นใครมาทำอะไร เพื่อประชาชนจะได้ตรวจสอบประวัติผู้สมัครได้ ซึ่งก็จะทำให้การคัดเลือกครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นายทวีปกล่าวว่า แค่ขั้นตอนการรับสมัครขณะนี้ตนก็มีข้อมูลว่าที่ จ.ชุมพร มีคนรวมกลุ่มกันสมัครคัดเลือกเพื่อบล็อกโหวต ทำให้การคัดเลือกที่ กกต.จัดขึ้นเป็นไปอย่างไม่สุจริตเที่ยงธรรม โดยเจอในกลุ่ม 8 คือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภคทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก็จะนำข้อมูลนี้ส่งให้กับ กกต.ด้วย
 
ขณะที่นายธีรชาติกล่าวว่า จำนวนผู้สมัครที่น้อยกว่า กกต.ตั้งเป้าไว้ เกิดจากความกลัวเรื่องกฎเกณฑ์การแนะนำตัว การที่ กกต.กำหนดให้ผู้สมัครแนะนำตัวกันในหมู่ผู้สมัครเท่านั้นก็ผิดธรรมชาติ เพราะปัจจุบันสื่อมันออนไลน์หมดแล้ว ตอนนี้คิดว่า กกต.ยังมีทางเลือกกลับมาสร้างความหวังให้กับประชาชน โดยต้องคิดว่าทำอย่างไรให้กระบวนการมีส่วนร่วม อยากให้ กกต.คิดได้ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ เพราะถ้าการเลือกไม่โปร่งใสก็จะกระทบต่อทุกคน จึงอยากให้มีการเปิดเผยให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบการคัดเลือกครั้งนี้ให้มากที่สุด


 
ไซโคลน “ริมาล” ทำชาวอินเดีย-บังกลาเทศหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
https://tna.mcot.net/world-1370277

ธากา/โกลกาตา 27 พ.ค.- ไซโคลนริมาล (Remal) ขึ้นฝั่งบังกลาเทศและอินเดียเมื่อค่ำวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนัก โค่นเสาไฟฟ้าและต้นไม้ล้ม ประชาชนหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
 
สำนักอุตุนิยมวิทยาอินเดียแจ้งว่า ไซโคลนพัดผ่านพื้นที่ริมชายฝั่งของท่าเรือมองลาของบังกลาเทศ และหมู่เกาะซาการ์ของอินเดีย โดยมีความเร็วลมวัดได้สูงสุด 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่สำนักอุตนิยมวิทยาระดับภูมิภาคในเมืองโกลกาตาของอินเดียแจ้งว่า  ไซโคลนเริ่มขึ้นฝั่งเมื่อเวลา 21:00 น.วันอาทิตย์ตามเวลาอินเดีย และพัดกระหน่ำต่อเนื่องนานถึง 5 ชั่วโมง ตำรวจโกลกาตาได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 1 คนเพราะก้อนคอนกรีตตกใส่ขณะเดินอยู่บนถนน
 
มีรายงานว่า กระท่อมและบ้านดินตามริมชายฝั่งของอินเดียและบังกลาเทศได้รับความเสียหายจากไซโคลนริมาล ซึ่งเป็นไซโคลนลูกแรกของปีนี้ ทางการบังกลาเทศได้อพยประชาชนประมาณ 800,000 คนออกจากพื้นที่ท่าเรือของเมืองมองลาและเมืองจิตตะกอง รวมถึงอำเภอริมชายฝั่งอีก 9 แห่ง ไปยังสถานที่พักพิงตั้งแต่บ่ายวันอาทิตย์ก่อนไซโคลนขึ้นฝั่ง ส่วนอินเดียอพยพประชาชนประมาณ 110,000 คน.-814.-สำนักข่าวไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่