หนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส4/67 สูง 91.3% ต่อจีดีพี แตะ 16.4 ล้านล้านบาท หนี้บัตรเครดิตพุ่ง 3.5%
https://www.matichon.co.th/economy/news_4596525
หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 4/67 ยังสูง 91.3% เพิ่มจากหนี้บัตรเครดิต สภาพัฒน์ กังวล หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อบ้าน แนะช่วยปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นาย
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2567 ว่าในไตรมาส 4 ปี 2566 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.0% ชะลอลงจาก 3.4% ของไตรมาสก่อนหน้า หนี้ครัวเรือนนั้นมีแนวโน้มการขยายตัวที่ชะลอลง ผลส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของทางธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้หนี้ครัวเรือนที่ก่อขึ้นใหม่มีการปรับตัวลดลง
นาย
ดนุชา กล่าวว่า ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 91.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยสินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวอย่างมาก โดยขยายตัว 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อยานยนต์หดตัว หดตัว -0.6% เคยขยายตัว 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า
“
เรื่องนี้เรื่องของหนี้ครัวเรือน ทางสภาพัฒน์ก็ส่งสัญญาณมาตลอดนานเป็นปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่มขึ้นของหนี้บัตรเครดิตที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้คงต้องมาช่วยกันดู เพราะเป็นเรื่องของอีโค่ ซิสเต็มของตลาดด้วย เข้าใจว่าทุกวันนี้ผ่อนทุกอย่างผ่านบัตรเครดิตได้ แถมยังมีผ่อนผ่านบัตรเครดิตยังส่วนลดด้วย เรียนตรงๆว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ เพราะมันเป็นเรื่องของตลาด เราทั้งค่านิยมของมันต้องมี ใช้จ่ายโดยไม่วงแผน ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขที่จริงจัง หนี้ครัวเรือนก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปแบบนี้” นาย
ดนุชา กล่าว
นาย
ดนุชา กล่าวว่า ขณะที่เรื่องของคุณภาพสินเชื่อนั้น ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท โดยหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.88% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.79% ในไตรมาสก่อน คุณภาพสินเชื่อทุกประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ดังนั้นคงต้องเร่งเข้าไปช่วยในการปรับโครงสร้างหนี้
นาย
ดนุชา กล่าวว่า โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.34% จาก 3.24% ในไตรมาสก่อนหน้า เช่นเดียวกับ สินเชื่อที่ครัวเรือนใช้เสริม สภาพคล่อง คือ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อบัตรเคร มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% จาก 13.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ สินเชื่อรถยนต์ มีสัดส่วนหนี้เสียที่ชะลอตัวลงเหลือ 12.7% จาก 27.3% ในไตรมาสก่อนหน้า
นาย
ดนุชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ หรือค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน จำแนกรายวัตถุประสงค์ ยังคงเป็นสินเชื่อยานยนต์ ที่ยังอยู่ในระดับที่สูง คือ 14.29% ต่อสินเชื่อโดยรวม ส่วนสินเชื่อทุกประเภทเริ่มชะลอการค้างชำระลงบ้างแล้ว
นาย
ดนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ มีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนี้ของครัวเรือนรายได้ระดับปานกลางหรือล่าง โดยอาจต้องเฝ้าระวังและเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย และช่วยให้รักษาบ้านไว้ได้ เพราะเรื่องบ้านเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในชีวิต ถ้าไม่มีบ้านก็คงจะเกิดปัญหาเรื่องอื่นๆตามมา
นาย
ดนุชา กล่าวว่า และ 2) การเร่งรัดสถาบันการเงินประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกหนี้เรื้อรังเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยอาจต้องเร่งสื่อสาร พร้อมมีแนวทางการปิดจบหนี้ที่เหมาะสมกับลูกหนี้รายกรณี เพื่อให้การดำเนินมาตรการประสบความสำเร็จ และเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน
“
หนี้ครัวเรือนนั้น มีการขยับตัวขึ้นเมื่อเกือบปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงโครงการบ้านหลังแรก ซึ่งถือเป็นการก่อหนี้เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้นยังโดตได้ดี ขณะที่หนี้ครัวก็มาพุ่งขึ้นแรงในช่วงโควิด แต่สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดี มีหลายปัญหาผสมกัน เพราฉะนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนในครั้งนี้เริ่มที่จะเกิดปัญหา ส่วนเรื่องของสินเชื่อบ้านแม้ทางทฤษฎีจะเป็นสินเชื่อที่ลงในลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและใช้ระยะเวลาผ่อนยาว ถ้าระหว่างทางเกิดกลางก็ต้องรีบช่วยกันดูแล” นาย
ดนุชา กล่าว
ผู้สมัคร ส.ว.ยก 4 เหตุผล ขอ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ปมระเบียบแนะนำตัว
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4596368
ผู้สมัคร ส.ว. จี้ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง หลังมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบแนะนำตัวบางส่วน เพื่อให้คำสั่งมีผลทันที ให้ทุกคนแนะนำตัวอย่างเท่าเทียม
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้สมัคร ส.ว.ภาคประชาชน นำโดย น.ส.
นารากร ติยายน นพ.
ไพโรจน์ สว่างตระกูล น.ส.
ชลณัฏฐ์ โกยกุล นาย
ธีรชาติ ก่อตระกูล และนาย
ทวีป วานิชย์หานนท์ เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.เรียกร้องให้ไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวของผู้สมัคร ส.ว. รวม 4 ข้อ
น.ส.
นารากรกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเราประกอบด้วย 4 ข้อ คือ
1. ตามข้อกฎหมายแล้ว หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา กกต.มีเวลา 30 วันในการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งพวกเราอยากให้ กกต.ไม่ยื่นอุทธรณ์ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลในทางปฏิบัติทันที จึงอยากให้ กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการโดยเร็วว่าจะไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ว.ทุกคนสามารถแนะนำตัวได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมปราศจากความหวาดกลัว
ข้อ 2 หาก กกต.มีการยกเลิกระเบียบฉบับเดิม และออกระเบียบฉบับใหม่ จะต้องไม่จำกัดเนื้อหาในการแนะนำตัว และไม่จำกัดการรับรู้ของประชาชน
ข้อ 3 กกต.ต้องประกาศสถานที่เลือกในระดับอำเภอโดยเร็ว แล้วต้องเป็นสถานที่ที่เป็นที่รู้จักเดินทางสะดวก อีกทั้งให้ความชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการแนวปฏิบัติว่าจะเลือกจะต้องทำอย่างไร ผู้สมัครต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ใช้เวลาในการเลือกเท่าใด
และข้อ 4 กกต.ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตการณ์เลือก ส.ว.ได้ตลอดกระบวนการ และให้ผู้สังเกตการณ์ ผู้สมัครมีสิทธิในการทักท้วงกระบวนการที่ไม่ชอบโดยกฎหมายโดยสะดวกและรวดเร็ว
ด้านนาย
ทวีปกล่าวว่า ขณะนี้เวลากระชั้นชิดมาก หาก กกต.ยื่นอุทธรณ์แล้วศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จะถือว่า กกต.มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดลิดรอนสิทธิประชาชน คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ออกมาก็ระบุอยากให้การแนะนำตัวเป็นไปอย่างกว้างขวาง ให้ประชาชนได้รู้ว่าตัวแทนเป็นใครมาทำอะไร เพื่อประชาชนจะได้ตรวจสอบประวัติผู้สมัครได้ ซึ่งก็จะทำให้การคัดเลือกครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นาย
ทวีปกล่าวว่า แค่ขั้นตอนการรับสมัครขณะนี้ตนก็มีข้อมูลว่าที่ จ.ชุมพร มีคนรวมกลุ่มกันสมัครคัดเลือกเพื่อบล็อกโหวต ทำให้การคัดเลือกที่ กกต.จัดขึ้นเป็นไปอย่างไม่สุจริตเที่ยงธรรม โดยเจอในกลุ่ม 8 คือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภคทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก็จะนำข้อมูลนี้ส่งให้กับ กกต.ด้วย
ขณะที่นาย
ธีรชาติกล่าวว่า จำนวนผู้สมัครที่น้อยกว่า กกต.ตั้งเป้าไว้ เกิดจากความกลัวเรื่องกฎเกณฑ์การแนะนำตัว การที่ กกต.กำหนดให้ผู้สมัครแนะนำตัวกันในหมู่ผู้สมัครเท่านั้นก็ผิดธรรมชาติ เพราะปัจจุบันสื่อมันออนไลน์หมดแล้ว ตอนนี้คิดว่า กกต.ยังมีทางเลือกกลับมาสร้างความหวังให้กับประชาชน โดยต้องคิดว่าทำอย่างไรให้กระบวนการมีส่วนร่วม อยากให้ กกต.คิดได้ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ เพราะถ้าการเลือกไม่โปร่งใสก็จะกระทบต่อทุกคน จึงอยากให้มีการเปิดเผยให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบการคัดเลือกครั้งนี้ให้มากที่สุด
ไซโคลน “ริมาล” ทำชาวอินเดีย-บังกลาเทศหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
https://tna.mcot.net/world-1370277
ธากา/โกลกาตา 27 พ.ค.- ไซโคลนริมาล (Remal) ขึ้นฝั่งบังกลาเทศและอินเดียเมื่อค่ำวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนัก โค่นเสาไฟฟ้าและต้นไม้ล้ม ประชาชนหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
สำนักอุตุนิยมวิทยาอินเดียแจ้งว่า ไซโคลนพัดผ่านพื้นที่ริมชายฝั่งของท่าเรือมองลาของบังกลาเทศ และหมู่เกาะซาการ์ของอินเดีย โดยมีความเร็วลมวัดได้สูงสุด 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่สำนักอุตนิยมวิทยาระดับภูมิภาคในเมืองโกลกาตาของอินเดียแจ้งว่า ไซโคลนเริ่มขึ้นฝั่งเมื่อเวลา 21:00 น.วันอาทิตย์ตามเวลาอินเดีย และพัดกระหน่ำต่อเนื่องนานถึง 5 ชั่วโมง ตำรวจโกลกาตาได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 1 คนเพราะก้อนคอนกรีตตกใส่ขณะเดินอยู่บนถนน
มีรายงานว่า กระท่อมและบ้านดินตามริมชายฝั่งของอินเดียและบังกลาเทศได้รับความเสียหายจากไซโคลนริมาล ซึ่งเป็นไซโคลนลูกแรกของปีนี้ ทางการบังกลาเทศได้อพยประชาชนประมาณ 800,000 คนออกจากพื้นที่ท่าเรือของเมืองมองลาและเมืองจิตตะกอง รวมถึงอำเภอริมชายฝั่งอีก 9 แห่ง ไปยังสถานที่พักพิงตั้งแต่บ่ายวันอาทิตย์ก่อนไซโคลนขึ้นฝั่ง ส่วนอินเดียอพยพประชาชนประมาณ 110,000 คน.-814.-สำนักข่าวไทย
JJNY : หนี้ครัวเรือนไทย ไตรมาส4/67 สูง│ยก 4 เหตุผล ขอกกต.ห้ามอุทธรณ์│“ริมาล” ทำหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้│มาครงเยือนเยอรมนี
https://www.matichon.co.th/economy/news_4596525
หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 4/67 ยังสูง 91.3% เพิ่มจากหนี้บัตรเครดิต สภาพัฒน์ กังวล หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อบ้าน แนะช่วยปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยถึงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2567 ว่าในไตรมาส 4 ปี 2566 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.0% ชะลอลงจาก 3.4% ของไตรมาสก่อนหน้า หนี้ครัวเรือนนั้นมีแนวโน้มการขยายตัวที่ชะลอลง ผลส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของทางธนาคารพาณิชย์เริ่มมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้หนี้ครัวเรือนที่ก่อขึ้นใหม่มีการปรับตัวลดลง
นายดนุชา กล่าวว่า ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่ 91.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ หนี้ครัวเรือนขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยสินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัวอย่างมาก โดยขยายตัว 3.5% เพิ่มขึ้นจาก 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อยานยนต์หดตัว หดตัว -0.6% เคยขยายตัว 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า
“เรื่องนี้เรื่องของหนี้ครัวเรือน ทางสภาพัฒน์ก็ส่งสัญญาณมาตลอดนานเป็นปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการเพิ่มขึ้นของหนี้บัตรเครดิตที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอันนี้คงต้องมาช่วยกันดู เพราะเป็นเรื่องของอีโค่ ซิสเต็มของตลาดด้วย เข้าใจว่าทุกวันนี้ผ่อนทุกอย่างผ่านบัตรเครดิตได้ แถมยังมีผ่อนผ่านบัตรเครดิตยังส่วนลดด้วย เรียนตรงๆว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ เพราะมันเป็นเรื่องของตลาด เราทั้งค่านิยมของมันต้องมี ใช้จ่ายโดยไม่วงแผน ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขที่จริงจัง หนี้ครัวเรือนก็คงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไปแบบนี้” นายดนุชา กล่าว
นายดนุชา กล่าวว่า ขณะที่เรื่องของคุณภาพสินเชื่อนั้น ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท โดยหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.88% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.79% ในไตรมาสก่อน คุณภาพสินเชื่อทุกประเภทมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ดังนั้นคงต้องเร่งเข้าไปช่วยในการปรับโครงสร้างหนี้
นายดนุชา กล่าวว่า โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3.34% จาก 3.24% ในไตรมาสก่อนหน้า เช่นเดียวกับ สินเชื่อที่ครัวเรือนใช้เสริม สภาพคล่อง คือ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อบัตรเคร มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นเป็น 17.5% จาก 13.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ สินเชื่อรถยนต์ มีสัดส่วนหนี้เสียที่ชะลอตัวลงเหลือ 12.7% จาก 27.3% ในไตรมาสก่อนหน้า
นายดนุชา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ หรือค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน จำแนกรายวัตถุประสงค์ ยังคงเป็นสินเชื่อยานยนต์ ที่ยังอยู่ในระดับที่สูง คือ 14.29% ต่อสินเชื่อโดยรวม ส่วนสินเชื่อทุกประเภทเริ่มชะลอการค้างชำระลงบ้างแล้ว
นายดนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ มีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนี้ของครัวเรือนรายได้ระดับปานกลางหรือล่าง โดยอาจต้องเฝ้าระวังและเร่งปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มนี้ในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดหนี้เสีย และช่วยให้รักษาบ้านไว้ได้ เพราะเรื่องบ้านเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในชีวิต ถ้าไม่มีบ้านก็คงจะเกิดปัญหาเรื่องอื่นๆตามมา
นายดนุชา กล่าวว่า และ 2) การเร่งรัดสถาบันการเงินประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกหนี้เรื้อรังเข้าร่วมมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยอาจต้องเร่งสื่อสาร พร้อมมีแนวทางการปิดจบหนี้ที่เหมาะสมกับลูกหนี้รายกรณี เพื่อให้การดำเนินมาตรการประสบความสำเร็จ และเกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน
“หนี้ครัวเรือนนั้น มีการขยับตัวขึ้นเมื่อเกือบปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงโครงการบ้านหลังแรก ซึ่งถือเป็นการก่อหนี้เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนั้นยังโดตได้ดี ขณะที่หนี้ครัวก็มาพุ่งขึ้นแรงในช่วงโควิด แต่สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดี มีหลายปัญหาผสมกัน เพราฉะนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนในครั้งนี้เริ่มที่จะเกิดปัญหา ส่วนเรื่องของสินเชื่อบ้านแม้ทางทฤษฎีจะเป็นสินเชื่อที่ลงในลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและใช้ระยะเวลาผ่อนยาว ถ้าระหว่างทางเกิดกลางก็ต้องรีบช่วยกันดูแล” นายดนุชา กล่าว
ผู้สมัคร ส.ว.ยก 4 เหตุผล ขอ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ปมระเบียบแนะนำตัว
https://www.matichon.co.th/politics/thai-senate-2024/news_4596368
ผู้สมัคร ส.ว. จี้ กกต.ห้ามอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง หลังมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบแนะนำตัวบางส่วน เพื่อให้คำสั่งมีผลทันที ให้ทุกคนแนะนำตัวอย่างเท่าเทียม
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้สมัคร ส.ว.ภาคประชาชน นำโดย น.ส.นารากร ติยายน นพ.ไพโรจน์ สว่างตระกูล น.ส.ชลณัฏฐ์ โกยกุล นายธีรชาติ ก่อตระกูล และนายทวีป วานิชย์หานนท์ เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.เรียกร้องให้ไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้เพิกถอนระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวของผู้สมัคร ส.ว. รวม 4 ข้อ
น.ส.นารากรกล่าวว่า ข้อเรียกร้องของเราประกอบด้วย 4 ข้อ คือ
1. ตามข้อกฎหมายแล้ว หลังศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา กกต.มีเวลา 30 วันในการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งพวกเราอยากให้ กกต.ไม่ยื่นอุทธรณ์ เพื่อให้คำพิพากษาของศาลปกครองกลางมีผลในทางปฏิบัติทันที จึงอยากให้ กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการโดยเร็วว่าจะไม่ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าว เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ว.ทุกคนสามารถแนะนำตัวได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมปราศจากความหวาดกลัว
ข้อ 2 หาก กกต.มีการยกเลิกระเบียบฉบับเดิม และออกระเบียบฉบับใหม่ จะต้องไม่จำกัดเนื้อหาในการแนะนำตัว และไม่จำกัดการรับรู้ของประชาชน
ข้อ 3 กกต.ต้องประกาศสถานที่เลือกในระดับอำเภอโดยเร็ว แล้วต้องเป็นสถานที่ที่เป็นที่รู้จักเดินทางสะดวก อีกทั้งให้ความชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการแนวปฏิบัติว่าจะเลือกจะต้องทำอย่างไร ผู้สมัครต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ใช้เวลาในการเลือกเท่าใด
และข้อ 4 กกต.ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตการณ์เลือก ส.ว.ได้ตลอดกระบวนการ และให้ผู้สังเกตการณ์ ผู้สมัครมีสิทธิในการทักท้วงกระบวนการที่ไม่ชอบโดยกฎหมายโดยสะดวกและรวดเร็ว
ด้านนายทวีปกล่าวว่า ขณะนี้เวลากระชั้นชิดมาก หาก กกต.ยื่นอุทธรณ์แล้วศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จะถือว่า กกต.มีความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดลิดรอนสิทธิประชาชน คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ออกมาก็ระบุอยากให้การแนะนำตัวเป็นไปอย่างกว้างขวาง ให้ประชาชนได้รู้ว่าตัวแทนเป็นใครมาทำอะไร เพื่อประชาชนจะได้ตรวจสอบประวัติผู้สมัครได้ ซึ่งก็จะทำให้การคัดเลือกครั้งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายทวีปกล่าวว่า แค่ขั้นตอนการรับสมัครขณะนี้ตนก็มีข้อมูลว่าที่ จ.ชุมพร มีคนรวมกลุ่มกันสมัครคัดเลือกเพื่อบล็อกโหวต ทำให้การคัดเลือกที่ กกต.จัดขึ้นเป็นไปอย่างไม่สุจริตเที่ยงธรรม โดยเจอในกลุ่ม 8 คือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภคทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก็จะนำข้อมูลนี้ส่งให้กับ กกต.ด้วย
ขณะที่นายธีรชาติกล่าวว่า จำนวนผู้สมัครที่น้อยกว่า กกต.ตั้งเป้าไว้ เกิดจากความกลัวเรื่องกฎเกณฑ์การแนะนำตัว การที่ กกต.กำหนดให้ผู้สมัครแนะนำตัวกันในหมู่ผู้สมัครเท่านั้นก็ผิดธรรมชาติ เพราะปัจจุบันสื่อมันออนไลน์หมดแล้ว ตอนนี้คิดว่า กกต.ยังมีทางเลือกกลับมาสร้างความหวังให้กับประชาชน โดยต้องคิดว่าทำอย่างไรให้กระบวนการมีส่วนร่วม อยากให้ กกต.คิดได้ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ เพราะถ้าการเลือกไม่โปร่งใสก็จะกระทบต่อทุกคน จึงอยากให้มีการเปิดเผยให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบการคัดเลือกครั้งนี้ให้มากที่สุด
ไซโคลน “ริมาล” ทำชาวอินเดีย-บังกลาเทศหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
https://tna.mcot.net/world-1370277
ธากา/โกลกาตา 27 พ.ค.- ไซโคลนริมาล (Remal) ขึ้นฝั่งบังกลาเทศและอินเดียเมื่อค่ำวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น ทำให้เกิดลมกระโชกแรงและฝนตกหนัก โค่นเสาไฟฟ้าและต้นไม้ล้ม ประชาชนหลายล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
สำนักอุตุนิยมวิทยาอินเดียแจ้งว่า ไซโคลนพัดผ่านพื้นที่ริมชายฝั่งของท่าเรือมองลาของบังกลาเทศ และหมู่เกาะซาการ์ของอินเดีย โดยมีความเร็วลมวัดได้สูงสุด 135 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่สำนักอุตนิยมวิทยาระดับภูมิภาคในเมืองโกลกาตาของอินเดียแจ้งว่า ไซโคลนเริ่มขึ้นฝั่งเมื่อเวลา 21:00 น.วันอาทิตย์ตามเวลาอินเดีย และพัดกระหน่ำต่อเนื่องนานถึง 5 ชั่วโมง ตำรวจโกลกาตาได้รับรายงานผู้เสียชีวิต 1 คนเพราะก้อนคอนกรีตตกใส่ขณะเดินอยู่บนถนน
มีรายงานว่า กระท่อมและบ้านดินตามริมชายฝั่งของอินเดียและบังกลาเทศได้รับความเสียหายจากไซโคลนริมาล ซึ่งเป็นไซโคลนลูกแรกของปีนี้ ทางการบังกลาเทศได้อพยประชาชนประมาณ 800,000 คนออกจากพื้นที่ท่าเรือของเมืองมองลาและเมืองจิตตะกอง รวมถึงอำเภอริมชายฝั่งอีก 9 แห่ง ไปยังสถานที่พักพิงตั้งแต่บ่ายวันอาทิตย์ก่อนไซโคลนขึ้นฝั่ง ส่วนอินเดียอพยพประชาชนประมาณ 110,000 คน.-814.-สำนักข่าวไทย