แบงก์ผวาหนี้เสีย ตั้งการ์ดสูงปล่อยกู้ซื้อบ้าน อสังหาห่วงดันยอดรีเจ็กต์เรตพุ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4595853
แบงก์ผวาหนี้เสีย ตั้งการ์ดสูงปล่อยกู้ซื้อบ้าน อสังหาห่วงดันยอดรีเจ็กต์เรตพุ่ง
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม นาย
อิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุตัวเลขหนี้เสียสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นจาก 3.34% เป็น 3.49% นั้น สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างต่อเนื่องมาหลายปี นับจากวิกฤตโควิด-19 และภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเกิน 90% ของจีดีพี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง และการขอสินเชื่อจากธนาคารก็จะยากขึ้น เนื่องจากต่อไปธนาคารจะตั้งการ์ดสูง เพื่อป้องกันหนี้เสียเพิ่ม โดยจะเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อ หรือรีเจ็กต์เรตสูงขึ้น จากปัจจุบันที่เกิน 30%
นาย
อิสระกล่าวว่า สำหรับในวันที่ 27 พฤษภาคม ที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดแรก ซึ่งจะมีสภาพัฒน์ หน่วยงานวิชาการด้านเศรษฐกิจ รวมถึง ธปท.ที่คุมภาคการเงินร่วมประชุมด้วย ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฝ่ายรัฐบาลผู้ปฏิบัติ นักวิชาการอย่างสภาพัฒน์และฝ่ายการเงินโดย ธปท.นำข้อมูลมาพิจารณาและรับฟังปัญหาร่วมกัน เชื่อว่าจะมีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้นในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการขับเคลื่อนออกมา
“
โดยเฉพาะงบประมาณปี 2567 ที่มีอยู่ในมือภาครัฐ ซึ่งยังเหลือเวลาใช้ถึงเดือนกันยายนนี้เท่านั้น ซึ่งหากรัฐสามารถผลักดันงบประมาณออกมาได้ และมีการเดินหน้าโครงการต่างตามมา รวมถึงการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน เพิ่มกิจกรรมการท่องเที่ยว ให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ หาตลาดใหม่ให้การส่งออก จะสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคเอกชนให้เกิดการลงทุนตามมา ซึ่งงบประมาณรัฐถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวและจีดีพีเติบโตได้ หลังไตรมาสแรกโตแค่ 1.5%” นาย
อิสระกล่าว
8 ปี สายสีแดง “Missing Link” ยังไม่จบ! บอร์ด รฟท. ตีกลับ หวั่นกระทบรถไฟไฮสปีด 3 สนามบิน
https://www.dailynews.co.th/news/3472820/
นาย
อนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) รฟท. ซึ่งมีนาย
จิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เป็นประธาน มีมติให้ รฟท. นำเรื่องการปรับกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง (Missing Link) กลับไปทบทวนรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถี จากเดิมอยู่ฝั่งบ้านราชวิถี มาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี จะเป็นปัญหา หรือส่งผลกระทบต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด)เชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไม่ เพราะพื้นที่ทั้ง 2 โครงการอยู่ใกล้กัน ทั้งนี้ให้ รฟท. เสนอบอร์ด รฟท. อีกครั้งในเดือน มิ.ย.67
นาย
อนันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับการปรับแบบย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถีนั้น ได้มีการย้ายตำแหน่งสถานี จากเดิมอยู่ฝั่งบ้านราชวิถี ก็ขยับลงไปทางด้านทิศใต้ และเปลี่ยนมาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ใกล้โรงพยาบาลรามาธิบดีมากขึ้น โดยเป็นสถานีใต้ดิน และมีทางเดินลอยฟ้า(สกายวอล์ก) จากสถานีเชื่อมเช้าสู่อาคารของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้โดยสารเดินทางเชื่อมต่อได้อย่างสะดวกสบาย ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 400 ล้านบาท จากวงเงินเดิมที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อปี 59 ประมาณ 4.41 หมื่นล้านบาท โดยที่ประชุมขอทราบหลักการเหตุผลของการย้ายตำแหน่งสถานีที่ชัดเจนอีกครั้ง รวมทั้งการเจรจากับเอกชน เพราะที่นำเสนอมาข้อมูลยังไม่ครบถ้วน
นาย
อนันต์ กล่าวอีกว่า รฟท. ต้องตอบให้ชัดเจนว่าย้ายสถานีแล้วเกิดประโยชน์อย่างไร และมีผลกระทบกับโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินหรือไม่ หากเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้วควรมีเอกสารยืนยันที่ชัดเจน ซึ่งแม้ว่า รฟท. จะนำเสนอว่าหารือกับเอกชน และยืนยันพื้นที่ก่อสร้างกันแล้ว แต่ก็ต้องมีเอกสารยืนยันให้ชัดเจนว่าไม่กระทบใคร เพราะไม่อยากให้อนุมัติแล้วมีปัญหาตามมาภายหลัง ที่ประชุมจึงยังไม่อนุมัติ ต้องการทำให้เรื่องนี้ชัดเจนที่สุดก่อน เพราะกังวลว่าจะกระทบกับโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Missing Link ยังเป็นโครงการที่ รฟท. อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่ได้มีข้อสรุปว่าจะยกเลิกดำเนินโครงการ Missing Link แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซีพี) ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน จะกังวลเรื่องเส้นทางทับซ้อน และปัญหาการแย่งผู้โดยสารกับ Missing Link หรือไม่ เพราะเส้นทางเดินรถทั้ง 2 โครงการมีเส้นทางบางส่วนอยู่ในแนวเดียวกัน นายอนันต์ กล่าวว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะแม้จะแนวเส้นทางเดียวกันคู่ขนานกันไป แต่รถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินไม่มีสถานีจอดที่สถานีราชวิถี โดยรถไฟไฮสปีดฯ เมื่อมาจากอู่ตะเภา จะมาจอดที่สถานีพญาไท และมุ่งหน้าไปสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เป็นสถานีถัดไป ดังนั้นผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟไฮสปีดฯ และต้องการมายังสถานีราชวิถี หรือบริเวณโรงพยาบางรามาธิบดี ต้องลงต่อรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีพญาไท ทั้งนี้สายสีแดงแบ่งเป็น 2 สายคือ สีแดงอ่อน (East-West) ช่วงศาลายา ตลิ่งชัน บางซื่อ และหัวหมาก และสีแดงเข้ม (North-South) ช่วงรังสิต บางซื่อ และหัวลำโพง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับโครงการ Missing Link ระยะทาง 25.9 กม. ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติการก่อสร้างฯ วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ก.ค.59 ปัจจุบันผ่านมาเกือบ 8 ปีแล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่ชัดเจน รฟท. ยังอยู่ระหว่างปรับแบบก่อสร้าง และย้ายตำแหน่งสถานีใหม่ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวน และรูปแบบโครงสร้างสถานี และต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ใหม่ ล่าสุดกรมการขนส่งทางราง(ขร.) จึงไม่ได้นำเส้นทางดังกล่าว บรรจุในแผนพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 (M-MAP 2) แต่หากในอนาคตโครงการนี้ชัดเจน ขร. ก็จะนำมาบรรจุใน M-MAP 2 และเสนอกระทรวงคมนาคม พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.) ต่อไป.
ผู้สมัคร ส.ว.บุก กกต. จี้รื้อระเบียบแนะนำตัวถกศาล
https://www.matichon.co.th/politics/news_4595850
ผู้สมัคร ส.ว.บุก กกต. จี้รื้อระเบียบแนะนำตัวถกศาล
กรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 2567 ให้อิสระผู้สมัครในการแนะนำตัวมากขึ้น
มีรายงานว่า สำนักงานได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาคำพิพากษาของศาลปกครอง เพื่อเสนอให้ที่ประชุมกกต.ได้พิจารณาในการประชุมวันที่ 27 พฤษภาคม ว่าควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้สมัครส.ว. เนื่องจากระเบียบกกต.ฉบับเดิมยังถือว่ามีผลบังคับใช้อยู่ตามมาตรา 70 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ที่กำหนดว่ากรณีคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ให้รอการปฏิบัติตามคำบังคับจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า ขณะที่ในวันที่ 27 พฤษภาคม กลุ่มผู้สมัครส.ว. ภาคประชาชน Senate for Change นำโดย นาย
พนัส ทัศนียานนท์ นพ.
ไพโรจน์ สว่างตระกูล และน.ส.ช
ลณัฏฐ์ โกยกุล เตรียมยื่นข้อเรียกร้องต่อ กกต. กรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบกกต.ดังกล่าว ทำให้การแนะนำตัวจะไม่มีข้อจำกัดทั้งในแง่ของรูปแบบ เนื้อหา ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวกันได้อย่างอิสระ แต่เนื่องจากผลของคำพิพากษายังไม่เกิดขึ้นทันที เพราะ กกต.ยังมีสิทธิจะอุทธรณ์คำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางภายใน 30 วัน
ดังนั้น กลุ่มผู้สมัครส.ว.ภาคประชาชน จะเดินไปยังกกต.เพื่อเรียกร้องประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. กกต. ต้องไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าว และแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดความชัดเจน
2. หาก กกต. เลือกที่จะออกระเบียบการแนะนำตัวใหม่ ระเบียบที่ออกมาจะต้องไม่ขัดกับแนวทางที่ศาลปกครองวางไว้ ไม่จำกัดการรับรู้หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้สมัคร ส.ว. และต้องคำนึงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ
JJNY : แบงก์ผวาหนี้เสีย อสังหาห่วง│8 ปี สายสีแดง“Missing Link”ยังไม่จบ!│ผู้สมัคร ส.ว.บุก กกต.│ไซโคลน‘ริมาล’ถล่มบังกลาเทศ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4595853
เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกแบบ และก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุตัวเลขหนี้เสียสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นจาก 3.34% เป็น 3.49% นั้น สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างต่อเนื่องมาหลายปี นับจากวิกฤตโควิด-19 และภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นเกิน 90% ของจีดีพี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง และการขอสินเชื่อจากธนาคารก็จะยากขึ้น เนื่องจากต่อไปธนาคารจะตั้งการ์ดสูง เพื่อป้องกันหนี้เสียเพิ่ม โดยจะเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการถูกปฎิเสธสินเชื่อ หรือรีเจ็กต์เรตสูงขึ้น จากปัจจุบันที่เกิน 30%
นายอิสระกล่าวว่า สำหรับในวันที่ 27 พฤษภาคม ที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจนัดแรก ซึ่งจะมีสภาพัฒน์ หน่วยงานวิชาการด้านเศรษฐกิจ รวมถึง ธปท.ที่คุมภาคการเงินร่วมประชุมด้วย ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฝ่ายรัฐบาลผู้ปฏิบัติ นักวิชาการอย่างสภาพัฒน์และฝ่ายการเงินโดย ธปท.นำข้อมูลมาพิจารณาและรับฟังปัญหาร่วมกัน เชื่อว่าจะมีมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมากระตุ้นในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้รับการขับเคลื่อนออกมา
“โดยเฉพาะงบประมาณปี 2567 ที่มีอยู่ในมือภาครัฐ ซึ่งยังเหลือเวลาใช้ถึงเดือนกันยายนนี้เท่านั้น ซึ่งหากรัฐสามารถผลักดันงบประมาณออกมาได้ และมีการเดินหน้าโครงการต่างตามมา รวมถึงการลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน เพิ่มกิจกรรมการท่องเที่ยว ให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ หาตลาดใหม่ให้การส่งออก จะสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคเอกชนให้เกิดการลงทุนตามมา ซึ่งงบประมาณรัฐถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวและจีดีพีเติบโตได้ หลังไตรมาสแรกโตแค่ 1.5%” นายอิสระกล่าว
8 ปี สายสีแดง “Missing Link” ยังไม่จบ! บอร์ด รฟท. ตีกลับ หวั่นกระทบรถไฟไฮสปีด 3 สนามบิน
https://www.dailynews.co.th/news/3472820/
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) รฟท. ซึ่งมีนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เป็นประธาน มีมติให้ รฟท. นำเรื่องการปรับกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน และสายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง (Missing Link) กลับไปทบทวนรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถี จากเดิมอยู่ฝั่งบ้านราชวิถี มาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี จะเป็นปัญหา หรือส่งผลกระทบต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด)เชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือไม่ เพราะพื้นที่ทั้ง 2 โครงการอยู่ใกล้กัน ทั้งนี้ให้ รฟท. เสนอบอร์ด รฟท. อีกครั้งในเดือน มิ.ย.67
นายอนันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับการปรับแบบย้ายตำแหน่งสถานีราชวิถีนั้น ได้มีการย้ายตำแหน่งสถานี จากเดิมอยู่ฝั่งบ้านราชวิถี ก็ขยับลงไปทางด้านทิศใต้ และเปลี่ยนมาอยู่ฝั่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ใกล้โรงพยาบาลรามาธิบดีมากขึ้น โดยเป็นสถานีใต้ดิน และมีทางเดินลอยฟ้า(สกายวอล์ก) จากสถานีเชื่อมเช้าสู่อาคารของโรงพยาบาล เพื่อให้ผู้โดยสารเดินทางเชื่อมต่อได้อย่างสะดวกสบาย ส่งผลให้กรอบวงเงินโครงการเพิ่มขึ้นกว่า 400 ล้านบาท จากวงเงินเดิมที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อปี 59 ประมาณ 4.41 หมื่นล้านบาท โดยที่ประชุมขอทราบหลักการเหตุผลของการย้ายตำแหน่งสถานีที่ชัดเจนอีกครั้ง รวมทั้งการเจรจากับเอกชน เพราะที่นำเสนอมาข้อมูลยังไม่ครบถ้วน
นายอนันต์ กล่าวอีกว่า รฟท. ต้องตอบให้ชัดเจนว่าย้ายสถานีแล้วเกิดประโยชน์อย่างไร และมีผลกระทบกับโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินหรือไม่ หากเจรจากับเอกชนผู้รับสัมปทานแล้วควรมีเอกสารยืนยันที่ชัดเจน ซึ่งแม้ว่า รฟท. จะนำเสนอว่าหารือกับเอกชน และยืนยันพื้นที่ก่อสร้างกันแล้ว แต่ก็ต้องมีเอกสารยืนยันให้ชัดเจนว่าไม่กระทบใคร เพราะไม่อยากให้อนุมัติแล้วมีปัญหาตามมาภายหลัง ที่ประชุมจึงยังไม่อนุมัติ ต้องการทำให้เรื่องนี้ชัดเจนที่สุดก่อน เพราะกังวลว่าจะกระทบกับโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Missing Link ยังเป็นโครงการที่ รฟท. อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่ได้มีข้อสรุปว่าจะยกเลิกดำเนินโครงการ Missing Link แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (กลุ่มซีพี) ผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน จะกังวลเรื่องเส้นทางทับซ้อน และปัญหาการแย่งผู้โดยสารกับ Missing Link หรือไม่ เพราะเส้นทางเดินรถทั้ง 2 โครงการมีเส้นทางบางส่วนอยู่ในแนวเดียวกัน นายอนันต์ กล่าวว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะแม้จะแนวเส้นทางเดียวกันคู่ขนานกันไป แต่รถไฟไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินไม่มีสถานีจอดที่สถานีราชวิถี โดยรถไฟไฮสปีดฯ เมื่อมาจากอู่ตะเภา จะมาจอดที่สถานีพญาไท และมุ่งหน้าไปสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เป็นสถานีถัดไป ดังนั้นผู้โดยสารที่ใช้บริการรถไฟไฮสปีดฯ และต้องการมายังสถานีราชวิถี หรือบริเวณโรงพยาบางรามาธิบดี ต้องลงต่อรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีพญาไท ทั้งนี้สายสีแดงแบ่งเป็น 2 สายคือ สีแดงอ่อน (East-West) ช่วงศาลายา ตลิ่งชัน บางซื่อ และหัวหมาก และสีแดงเข้ม (North-South) ช่วงรังสิต บางซื่อ และหัวลำโพง
ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับโครงการ Missing Link ระยะทาง 25.9 กม. ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติการก่อสร้างฯ วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ก.ค.59 ปัจจุบันผ่านมาเกือบ 8 ปีแล้ว ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่ชัดเจน รฟท. ยังอยู่ระหว่างปรับแบบก่อสร้าง และย้ายตำแหน่งสถานีใหม่ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวน และรูปแบบโครงสร้างสถานี และต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) ใหม่ ล่าสุดกรมการขนส่งทางราง(ขร.) จึงไม่ได้นำเส้นทางดังกล่าว บรรจุในแผนพัฒนาโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ 2 (M-MAP 2) แต่หากในอนาคตโครงการนี้ชัดเจน ขร. ก็จะนำมาบรรจุใน M-MAP 2 และเสนอกระทรวงคมนาคม พิจารณาเสนอต่อคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.) ต่อไป.
ผู้สมัคร ส.ว.บุก กกต. จี้รื้อระเบียบแนะนำตัวถกศาล
https://www.matichon.co.th/politics/news_4595850
ผู้สมัคร ส.ว.บุก กกต. จี้รื้อระเบียบแนะนำตัวถกศาล
กรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 2567 ให้อิสระผู้สมัครในการแนะนำตัวมากขึ้น
มีรายงานว่า สำนักงานได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาคำพิพากษาของศาลปกครอง เพื่อเสนอให้ที่ประชุมกกต.ได้พิจารณาในการประชุมวันที่ 27 พฤษภาคม ว่าควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้สมัครส.ว. เนื่องจากระเบียบกกต.ฉบับเดิมยังถือว่ามีผลบังคับใช้อยู่ตามมาตรา 70 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง ที่กำหนดว่ากรณีคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ให้รอการปฏิบัติตามคำบังคับจนกว่าจะพ้นระยะเวลาการอุทธรณ์ หรือในกรณีที่มีการอุทธรณ์ให้รอการบังคับคดีไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานงานว่า ขณะที่ในวันที่ 27 พฤษภาคม กลุ่มผู้สมัครส.ว. ภาคประชาชน Senate for Change นำโดย นายพนัส ทัศนียานนท์ นพ. ไพโรจน์ สว่างตระกูล และน.ส.ชลณัฏฐ์ โกยกุล เตรียมยื่นข้อเรียกร้องต่อ กกต. กรณีศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบกกต.ดังกล่าว ทำให้การแนะนำตัวจะไม่มีข้อจำกัดทั้งในแง่ของรูปแบบ เนื้อหา ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวกันได้อย่างอิสระ แต่เนื่องจากผลของคำพิพากษายังไม่เกิดขึ้นทันที เพราะ กกต.ยังมีสิทธิจะอุทธรณ์คำวินิจฉัยของศาลปกครองกลางภายใน 30 วัน
ดังนั้น กลุ่มผู้สมัครส.ว.ภาคประชาชน จะเดินไปยังกกต.เพื่อเรียกร้องประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. กกต. ต้องไม่อุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าว และแถลงยืนยันอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เกิดความชัดเจน
2. หาก กกต. เลือกที่จะออกระเบียบการแนะนำตัวใหม่ ระเบียบที่ออกมาจะต้องไม่ขัดกับแนวทางที่ศาลปกครองวางไว้ ไม่จำกัดการรับรู้หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้สมัคร ส.ว. และต้องคำนึงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ