ผมจะไม่อยู่รอกระทู้จนกว่าราว 16.30 น. แต่รับรองพอกลับมา จะอ่านคห.ทุกท่านแน่นอนครับ

เกลเซอร์ : การซื้อผู้เล่นของเกลเซอร์คือ ซื้อดาวรุ่ง ที่ยังไม่มีใครสนใจไม่เป็น 

กรณีฮาแลนด์ที่โซลชาบอกว่าแนะนำให้แมนยูซื้อมา 2 ครั้ง ตอนนั้นค่าตัวยังแค่ 20 ล้านยูโร ตอนนี้ 100 ล้านปอนด์ยังซื้อไม่ได้

ไปซื้อนักเตะที่เป็นที่สนใจ ก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ทั้งค่าตัวและค่าเหนื่อย ; แถมไม่มี plan b พอไม่ได้ตัวที่ผู้จัดการทีม (ที่เป็นตำแหน่งเฉพาะในอังกฤษ ต่อไปภายใต้ระบบเซอร์จิม ทางปฏิบัติเราเรียก head coach แบบในยุโรป) ระบุชื่ออย่าง เคน ก็ไปคว้าตัวแพงอย่างฮอยลุนด์ ซึ่งโคลวิจารณ์ว่า ซื้อหน้าใหม่มา แต่ไม่มีกองหน้าเก่าให้ครูพักลักจำ

เทนฮากเสนอให้ซื้อเคน (มีประสพการณ์พิสูจน์ตัวเองแล้ว การันตีจำนวนประตูสูง) แต่ซื้อไม่ได้ก็ได้ผฮอยลุนด์ดาวรุ่งในราคาแพงเกินไป

ภายใต้ตระกูลเกลเซอร์ ที่ไม่รู้เรื่องฟุตบอลจริงๆ : มาตรฐานสนามฝึกซ้อม Old Traford ก็แย่ตามที่โรนัลโด้บอกจนเกิดฝนตกตอนอาร์เซน่อลมาเยือน

มี pre-season (หาเงิน) ฤดูกาลนี้ถึง 8 ครั้ง ทำให้นักเตะกรอบเร็ว

พนักงานได้สวัสดิการมากเกินควรทั้งทีมอยู่ในสถานะย่ำแย่ ขาดทุนมาหลายปีติดต่อกัน

ยังดีที่เกลเซอร์แม้จะโลภแต่ไม่โง่ รู้ว่าถ้าให้คนที่เลือกมาบริหารสโมสรต่อ มีแต่ทำให้ขายสปอนเซอร์ได้น้อย และพาลจะขาดทุนถึงขั้นไม่ได้เงินปันผลด้วยซ้ำ  จึงแบ่งขายหุ้นให้เซอร์จิม

เซอร์จิม : ถ้าไม่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ร่วม ผมยังมองไม่ออกว่า สโมสรจะคว้าแชมป์ใหญ่ (ucl, epl) เมื่อไหร่ แต่ก็ไม่น่าเร็วกว่า 3 ซีซั่นหน้า หวังว่าแฟนๆสโมสรจะรอกันได้

ทำงานเร็ว : ตั้ง ceo โอนาน่าเร็ว คุยกับซิตี้รู้เรื่อง เสียดายที่กว่าจะเข้ามาทำงานก็มิถุนา

ทาบทามแดน แอสเวิร์ด เป็น sport director เร็ว เสียที่ทางนิวคาสเซิ่ลขอค่าเสียหายสูง จนเจ้าตัวตัดสินใจขอตัวกลางยื่นเรื่องให้ศาลตัดสิน ซึ่งเซอร์จิมพร้อม support ค่าใช้จ่าย

พอพบปัญหา sport dircetor ก็รีบแต่งตั้ง เจสัน วิลคอกซ์ มาเป็น tecnicle director ทำให้การทำงานด้านฟุตบอลดูดีและเร็วขึ้น

แต่ถ้าภายใน 1 สัปดาห์หลัง fa cup การตัดสินใจผู้จัดการทีมยังไม่ชัดเจน ก็ถือว่าช้าเกินไป