ความคิดแรกคือเห็นแก่ตัวก่อน แต่พอมีแล้วกลับคิดอีกแบบหนึ่ง (การมีลูก)

สาเหตุ.................

คือตอนแรก อยากมีลูกเพราะว่า กลัวเหงาตอนแก่ กลัวอยู่คนเดียว กลัวลำบากตอนแก่ ใครจะป้อนข้าวป้อนน้ำ พาไปหาหมอ เช็ดอึเช็ดปัสสาวะให้ เพราะถึงมีญาติพี่น้อง แต่ก็เหมือนไม่มี ชนิดที่ว่าต่างคนต่างอยู่กันเลยทีเดียว  ถ้เมื่อก่อนคิดว่า อยากตายไวๆๆ จนเป็นโรคซึมเศร้า ไม่อยากไปไหน ไม่อยากทำอะไร ใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย ทำอะไรก็ไม่มีความสนุก ดูหนังก็ไม่สนุก กินข้าวก็ไม่อร่อย ไม่อยากเข้าสังคม เอาแต่โทษชะตาตัวเองว่าทำไมต้องเกิดมาเจอะอะไรแบบนี้ (เรื่องของครอบครัว ไม่ขอลงรายละเอียดน่ะ) ทำไมเกิดมาไม่เก่ง ไม่มีความสามารถอะไรเลย ทำอะไรก็ล้มเหลวไปหมด 

จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ยังไงก็อยากมีลูก จริงๆอยากมี 2 คน แต่สุดท้ายก็ได้แค่ คนเดียว 
ตอนที่จะมีลูกตอนนั้นคิดว่า อยากมีลูกไว้เป็นเพื่อนตอนแก่ (แต่ไม่ใช่ว่าคิดเรื่องอนาคตลูกน่ะ แต่คิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรกก่อน แล้วแถมยังคิดว่า อย่างน้อยถ้ามีลูก โอกาส 50-50 ที่เค้าจะดูแลหรือไม่ดูแลถ้าเทียบกับการไม่มีลูก ไม่มีคนดูแล 100%) อยากมีลูก 2 คนเพราะกลัวว่าถ้ามีคนเดียวกลัวเค้าเหงา ถ้าเราตายไปเค้าก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องเลย คือตัวคนเดียวแบบสุดๆๆ อีกความคิดหนึ่ง ก็คิดว่าคนที่มีลูกคนเดียวแล้วเกิดอะไรขึ้นมา กลายเป็นว่าก็อยู่ตัวคนเดียวเหมือนเดิม ถ้ามี 2 คน (จริงๆๆอยากมี 3-4 คน แต่การเงินไม่พร้อม) โอกาสที่จะไม่ต้องอยู่คนเดียว ก็ลดลงด้วย แถมอีกว่า ระหว่างต้องเลือกว่า เครียดกับการอยู่คนเดียว หรือ เครียดเรื่องเงินเลี้ยงลูก เพราะเอาจริง ต่อให้มี 1 คน การเงินผมก็ไม่ได้คล่องขนาดให้ชีวิตที่มีคุณภาพ กับลูกมากนัก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเครียดเรื่องเงิน 
ถัดมาคำถามถ้าเราตายก่อนเค้าโตล่ะ แล้วเกิดเลิกกับแม่ของเด็ก หรือแม่ของเด็กไม่เอาลูกล่ะ เราจะทำยังไง เอาจริงๆๆ ตอนนั้นความคิดมันก็เห็นแก่ตัวว่า ก็ช่วยไม่ได้ก็เกิดมาแล้วนี่ ก็คงมีญาติมาช่วยไปดูแล แต่ถ้าไม่ดูแล ก็คงบ้านกำพร้าล่ะกัน หรือไม่ก็ฝากไว้กับเพื่อน หรือแม่ของเด็ก ขออย่างเดียวเราอย่าตายก่อนที่เค้าจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น โทรหาตำรวจ เดินไปหาคนแถวบ้านให้ช่วย อะไรทำนองนี้ 

ตอนนั้น อะไรๆหลายๆๆอย่างที่ผมเจอ มัน ทำให้ผมไม่คิดอะไรแล้วคิดถึงแต่ตัวเองว่าจะใช้ชีวิตให้รอดต่อไปได้ยังไง
ไม่ต้องด่าผมน่ะ เพราะผมก็ด่าตัวเองอยู่แล้วว่าเห็นแก่ตัวขั้นสุด แต่

อ่านถึงตรงนี้ ขอร้องว่าอย่าเป็นนักเลงคีย์บอร์ด (ที่มาเล่า เพราะอยากแชร์ประสบการณ์ หรือจะเรียกอะไรก็ได้ แนวคิด ความคิดเห็น อุธาหรณ์ หรือ อื่นๆๆล่ะกัน)

ผลลัพธ์........

วันแรกที่ลูกคอลด ผมน้ำตาไหลในห้องทำคลอดเลย ด้วยความดีใจ จน พยาบาลเค้าเอาไปคุยกันต่อที่คลินิก (คลอดโรงพยาบาล แต่ฝากครรภ์ที่คลีนิก แล้วคนในคลีนิก เค้าถามผมว่า น้ำตาไหลในห้องคลอดเลยเหรอ ผมก็ว่าไม่น่าจะแปลกใจน่ะ เพราะหลายๆๆคนก็น่าจะน้ำตาไหล)
จากความเครียดเรื่องเงิน เรื่องต้องอยู่ตัวคนเดียว
ตอนนี้ ยังเครืยดเรื่องเงินอยู่ แต่เครียดเรื่องอื่นๆๆเพิ่มขึ้นด้วย (ทั้งๆๆที่คิดไว้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกเท่าตอนนี้)
เครียดว่า ถ้าเราตายไปแล้ว ลูกจะอยู่ยังไง จะมีทางไหนที่ทำให้ลูกใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยที่ต้องเอาลูกไปฝากคนอื่น หรือถ้าจะฝากคนอื่นจริงๆๆ เราจะเลือกยังไง จะไว้ไว้ใจคนนั้นได้ยังไง
ลูกจะโตมาเป็นคนแบบไหน เราเลี้ยงลูกได้ดีพอไหมที่ให้เค้าทันสังคม อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ไม่โดนหลอก คิดดีทำดี ไม่ติดยา ไม่มั่ว ไม่เล่นพนัน 
โชคชะตาลูกจะต้องมาเจอ ลูกหลงไหม เวลาไปเที่ยว กับเพื่อน ไปรับน้อง จะเกิดอันตรายไหม จะเจอเพื่อนดีไหม เค้าจะได้แต่งงานไหม มีลูกมีครอบครัวที่ดีไหม อนาคตเค้าจะต้องเจออะไรบ้าง จะมีอาชีพมั่นคงไหม 

ความกังวลที่แบบไร้เหตุผล หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน มันก็ผุดขึ้นมาในหัวเวลาดูข่าวอะไรก็แล้วแต่
เช่น ดูข่าวจรเข้ ผมก็จะกลัวว่า ถ้าไปเที่ยวแม่น้ำจะเจอจระเข้าไหม 
ดูข่าวผี ก้กังวลว่าจะมีวันที่ลูกเจอสิงไหม จะอันตรายมากไหม 
หรืออุบัติเหตุ ถึงขั้น ตกนรกทั้งเป็นไหม 
หรือจะโดนใครลักพาตัวไปไหม จะโดนทำร้ายที่ ล้อเลี้ยน ที่โรงเรียนไหม 

ทุกครั้งที่เห็นข่าวแย่ๆๆเกี่ยวกับเด็ก ผมจะรู้สึกแย่ตามไปด้วยเลย ถ้าเกิดขึ้นกับลูกเราล่ะ หรือความรู้สึกสงสารเด็ก คนที่เป็นพ่อแม่ คนที่ดูแลเด็ก

พูดง่ายๆๆ ก็เป็นห่วงลูกนั้นแหละ 
ความคิดอื่นๆที่เข้ามาให้หัว ก็คิอ ผมก็พยายามประหยัดตัวเองให้มากที่สุด แต่กับลูกอะไรให้ได้ก็ให้ อะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรผมก็สอนเค้า
สิ่งที่จะบอกก็คือ พอมีลูกแล้ว ผมมีความเสียสละมากขึ้น แม้ตัวเองจะอายุเยอะแล้ว หลายๆๆอย่างก็ต้องฝืนร่ายกายตัวเองเล่นกับลูก อุ้มลูก เพราะนี่คือสิ่งที่เค้าต้องการ สิ่งที่เค้าอยากได้รับความรักจากเรา ความอบอุ่นจากเรา 
ผมมีปัญหาที่กระดูกทับเส้น ยกของหนักไม่ไหว ก้มๆ เงยๆ ลุกๆ นั่งๆๆ แต่ล่ะครั้งปวดหลัง กระดูกร้าวเลย แต่ก็พยายามฝืนเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ได้ฝืนจนตัวเองแย่ (ต้องถนอนไว้บาง เพื่ออยู่กับลูกในอนาคตอีก)
การวางแผนอนาคต ก็ต้องรัดกุมมากขึ้น จะทิ้งมรดกอะไรไว้เค้าบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลี้ยงลูกให้หวังแต่พึ่งคนอื่น ยังไงก็ต้องพึ่งตัวเองเป็นหลักก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ อย่างน้อยสิ่งที่ผมทิ้งไว้ก็น่าจะช่วยเค้าได้บ้าง
การอยู่คนเดียวตอนแก่ ตอนนี้คิดว่า อย่างแย่น่ะ จะต้องอยู่คนเดียว แต่อย่างน้อย ผมก็ยังหวังว่า ลูกยังรู้ว่ามีพ่ออยู่น่ะ มาหาบ้าง โทรมาหาบ้าง
แต่ได้อยู่บ้านเดียวกัน ผมก็จะดีใจมาก (ถึงจะบอกว่าไม่ให้ผมหวัง แต่ผมก็ยังคิดว่าอย่างน้อยขอหวังสัก 50-50)
แต่ถ้าต้องอยู่คนเดียวจริงๆ ลูกจะไม่มาเหลียวแลเลย ผมก็หวังอีกว่า อย่างน้อยขอให้ลูกมีชีวิตที่ดี

ถ้านิสัยลูกผมไม่ดี ผมจะเอาแต่โทษตัวเองเลยว่าผมเลี้ยงลูกไม่ดี ทให้เค้าเกิดมาต้องเจออะไรแบบนั้น แบบนี้
ต่อให้คนทั้งโลกบอกว่า มันอยู่ที่ตัวเด็กด้วย แต่สำหรับผม ลูกจะคิดเป็นหรือไม่เป็น มีภูมิต้านทานการใช้ชีวิตหรือไม่มี มันอยู่ที่การเลี้ยงดูของคนที่ใกล้ชิดมากที่สุด

ถึงจะมีหลักการการเลี้ยงลูกที่เคยรู้มา ก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลี้ยงตามหลักการ
แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นเองในใจคือ การเลี้ยงลูกด้วย ความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน ความเสียสละ ความสงสาร ความอดทน ความเข้าใจ รับฟัง 

และการเอ็นดูลูกหรือเด็กคนอื่น (เมื่อก่อนไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้น่ะ ใครผ่านไปผ่านมามีลูกไม่เคยจะมองเลย ตอนนี้มองหมด ไปเล่นกับลูกคนอื่นด้วยซ้ำ มุมมองการมองเด็กนี่เปลี่ยนไปเลย)

สุดท้ายเลย..................... ลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต คือของขวัญ 
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ผมจะคิดถึงลูกก่อนเป็นอันดับแรก

ปล. ผมไม่เข้าใจว่าทำไม พ่อแม่ ปู่ยาตายาย ที่ทำร้ายลูกหลานตัวเอง ทำกันได้ลงคอได้ยังไง

ปล 2 ผมจะคอยดูว่า จะมีคอมเมนท์ประเภทนักเลงคีย์บอร์ดไหม กรุณารักษามารยาทให้การใช้พื้นที่สาธารณะด้วยครับ อย่าซ้ำเติม อย่าประชด อย่ากระแนะกระแหน่ อย่าดูถูกคนอื่น อย่าเมนท์อะไรที่ไม่ให้เกียรติคนอื่น
(ที่ผมเขียนปล 2 ก็อาจจะไม่ถูกใจบางคน ถ้าไม่ถูกใจก็ข้ามไปครับไม่มีใครว่า)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่