เสียงฟ้าร้องสนั่นดังทั่วฟ้า
ท้องนภามืดครึ้มไร้หยาดฝน
เพียงครู่หนึ่งอาจโปรยปรายในบัดดล
เจ้าจักคงอยู่ข้างกายเคียงกันฤ....
ทาคาโอะ เด็กมัธยมปลายวัย 15 มีความฝันที่จะเป็นช่างทำรองเท้า
เขาอาศัยกับพี่ชายและแม่ใจกลางเมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียว การที่แม่ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน
ทำให้ทาคาโอะต้องรับผิดชอบงานบ้านแทบทุกอย่างแทนแม่ของตน
นั่นทำให้ความคิดความอ่านหลายอย่างของเขาโตกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นช่วงต้นเดือนมิถุนายน.. ฤดูฝนเริ่มเข้าสู่ญี่ปุ่น ทาคาโอะ ชอบโดดเรียนช่วงเช้าเวลาฝนตก
เขาจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะชินจุกุ ณ ที่แห่งนั้นจะมีศาลาหลังเล็กที่เขาจะไปนั่งสเก็ตภาพร่างของรองเท้าที่เขาอยากจะทำ
วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ทาคาโอะไปยังศาลาในสวนเช่นเคย และเขาก็ได้พบกับหญิงสาวคนนึงที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว...
ยูคิโนะ ครูสาวในโรงเรียนมัธยม ทุกเช้าที่สถานีรถไฟเธอจะมายืนรอที่สถานีเหมือนกับใครหลายๆคนที่จะไปทำงาน
แต่เธอไม่อยากจะไปโรงเรียนเลยสักนิด ยูคิโนะเลือกที่จะไปยังสวนสาธารณะกลางเมือง นั่งอ่านหนังสือ ไม่ก็จิบเบียร์ (ตั้งแต่เช้า)
มองบรรยากาศของสวนในฤดูฝนแทนที่จะไปทำงาน .. เธอมีปัญหาหลายอย่างที่กำลังต้องตัดสินใจ
และการมามองใครบางคนในวันฝนพรำนั้นก็ทำให้ใจของเธอไม่เหมือนเดิม...
เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ฝนตกทุกวัน อากาศดีน่านอนขนาดนี้ หันไปดูทีวีเห็นละครเรื่องใหม่ของช่อง 3
ชื่อเรื่องว่าในวันที่ฝนพร่างพรายที่แต้วเล่นคู่กับมาริโอ้ แล้วใจมันก็หวนคิดถึงแอนิเมชั่นชื่อเรื่อง ยามสายฝนโปรยปราย
แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกันแน่นอน แค่ชื่อเรื่องเท่านั้นล่ะครับ ที่ทำให้ผมหวนคิดไปถึงงานชิ้นนี้
เลยคิดว่าเพื่อต้อนรับการมาถึงของสายฝนที่โปรยปรายมาทั่วกรุง รีวิวเรื่องนี้สักทีดีกว่า...
The Garden of Words (言の葉の庭) ภาพยนตร์แอนิเมชั่นผลงานของ มาโกโตะ ชิงไก
ซึ่งสร้างมาจากงานเขียนของเจ้าตัวเองอีกที ..
ผลงานของมาโกโตะ แน่นอนว่าเป็นที่รู้จักดีมากมายหลายเรื่องเลยครับทั้ง Your Name.. Suzume.. 5 Centimeters per Second
ยกมาแค่นี้ก็น่าจะพอ..โดย The Garden of Words หรือในชื่อไทยว่า ยามสายฝนโปรยปรายนั้น
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นขนาดสั้น นำเสนอในเวลาเพียงแค่ 46 นาทีเท่านั้น
ผมมั่นใจว่าใครได้ดูเมื่อเห็นงานภาพต้องตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน ภาพสวยมากกกกกกกก
ผมยกขึ้นหิ้งให้เป็น 1 ในงานที่ผมชอบมากที่สุด ถ้านอกเหนือจากอาจารย์ซาโตชิ คง ที่จากไปแล้วก็ มาโกโตะ ชิงไก นี่ล่ะ ที่ผมให้ใจไปเลย
งานแต่ละชิ้นคือมาสเตอร์พีซแทบทั้งสิ้น ..รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามและสมจริง
หยดน้ำ.. ต้นไม้ใบหญ้า สายฝนกระทบกับทุกสรรพสิ่งในเมืองใหญ่
อีกทั้งซาวน์ประกอบที่ดึงความรู้สึกของผู้ชมให้ไหลไปตามหนังได้อย่างไม่ยาก
และเพลงของหนังก็เพราะมากมายเช่นกัน ฟังตอนฝนตกในเมืองใหญ่นี่ มันใช่เลย....ลองฟังกันดูครับ
ฉากหลังของหนังนั้นที่อยากไปตามรอยเหลือเกิน แน่นอนต้องเป็นชินจูกุเกียวเอ็ง สวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงโตเกียว
สถานที่สำคัญและเป็นจุดนัดพบของตัวเอกทั้งคู่ในทุกๆเช้าที่ฝนตก
ทาคาโอะมานั่งร่างแบบรองเท้าส่วนยูคิโนะมานั่งอ่านหนังสือที่ศาลาแห่งนี้..
ถ้าอยากไปดื่มด่ำสายฝนพรำ ก็เดินทางไปช่วงหน้าฝนนะครับ (ตามไทม์ไลน์ในหนังก็มิถุนายน และกรกฎาคมล่ะ)
มากันถึงเนื้อเรื่องบ้างครับ อย่างที่บอกไว้ว่างานชิ้นนี้นำมาจากงานเขียนในชื่อเดียวกันของผู้กำกับเอง
ซึ่งผมยังไม่ได้อ่านแบบหนังสือนะครับ กำลังจะหาซื้ออยู่ (จะยังมีมั้ยเนี่ยในเน็ต)
แต่ก็ทำให้รู้ว่ามาโกโตะ ชิงไก เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านงานเขียนเช่นกัน
ซึ่งความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเวลาที่จำกัดเพียงแค่ 46 นาทีเท่านั้น
ทำให้ผู้ชมหลายคนอาจจะรู้สึกไม่อิ่ม หรือไม่อินมากเท่าที่ควรจะเป็น แต่... ผมกลับชอบมาก
สไตล์หนังของมาโกโตะ ชิงไก มักจะจบแบบปลายเปิด หรือจบแบบที่ให้คนดูคิดตามต่อไปเอง คือไม่ให้บทสรุปที่ชัดเจนกับผู้ชมซะทีเดียว
แต่ในความที่ดูคลุมเครือนั้นมันกลับสร้างจินตนาการต่อให้กับคนดูได้ต่อยอดสิ่งเหล่านั้นในห้วงคำนึง..
ในยามสายฝนโปรยปราย เราจะเห็นได้ว่านี่คือความรักของชายและหญิงที่อายุห่างกัน 12 ปี (ชาย 15 หญิง 27)
ในความคิดของทาคาโอะ เค้ามองว่าตัวเองเป็นแค่เด็กที่ดูไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ ขณะที่ยูคิโนะ ก็เป็นครูที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ในหนังสือต้องมีประเด็นเรื่องครอบครัวของพระเอกเพิ่มเติมแน่นอน เช่นเดียวกับชีวิตของยูคิโนะว่าเจออะไรมาบ้าง
และสิ่งเหล่านั้นทำให้ตัวเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ดูอ่อนแอและบอบบางอย่างมาก ..แต่ถึงแม้ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน
ในหนังก็ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาในเวลาที่จำกัดได้ดี คือผมดูแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก..
อาจจะมีคำถามต่อว่าด้วยเวลาที่หนังให้มาน้อยเกินไป ทำให้คนดูมองว่าทั้งคู่เริ่มชอบกันตอนไหน มันเร่งไปมั้ย..
ผมก็ว่ามันดีแล้วเช่นกันครับ
คนเราพบเจอกันในห้วงเวลาที่เหมาะสม เหมือนทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว
การที่เราประทับใจใครสักคนของแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา พบกันแค่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เราคิดถึงเค้าคนนั้นไม่ลืม
เฝ้ารออยากจะถึงวันที่ได้พบกันอีก.. การเปิดใจพูดคุยหลายๆอย่างในสิ่งที่คนทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้คุยกับใครอื่นได้
ทุกอย่างมันประกอบกันจนก่อให้เกิดความรู้สึกดีดีขึ้นมาระหว่างคนทั้งสอง
สุดท้ายคือตอนจบ จบแบบนี้ดีที่สุดล่ะครับ ผมเคยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรมาแล้วกับ 5 Centimeters per Second กับฉากจบประกอบเพลง
และการลำดับภาพแบบรัวๆที่มันใช่เลย ชีวิตมันต้องอย่างงี้ถึงจะสาแก่ใจ.. แต่เรื่องนี้ไม่ดาร์คขนาดนั้น
มันก็คือฉากจบที่ดีงาม พร้อมกับการเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป.. เพื่อรอเวลา... ที่เราจะกลับมาพบกัน...
เสียงฟ้าร้องสนั่นดังทั่วฟ้า
ท้องนภามืดครึ้มไร้หยาดฝน
แม้นพิรุณมิโปรยปรายในบัดดล
ข้าจักคงอยู่ขอเพียงเจ้าเคียงกัน...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Garden of Words (2013) ในวันที่สายฝนพร่างพราย....==
เสียงฟ้าร้องสนั่นดังทั่วฟ้า
ท้องนภามืดครึ้มไร้หยาดฝน
เพียงครู่หนึ่งอาจโปรยปรายในบัดดล
เจ้าจักคงอยู่ข้างกายเคียงกันฤ....
ทาคาโอะ เด็กมัธยมปลายวัย 15 มีความฝันที่จะเป็นช่างทำรองเท้า
เขาอาศัยกับพี่ชายและแม่ใจกลางเมืองใหญ่อย่างกรุงโตเกียว การที่แม่ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน
ทำให้ทาคาโอะต้องรับผิดชอบงานบ้านแทบทุกอย่างแทนแม่ของตน
นั่นทำให้ความคิดความอ่านหลายอย่างของเขาโตกว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นช่วงต้นเดือนมิถุนายน.. ฤดูฝนเริ่มเข้าสู่ญี่ปุ่น ทาคาโอะ ชอบโดดเรียนช่วงเช้าเวลาฝนตก
เขาจะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะชินจุกุ ณ ที่แห่งนั้นจะมีศาลาหลังเล็กที่เขาจะไปนั่งสเก็ตภาพร่างของรองเท้าที่เขาอยากจะทำ
วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ทาคาโอะไปยังศาลาในสวนเช่นเคย และเขาก็ได้พบกับหญิงสาวคนนึงที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว...
ยูคิโนะ ครูสาวในโรงเรียนมัธยม ทุกเช้าที่สถานีรถไฟเธอจะมายืนรอที่สถานีเหมือนกับใครหลายๆคนที่จะไปทำงาน
แต่เธอไม่อยากจะไปโรงเรียนเลยสักนิด ยูคิโนะเลือกที่จะไปยังสวนสาธารณะกลางเมือง นั่งอ่านหนังสือ ไม่ก็จิบเบียร์ (ตั้งแต่เช้า)
มองบรรยากาศของสวนในฤดูฝนแทนที่จะไปทำงาน .. เธอมีปัญหาหลายอย่างที่กำลังต้องตัดสินใจ
และการมามองใครบางคนในวันฝนพรำนั้นก็ทำให้ใจของเธอไม่เหมือนเดิม...
เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ฝนตกทุกวัน อากาศดีน่านอนขนาดนี้ หันไปดูทีวีเห็นละครเรื่องใหม่ของช่อง 3
ชื่อเรื่องว่าในวันที่ฝนพร่างพรายที่แต้วเล่นคู่กับมาริโอ้ แล้วใจมันก็หวนคิดถึงแอนิเมชั่นชื่อเรื่อง ยามสายฝนโปรยปราย
แน่นอนว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกันแน่นอน แค่ชื่อเรื่องเท่านั้นล่ะครับ ที่ทำให้ผมหวนคิดไปถึงงานชิ้นนี้
เลยคิดว่าเพื่อต้อนรับการมาถึงของสายฝนที่โปรยปรายมาทั่วกรุง รีวิวเรื่องนี้สักทีดีกว่า...
The Garden of Words (言の葉の庭) ภาพยนตร์แอนิเมชั่นผลงานของ มาโกโตะ ชิงไก
ซึ่งสร้างมาจากงานเขียนของเจ้าตัวเองอีกที ..
ผลงานของมาโกโตะ แน่นอนว่าเป็นที่รู้จักดีมากมายหลายเรื่องเลยครับทั้ง Your Name.. Suzume.. 5 Centimeters per Second
ยกมาแค่นี้ก็น่าจะพอ..โดย The Garden of Words หรือในชื่อไทยว่า ยามสายฝนโปรยปรายนั้น
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นขนาดสั้น นำเสนอในเวลาเพียงแค่ 46 นาทีเท่านั้น
ผมมั่นใจว่าใครได้ดูเมื่อเห็นงานภาพต้องตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน ภาพสวยมากกกกกกกก
ผมยกขึ้นหิ้งให้เป็น 1 ในงานที่ผมชอบมากที่สุด ถ้านอกเหนือจากอาจารย์ซาโตชิ คง ที่จากไปแล้วก็ มาโกโตะ ชิงไก นี่ล่ะ ที่ผมให้ใจไปเลย
งานแต่ละชิ้นคือมาสเตอร์พีซแทบทั้งสิ้น ..รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสวยงามและสมจริง
หยดน้ำ.. ต้นไม้ใบหญ้า สายฝนกระทบกับทุกสรรพสิ่งในเมืองใหญ่
อีกทั้งซาวน์ประกอบที่ดึงความรู้สึกของผู้ชมให้ไหลไปตามหนังได้อย่างไม่ยาก
และเพลงของหนังก็เพราะมากมายเช่นกัน ฟังตอนฝนตกในเมืองใหญ่นี่ มันใช่เลย....ลองฟังกันดูครับ
ฉากหลังของหนังนั้นที่อยากไปตามรอยเหลือเกิน แน่นอนต้องเป็นชินจูกุเกียวเอ็ง สวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงโตเกียว
สถานที่สำคัญและเป็นจุดนัดพบของตัวเอกทั้งคู่ในทุกๆเช้าที่ฝนตก
ทาคาโอะมานั่งร่างแบบรองเท้าส่วนยูคิโนะมานั่งอ่านหนังสือที่ศาลาแห่งนี้..
ถ้าอยากไปดื่มด่ำสายฝนพรำ ก็เดินทางไปช่วงหน้าฝนนะครับ (ตามไทม์ไลน์ในหนังก็มิถุนายน และกรกฎาคมล่ะ)
มากันถึงเนื้อเรื่องบ้างครับ อย่างที่บอกไว้ว่างานชิ้นนี้นำมาจากงานเขียนในชื่อเดียวกันของผู้กำกับเอง
ซึ่งผมยังไม่ได้อ่านแบบหนังสือนะครับ กำลังจะหาซื้ออยู่ (จะยังมีมั้ยเนี่ยในเน็ต)
แต่ก็ทำให้รู้ว่ามาโกโตะ ชิงไก เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในด้านงานเขียนเช่นกัน
ซึ่งความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเวลาที่จำกัดเพียงแค่ 46 นาทีเท่านั้น
ทำให้ผู้ชมหลายคนอาจจะรู้สึกไม่อิ่ม หรือไม่อินมากเท่าที่ควรจะเป็น แต่... ผมกลับชอบมาก
สไตล์หนังของมาโกโตะ ชิงไก มักจะจบแบบปลายเปิด หรือจบแบบที่ให้คนดูคิดตามต่อไปเอง คือไม่ให้บทสรุปที่ชัดเจนกับผู้ชมซะทีเดียว
แต่ในความที่ดูคลุมเครือนั้นมันกลับสร้างจินตนาการต่อให้กับคนดูได้ต่อยอดสิ่งเหล่านั้นในห้วงคำนึง..
ในยามสายฝนโปรยปราย เราจะเห็นได้ว่านี่คือความรักของชายและหญิงที่อายุห่างกัน 12 ปี (ชาย 15 หญิง 27)
ในความคิดของทาคาโอะ เค้ามองว่าตัวเองเป็นแค่เด็กที่ดูไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ ขณะที่ยูคิโนะ ก็เป็นครูที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง
ในหนังสือต้องมีประเด็นเรื่องครอบครัวของพระเอกเพิ่มเติมแน่นอน เช่นเดียวกับชีวิตของยูคิโนะว่าเจออะไรมาบ้าง
และสิ่งเหล่านั้นทำให้ตัวเธอเป็นผู้ใหญ่ที่ดูอ่อนแอและบอบบางอย่างมาก ..แต่ถึงแม้ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน
ในหนังก็ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาในเวลาที่จำกัดได้ดี คือผมดูแล้วเข้าใจได้ไม่ยาก..
อาจจะมีคำถามต่อว่าด้วยเวลาที่หนังให้มาน้อยเกินไป ทำให้คนดูมองว่าทั้งคู่เริ่มชอบกันตอนไหน มันเร่งไปมั้ย..
ผมก็ว่ามันดีแล้วเช่นกันครับ
คนเราพบเจอกันในห้วงเวลาที่เหมาะสม เหมือนทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว
การที่เราประทับใจใครสักคนของแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา พบกันแค่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้เราคิดถึงเค้าคนนั้นไม่ลืม
เฝ้ารออยากจะถึงวันที่ได้พบกันอีก.. การเปิดใจพูดคุยหลายๆอย่างในสิ่งที่คนทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้คุยกับใครอื่นได้
ทุกอย่างมันประกอบกันจนก่อให้เกิดความรู้สึกดีดีขึ้นมาระหว่างคนทั้งสอง
สุดท้ายคือตอนจบ จบแบบนี้ดีที่สุดล่ะครับ ผมเคยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรมาแล้วกับ 5 Centimeters per Second กับฉากจบประกอบเพลง
และการลำดับภาพแบบรัวๆที่มันใช่เลย ชีวิตมันต้องอย่างงี้ถึงจะสาแก่ใจ.. แต่เรื่องนี้ไม่ดาร์คขนาดนั้น
มันก็คือฉากจบที่ดีงาม พร้อมกับการเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป.. เพื่อรอเวลา... ที่เราจะกลับมาพบกัน...
เสียงฟ้าร้องสนั่นดังทั่วฟ้า
ท้องนภามืดครึ้มไร้หยาดฝน
แม้นพิรุณมิโปรยปรายในบัดดล
ข้าจักคงอยู่ขอเพียงเจ้าเคียงกัน...
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===