
- ดูจบมีอย่างหนึ่งที่รู้สึกชอบและสนใจกว่าฉากเหวอะแหวะชวนขยะแขยงที่บรรจงประเคนด้วยหัวคม ๆ คือเรื่องของ การส่งต่อ นี่แหล่ะที่มันสะดุดใจจนอยากที่จะพรรณนากับสิ่งที่เป็นอยู่จึงต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงความคิดประดิษฐ์คำอยู่หลายวัน เอาในภาพรวมก่อน คือ สนุกตามสไตล์หนังประเทศบ้านเขาแล้วไม่ใช่หนังที่ขายโรคระบาดตามที่เคยดูทั่วไปจากเรื่องอื่น ๆ แต่เป็นหนังสยองขวัญที่เล่น Concept กับความกลัวเปลี่ยนจากตัวเชื้อโรคมาเป็นรูปพลังงานเข้าสู่การสิงร่างคนได้น่าสนใจแถมมีหลักวิทยาศาสตร์กับหลักไสยศาสตร์ผสมกันให้เราได้จำแนกวิเคราะห์ในการตัดสินใจว่า ถ้ามองในหลักวิทย์ก็บอกว่า เฮ้ย อย่าไปแตะตัวนะเดี๋ยวติดเชื้อ ถ้าจะมองในไสยก็บอกว่า อย่าไปจับตัวนะ เดี๋ยวของจะเข้าตัว อะไรอย่างนี้ พอมันมีเรื่องของกฎด้วยเลยทำให้เราลุ้นไปกับตัวละครด้วยว่ากูจะมีวิธีจัดการยังไงกับปีศาจตนนี้ ถึงระหว่างดูจะงงกับอะไรบางอย่างเป็นระยะที่ ก่ำ ๆ กึ่ง ๆ ระหว่างดูง่ายกับดูยากแต่ในแง่ของความดิบจัดทำได้โหดไม่เกรงใครสมคำร่ำลือจริง ๆ

- ตัวหนังเปิดเรื่องมาเป็น เปรโด กับ จิมิ 2 พี่น้องชาวไร่ยืนมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างนอกผ่านกระจกก่อนที่จะมีเสียงปริศนาดังขึ้นจนทั้งคู่รีบเดินออกไปข้างหน้าปรากฎว่าตรงหน้ามีแต่ความว่างเปล่าทิ้งให้ทั้งคู่ยืนสงสัยในดงเปลพร้อมกับทิ้งปมอะไรบางอย่างให้ตัวละครและคนดูสืบค้นต่อไป จากนั้นหนังก็จะเล่าไปที่ตัว 2 พี่น้องทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์หมู่บ้านสำรวจบริเวณรอบ ๆ เจอซากศพในป่า ทำการตรวจดูหลักฐานที่พบเหมือนทำหน้าที่แทนตำรวจจนกระทั่งทั้งคู่ขับรถมาที่บ้านของ 2 แม่ลูกแล้วพบกับชายร่างยักษ์ที่นอนอืดติดเตียงในสภาพเหมือนเรื่อง Slither (2006) เป็นจุดเริ่มต้นของปมที่ทิ้งไว้แต่ก็เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้น จากนั้นก็พาเราเข้าสู่สงครามไสยศาสตร์ประสาทระดับไทบ้านระหว่างคนเป็นกับปีศาจเหมือนเรื่อง Fallen (1998) โดยค่อย ๆ เผยความเฮี้ยนของปีศาจจากการส่งระบบไม่ว่าทั้งคนทั้งสัตว์เป็นว่าเล่นเหมือน The Happening (2008) ขณะที่เปรโดก็ลุยหน้าไปโวยวายไปกับภารกิจตามล่าปีศาจเจ้าปัญหาร่วมกับ จิมิ ที่มีนิสัยตรงข้ามกับเขาเหมือนกำลังเล่นเกมส์ใน Saw (2004) ระหว่างนั้นก็ได้ไปช่วยเมียเก่าและลูก ๆ ที่อยู่อีกเมืองหนึ่งพร้อมกับแม่ของทั้งคู่จนคนดูอย่างเราก็พลอยจะเป็นไมเกรนตามไปด้วย ไม่ใช่เพราะอิทธิฤทธิ์ของปีศาจแต่เป็นสันดานของเปรโดนั่นแหล่ะเมื่อไหร่จะหยุดแหกปากซะทีรำคาญ

- ความที่ Location ส่วนใหญ่อยู่ในโซนชนบทมีแวะไปเยี่ยมบ้านเพื่อนที่มีกี่ที่เหมือนล้อมรอบใน Area เดียวกันแต่สภาพโดยรวมก็ไม่ได้ต่างกับความไกลปืนเที่ยงในชนบทที่มีแต่ความเงียบเหมาะแก่การสร้างจังหวะ Jump Scared ให้กลายเป็นจังหวะนรกได้อย่างแม่นยำโดยไม่จำเป็นต้องขายมันเยอะ ขอแค่มาให้ถูกจุดก็พอ มีตัวละครสมทบไม่มากเลยทำให้เราโฟกัสไปที่ Story ได้เต็มที่โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา มีแวะข้างทางให้ลองตีความในเรื่องของวัฒนธรรมบ้านเขาพอกรุบกริบแต่ไม่เสียขบวนใน way ที่กำหนด ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทำให้เรา Enjoy ไปตั้งแต่ต้นจนจบโดยรู้สึกว่าผ่านไปไวพอสมควรกับความชลมุนวุ่นรักของตัวละครที่ดูทุลักทุเลจนเหนื่อยใจว่าจะจบลงอย่างไร ขนาดว่าได้แม่ทรงที่ จิมิ แนะนำมาช่วยเป็นกำลังเสริมไว้อีกแรง แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นปีศาจก็นกรู้เหมือนกันว่าใครนิสัยยังไงมันเลยใช้จุดนี้พยายามปั่นหัวตัวละครที่เหลือรอดเกิดความระแวงอยู่ตลอดบวกกับนิสัยขี้หัวดื้อโวยวายของเปรโดที่ถูกกฎรั้งไว้ไม่สามารถบวกตรง ๆ ได้จึงทำให้เหตุการณ์มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แต่ยังดีที่มีการ Action เพื่อลูกบ้างที่ช่วยเอาใจช่วยได้อยู่ไม่ใช่ 2 สามีภรรยาจากบ้าน Speak No Evil (2022) ที่อะไรก็เชื่อเพื่อนหมด ไม่สู้ ไม่หือ ไม่ขัดขืนห่าเหวอะไรเพื่อ Save ลูกเลยซักอย่าง

- สรุป ชอบมาก เล่าไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แต่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์เน้น ๆ กับสารอันหนักหน่วง โดยเฉพาะฉากเอาปืนจ่อน้อนแพะที่เห็นในตัวอย่างและฉากในโรงเรียนที่โหดเลือดสดไม่เกรงใจใคร ดูง่าย เข้าใจบางอย่างเพราะดูพากษ์ไทยและบางอย่างก็เข้าถึงยากกับความงงงวยในตรรกะของตัวละครที่ดันทำธุระไม่เสร็จก็ดันเปลี่ยนไปฉากใหม่จนเกิดอารมณ์ค้างกลางอากาศด้วยความหงุดหงิด ทั้งที่ตัวเรื่องทำหน้าที่สุดทางของมันแล้วแต่ไม่นำเสนอให้ดูทั้งหมดว่าเกิดอะไรต่อจากนั้น แถมปฎิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ Details บางอย่างตกหล่นหายไปเช่นกัน บทสรุปไม่ได้พีคถึงขั้นยกขึ้นหึ้งแต่ในแง่ของสัญญะที่สื่อได้ก็ทำเอาสะเทือนใจจนนำมาพูดถึงซ้ำ ๆ ในแง่ของความดิบเถื่อนสาแหรกขาดไปเรื่อย ๆ เช่นกัน นอกจากหนังเล่นประเด็น การส่งต่อ ด้วยเนื้อหาที่รุนแรงทางแก่นสารแล้วมันทำให้เราอดที่จะเปรียบเทียบกับดินแดนคนดีย์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ว่าสภาวะที่เป็นอยู่เหมือนกับเรื่องนี้ยังไงยังงั้น เพราะ การถูกมอมเมาด้วยชุดวาทกรรมจากระบบอำนาจนิยมวางไข่ใน Cerebram ของคนมานานรอให้มันเจริญเติบโตแล้วแพร่กระจายต่อ บางคนพอถูกกระตุ้นจากสิ่งที่ขัดต่อความคิดก็ของขึ้นอย่างไว คนที่มีภูมิต้านทานทางปัญญาก็รอดจากการถูกครอบงำ มันเลยทำให้เราเห็นเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ มองสิ่งปฏิกูลเป็นดอกไม้ได้น่าเหลือเชื่อจนเลยที่จะแยกแยะแล้วว่าอันไหนผิดอันไหนถูก เพราะ ความป่วยไข้ที่ถูกเลี้ยงดู สั่งสม บ่มเพาะ และส่งต่อมานานตามลำดับชั้นจนขยายเป็นรากฐานเกินหยั่งลึกในดินแดนแห่งนี้ คนมันเลยกล้าแสดงกิริยาจากสันดานออกมาเพื่อบอกให้เพื่อนรู้ว่ากูเป็นคนดีย์

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.99 When Evil Lurks : ร้องไปก็เท่านั้น หรือจะ สู้กลับก็ลองดู
- ดูจบมีอย่างหนึ่งที่รู้สึกชอบและสนใจกว่าฉากเหวอะแหวะชวนขยะแขยงที่บรรจงประเคนด้วยหัวคม ๆ คือเรื่องของ การส่งต่อ นี่แหล่ะที่มันสะดุดใจจนอยากที่จะพรรณนากับสิ่งที่เป็นอยู่จึงต้องใช้เวลาในการเรียบเรียงความคิดประดิษฐ์คำอยู่หลายวัน เอาในภาพรวมก่อน คือ สนุกตามสไตล์หนังประเทศบ้านเขาแล้วไม่ใช่หนังที่ขายโรคระบาดตามที่เคยดูทั่วไปจากเรื่องอื่น ๆ แต่เป็นหนังสยองขวัญที่เล่น Concept กับความกลัวเปลี่ยนจากตัวเชื้อโรคมาเป็นรูปพลังงานเข้าสู่การสิงร่างคนได้น่าสนใจแถมมีหลักวิทยาศาสตร์กับหลักไสยศาสตร์ผสมกันให้เราได้จำแนกวิเคราะห์ในการตัดสินใจว่า ถ้ามองในหลักวิทย์ก็บอกว่า เฮ้ย อย่าไปแตะตัวนะเดี๋ยวติดเชื้อ ถ้าจะมองในไสยก็บอกว่า อย่าไปจับตัวนะ เดี๋ยวของจะเข้าตัว อะไรอย่างนี้ พอมันมีเรื่องของกฎด้วยเลยทำให้เราลุ้นไปกับตัวละครด้วยว่ากูจะมีวิธีจัดการยังไงกับปีศาจตนนี้ ถึงระหว่างดูจะงงกับอะไรบางอย่างเป็นระยะที่ ก่ำ ๆ กึ่ง ๆ ระหว่างดูง่ายกับดูยากแต่ในแง่ของความดิบจัดทำได้โหดไม่เกรงใครสมคำร่ำลือจริง ๆ
- ตัวหนังเปิดเรื่องมาเป็น เปรโด กับ จิมิ 2 พี่น้องชาวไร่ยืนมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างนอกผ่านกระจกก่อนที่จะมีเสียงปริศนาดังขึ้นจนทั้งคู่รีบเดินออกไปข้างหน้าปรากฎว่าตรงหน้ามีแต่ความว่างเปล่าทิ้งให้ทั้งคู่ยืนสงสัยในดงเปลพร้อมกับทิ้งปมอะไรบางอย่างให้ตัวละครและคนดูสืบค้นต่อไป จากนั้นหนังก็จะเล่าไปที่ตัว 2 พี่น้องทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์หมู่บ้านสำรวจบริเวณรอบ ๆ เจอซากศพในป่า ทำการตรวจดูหลักฐานที่พบเหมือนทำหน้าที่แทนตำรวจจนกระทั่งทั้งคู่ขับรถมาที่บ้านของ 2 แม่ลูกแล้วพบกับชายร่างยักษ์ที่นอนอืดติดเตียงในสภาพเหมือนเรื่อง Slither (2006) เป็นจุดเริ่มต้นของปมที่ทิ้งไว้แต่ก็เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้น จากนั้นก็พาเราเข้าสู่สงครามไสยศาสตร์ประสาทระดับไทบ้านระหว่างคนเป็นกับปีศาจเหมือนเรื่อง Fallen (1998) โดยค่อย ๆ เผยความเฮี้ยนของปีศาจจากการส่งระบบไม่ว่าทั้งคนทั้งสัตว์เป็นว่าเล่นเหมือน The Happening (2008) ขณะที่เปรโดก็ลุยหน้าไปโวยวายไปกับภารกิจตามล่าปีศาจเจ้าปัญหาร่วมกับ จิมิ ที่มีนิสัยตรงข้ามกับเขาเหมือนกำลังเล่นเกมส์ใน Saw (2004) ระหว่างนั้นก็ได้ไปช่วยเมียเก่าและลูก ๆ ที่อยู่อีกเมืองหนึ่งพร้อมกับแม่ของทั้งคู่จนคนดูอย่างเราก็พลอยจะเป็นไมเกรนตามไปด้วย ไม่ใช่เพราะอิทธิฤทธิ์ของปีศาจแต่เป็นสันดานของเปรโดนั่นแหล่ะเมื่อไหร่จะหยุดแหกปากซะทีรำคาญ
- ความที่ Location ส่วนใหญ่อยู่ในโซนชนบทมีแวะไปเยี่ยมบ้านเพื่อนที่มีกี่ที่เหมือนล้อมรอบใน Area เดียวกันแต่สภาพโดยรวมก็ไม่ได้ต่างกับความไกลปืนเที่ยงในชนบทที่มีแต่ความเงียบเหมาะแก่การสร้างจังหวะ Jump Scared ให้กลายเป็นจังหวะนรกได้อย่างแม่นยำโดยไม่จำเป็นต้องขายมันเยอะ ขอแค่มาให้ถูกจุดก็พอ มีตัวละครสมทบไม่มากเลยทำให้เราโฟกัสไปที่ Story ได้เต็มที่โดยไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา มีแวะข้างทางให้ลองตีความในเรื่องของวัฒนธรรมบ้านเขาพอกรุบกริบแต่ไม่เสียขบวนใน way ที่กำหนด ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ทำให้เรา Enjoy ไปตั้งแต่ต้นจนจบโดยรู้สึกว่าผ่านไปไวพอสมควรกับความชลมุนวุ่นรักของตัวละครที่ดูทุลักทุเลจนเหนื่อยใจว่าจะจบลงอย่างไร ขนาดว่าได้แม่ทรงที่ จิมิ แนะนำมาช่วยเป็นกำลังเสริมไว้อีกแรง แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นปีศาจก็นกรู้เหมือนกันว่าใครนิสัยยังไงมันเลยใช้จุดนี้พยายามปั่นหัวตัวละครที่เหลือรอดเกิดความระแวงอยู่ตลอดบวกกับนิสัยขี้หัวดื้อโวยวายของเปรโดที่ถูกกฎรั้งไว้ไม่สามารถบวกตรง ๆ ได้จึงทำให้เหตุการณ์มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แต่ยังดีที่มีการ Action เพื่อลูกบ้างที่ช่วยเอาใจช่วยได้อยู่ไม่ใช่ 2 สามีภรรยาจากบ้าน Speak No Evil (2022) ที่อะไรก็เชื่อเพื่อนหมด ไม่สู้ ไม่หือ ไม่ขัดขืนห่าเหวอะไรเพื่อ Save ลูกเลยซักอย่าง
- สรุป ชอบมาก เล่าไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แต่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์เน้น ๆ กับสารอันหนักหน่วง โดยเฉพาะฉากเอาปืนจ่อน้อนแพะที่เห็นในตัวอย่างและฉากในโรงเรียนที่โหดเลือดสดไม่เกรงใจใคร ดูง่าย เข้าใจบางอย่างเพราะดูพากษ์ไทยและบางอย่างก็เข้าถึงยากกับความงงงวยในตรรกะของตัวละครที่ดันทำธุระไม่เสร็จก็ดันเปลี่ยนไปฉากใหม่จนเกิดอารมณ์ค้างกลางอากาศด้วยความหงุดหงิด ทั้งที่ตัวเรื่องทำหน้าที่สุดทางของมันแล้วแต่ไม่นำเสนอให้ดูทั้งหมดว่าเกิดอะไรต่อจากนั้น แถมปฎิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ Details บางอย่างตกหล่นหายไปเช่นกัน บทสรุปไม่ได้พีคถึงขั้นยกขึ้นหึ้งแต่ในแง่ของสัญญะที่สื่อได้ก็ทำเอาสะเทือนใจจนนำมาพูดถึงซ้ำ ๆ ในแง่ของความดิบเถื่อนสาแหรกขาดไปเรื่อย ๆ เช่นกัน นอกจากหนังเล่นประเด็น การส่งต่อ ด้วยเนื้อหาที่รุนแรงทางแก่นสารแล้วมันทำให้เราอดที่จะเปรียบเทียบกับดินแดนคนดีย์ที่เป็นอยู่ขณะนี้ว่าสภาวะที่เป็นอยู่เหมือนกับเรื่องนี้ยังไงยังงั้น เพราะ การถูกมอมเมาด้วยชุดวาทกรรมจากระบบอำนาจนิยมวางไข่ใน Cerebram ของคนมานานรอให้มันเจริญเติบโตแล้วแพร่กระจายต่อ บางคนพอถูกกระตุ้นจากสิ่งที่ขัดต่อความคิดก็ของขึ้นอย่างไว คนที่มีภูมิต้านทานทางปัญญาก็รอดจากการถูกครอบงำ มันเลยทำให้เราเห็นเรื่องผิดปกติเป็นเรื่องปกติ มองสิ่งปฏิกูลเป็นดอกไม้ได้น่าเหลือเชื่อจนเลยที่จะแยกแยะแล้วว่าอันไหนผิดอันไหนถูก เพราะ ความป่วยไข้ที่ถูกเลี้ยงดู สั่งสม บ่มเพาะ และส่งต่อมานานตามลำดับชั้นจนขยายเป็นรากฐานเกินหยั่งลึกในดินแดนแห่งนี้ คนมันเลยกล้าแสดงกิริยาจากสันดานออกมาเพื่อบอกให้เพื่อนรู้ว่ากูเป็นคนดีย์
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้