ใช้วิจารณญาณเยอะๆ นะครับในการอ่าน ถ้าไม่ชอบก็ผ่านได้ครับ
ผมเชื่อว่าหลายคนที่อ่านกระทู้นี้ต้องเคยผ่านหรือเจอดราม่าในออฟฟิศกันมาบ้างแล้วนะครับ ซึ่งผมเองก็ผ่านดราม่าในออฟฟิศมาพอสมควรจากการทำงานมาประมาณ 10 กว่าปี และงานส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะงาน Outsource
แน่นอนว่าในสายงาน Outsource นี้ผมทำงานและพบเจอบริษัทมาไม่ต่ำกว่า 100 บริษัทและหลากหลายโรงงาน ซึ่งไม่ใช่แค่การเข้าไปเยี่ยมเท่านั้นนะครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเข้าไปนั่งทำงานและมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์กัน
ช่วงแรกๆสมัยผมพึ่งเรียนจบใหม่ๆ ผมไฟแรงมากและอยากทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ แต่ผมต้องเข้าไปบริษัทอื่นและต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละบริษัทนั้นๆ ทำให้ผมพอมองเห็นดราม่าของบริษัททั้งหมด
บางคนต้องการเป็นที่เกลียดชังเพื่อสร้างกระแส แต่ลับหลังกับรายงานให้เจ้าของบริษัทรับรู้ความเคลื่อนไหวของบริษัททั้งหมด บางคนใช้ดราม่าหรือความเกลียดชังในการทำงาน เช่น มาทำงานแต่เช้าเพื่อมานั่งนินทาคนที่ตัวเองเกลียดชัง จับกลุ่มนินทาคนที่ตัวเองเกลียดชังจะทำให้มีพลังในการทำงานแต่เมื่อบีบหรือกดดันให้คนที่ตัวเองเกลียดออกจากบริษัทได้แล้ว ก็เงียบเหงาจนงานเสียและลาออกไป
บางบริษัทผมทำงานได้อย่างอิสระ แต่บางบริษัทผมไม่สามารถทำงานนั้นได้เลยเพียงแต่เราต้องตามน้ำกับสังคมนั้นๆ ไป ผมผ่านเรื่องพวกนี้มา 10 กว่าปีนับเคสไม่ถ้วนจริงๆ ทั้งสังคมในไทยและต่างประเทศแต่ผมก็พอที่จะสามารถเอาตัวรอดในเรื่องเหล่านี้ได้ เนื่องจากผมเป็นพนักงาน Outsouce และเวลาเรามีจำกัด
ซึ่งมันทำให้ผมตอบโจทย์ที่คนรุ่นใหม่ทำงานไม่ทนได้เพราะดราม่าในออฟฟิศมีมากจริงๆ บางสังคมแค่คุณเดินออกจากห้องเขาก็นินทาว่าร้ายคุณแล้วและพวกเขานินทาทุกคนเหมือนสนุกปากเพราะพวกเยอะ ถ้าคุณอยากอยู่รอดในออฟฟิศคุณก็ต้องเข้ากลุ่มพวกเขาแต่ถ้าคุณไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเขา
คุณก็เตรียมรับรถทัวที่จะทับถมใส่คุณได้เลย ไม่ว่าคุณจะพยายามบอกเขาว่าคุณเป็นคนดีนะ เจตนาดีนะ ก็ไม่เป็นผลเพราะพวกเขาเคยทำแบบนี้มาโดยตลอด ที่ผมเล่ามาทั้งหมดบางคนอาจจะไม่เจอจริงๆ เพราะคิดแค่ว่าก็แค่พื้นฐานในการวางตัวเท่านั้นไม่เห็นต้องคิดมาก แต่ในประสบการณ์ของผม ผมเจอสังคมแบบคุณไม่ถึง 10% นั่นแปลว่า 90% คือสังคมดราม่า
หัวหน้าบางคนป้องกันตัวเองเพราะถ้าเป็นคนดีเกินไปมักโดนเอาเปรียบจากลูกน้องโดยการสร้างบทบาทให้ตัวเองใหม่ให้เป็นคนขี้โมโห โวยวายใส่คนอื่น ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะเจอคนที่ชอบสร้างเรื่องให้คนอื่นโดนด่ามาเป็นสาวก ผมก็ไม่เข้าใจนะครับแต่ผมเห็นว่าถ้าอีกคนโดนด่าเขาจะรู้สึกสะใจ ไม่ใช่เห็นใจนะครับ
แต่ผมเองบทบาทค่อนข้างน้อยในเรื่องเหล่านี้เพราะเป็นคนเงียบๆ อะไรก็ได้ มันก็เลยทำให้มีพวกที่คอยช่วยเหลือค่อนข้างเยอะและไม่ค่อยมีใครหมั่นไส้ผมเท่าไหร่ แต่ผมสามารถคบคนที่ดราม่า หรือคนขี้เหวี่ยง ชอบโวยวาย ได้อย่างสบายครับเพราะผมทนพวกเขาได้อย่างสบายนั่นก็ไม่รู้ครับว่าเพราะอะไร
ผมเคยถามพวกเขาอีกเหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรในสังคมการทำงานซึ่งในอีก 2 ปีเราอาจจะไม่รู้จักกันก็เป็นได้ เพราะเราแค่ทำงานกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ผมไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมาเลยเป็นเวลามากกว่า 5 ปีแล้ว
เข้าสู่คำถามครับ
1. ผมถามทั้งคนที่ดราม่าโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนะครับว่า...เมื่อคุณสามารถทำลายคนที่คุณเกลียดหรือไม่ชอบในออฟฟิศได้แล้ว คุณเลื่อนขั้นไปถึงจุดที่คุณต้องแบกบริษัทเอาไว้และต้องขายงาน เวลาผ่านไป 1 ปี เมื่อโชคชะตาพาคุณต้องเข้าไปขายงานให้บริษัทที่คนที่คุณเคยเกลียดทำอยู่และเป็นลูกค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัท คุณจะทำอย่างไร ? (การแสดงละครไม่เป็นผลนะครับ เพราะชั้นเชิงเขาพอๆ กับคุณและสามารถต่อกรกับคุณได้)
2. ผมถามเจ้าของกิจการนะครับว่าจะสามารถบริหารเรื่องเหล่านี้อย่างไร เพราะคุณจะไม่ได้ Talent หรือพรสวรรค์จากเด็กรุ่นใหม่เลย แต่โดนบดบังด้วยเมฆฝน ?
ผมแชร์ให้ตัวอย่างนึงนะครับและไม่ขอคำตอบซ้ำนะครับ ผมเคยเจอบริษัทต่างประเทศเขาจ้างตำแหน่งใหม่เข้ามาเป็น Audit Manager ประมาณนั้นครับแต่เขาจะใช้ชื่อตำแหน่งแปลกแอบเข้ามาตรวจสอบ ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจแต่ด้วยสถานการณ์บอกให้ผมรู้ว่าเงินเดือนมากกว่าเจ้าของบริษัทหลายเท่าเลยครับ
เมื่อเขาเข้ามาไม่นานภายใน 1 เดือน มีคนโดนจ้างออกเยอะมากครับ และภายใน 2 เดือนมีคนโดนให้ออกมากเกือบครึ่งบริษัท และเขาก็ยื่นใบลาออกในเดือนที่ 3 ซึ่งผมรู้เรื่องจากเพื่อนชาวต่างประเทศมาเล่าให้ฟังว่า เขาเรียกเพื่อนผมเข้าไปพบและให้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัท จากนั้น HR ก็เรียกเพื่อนผมในอาทิตย์ต่อมาเพื่อจ้างให้เพื่อนผมออก
เป็นการพูดคุยกับเฉยๆ นะครับไม่ได้ต้องการความสะใจหรือจุดประสงค์ใดๆ ในการสอดเสียดหรือพาดพิงใคร ขอบคุณครับ
ดราม่าในออฟฟิศ
ผมเชื่อว่าหลายคนที่อ่านกระทู้นี้ต้องเคยผ่านหรือเจอดราม่าในออฟฟิศกันมาบ้างแล้วนะครับ ซึ่งผมเองก็ผ่านดราม่าในออฟฟิศมาพอสมควรจากการทำงานมาประมาณ 10 กว่าปี และงานส่วนใหญ่จะเป็นในลักษณะงาน Outsource
แน่นอนว่าในสายงาน Outsource นี้ผมทำงานและพบเจอบริษัทมาไม่ต่ำกว่า 100 บริษัทและหลากหลายโรงงาน ซึ่งไม่ใช่แค่การเข้าไปเยี่ยมเท่านั้นนะครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเข้าไปนั่งทำงานและมีการพูดคุยปฏิสัมพันธ์กัน
ช่วงแรกๆสมัยผมพึ่งเรียนจบใหม่ๆ ผมไฟแรงมากและอยากทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ แต่ผมต้องเข้าไปบริษัทอื่นและต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละบริษัทนั้นๆ ทำให้ผมพอมองเห็นดราม่าของบริษัททั้งหมด
บางคนต้องการเป็นที่เกลียดชังเพื่อสร้างกระแส แต่ลับหลังกับรายงานให้เจ้าของบริษัทรับรู้ความเคลื่อนไหวของบริษัททั้งหมด บางคนใช้ดราม่าหรือความเกลียดชังในการทำงาน เช่น มาทำงานแต่เช้าเพื่อมานั่งนินทาคนที่ตัวเองเกลียดชัง จับกลุ่มนินทาคนที่ตัวเองเกลียดชังจะทำให้มีพลังในการทำงานแต่เมื่อบีบหรือกดดันให้คนที่ตัวเองเกลียดออกจากบริษัทได้แล้ว ก็เงียบเหงาจนงานเสียและลาออกไป
บางบริษัทผมทำงานได้อย่างอิสระ แต่บางบริษัทผมไม่สามารถทำงานนั้นได้เลยเพียงแต่เราต้องตามน้ำกับสังคมนั้นๆ ไป ผมผ่านเรื่องพวกนี้มา 10 กว่าปีนับเคสไม่ถ้วนจริงๆ ทั้งสังคมในไทยและต่างประเทศแต่ผมก็พอที่จะสามารถเอาตัวรอดในเรื่องเหล่านี้ได้ เนื่องจากผมเป็นพนักงาน Outsouce และเวลาเรามีจำกัด
ซึ่งมันทำให้ผมตอบโจทย์ที่คนรุ่นใหม่ทำงานไม่ทนได้เพราะดราม่าในออฟฟิศมีมากจริงๆ บางสังคมแค่คุณเดินออกจากห้องเขาก็นินทาว่าร้ายคุณแล้วและพวกเขานินทาทุกคนเหมือนสนุกปากเพราะพวกเยอะ ถ้าคุณอยากอยู่รอดในออฟฟิศคุณก็ต้องเข้ากลุ่มพวกเขาแต่ถ้าคุณไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเขา
คุณก็เตรียมรับรถทัวที่จะทับถมใส่คุณได้เลย ไม่ว่าคุณจะพยายามบอกเขาว่าคุณเป็นคนดีนะ เจตนาดีนะ ก็ไม่เป็นผลเพราะพวกเขาเคยทำแบบนี้มาโดยตลอด ที่ผมเล่ามาทั้งหมดบางคนอาจจะไม่เจอจริงๆ เพราะคิดแค่ว่าก็แค่พื้นฐานในการวางตัวเท่านั้นไม่เห็นต้องคิดมาก แต่ในประสบการณ์ของผม ผมเจอสังคมแบบคุณไม่ถึง 10% นั่นแปลว่า 90% คือสังคมดราม่า
หัวหน้าบางคนป้องกันตัวเองเพราะถ้าเป็นคนดีเกินไปมักโดนเอาเปรียบจากลูกน้องโดยการสร้างบทบาทให้ตัวเองใหม่ให้เป็นคนขี้โมโห โวยวายใส่คนอื่น ซึ่งคนเหล่านี้ก็จะเจอคนที่ชอบสร้างเรื่องให้คนอื่นโดนด่ามาเป็นสาวก ผมก็ไม่เข้าใจนะครับแต่ผมเห็นว่าถ้าอีกคนโดนด่าเขาจะรู้สึกสะใจ ไม่ใช่เห็นใจนะครับ
แต่ผมเองบทบาทค่อนข้างน้อยในเรื่องเหล่านี้เพราะเป็นคนเงียบๆ อะไรก็ได้ มันก็เลยทำให้มีพวกที่คอยช่วยเหลือค่อนข้างเยอะและไม่ค่อยมีใครหมั่นไส้ผมเท่าไหร่ แต่ผมสามารถคบคนที่ดราม่า หรือคนขี้เหวี่ยง ชอบโวยวาย ได้อย่างสบายครับเพราะผมทนพวกเขาได้อย่างสบายนั่นก็ไม่รู้ครับว่าเพราะอะไร
ผมเคยถามพวกเขาอีกเหมือนกันว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรในสังคมการทำงานซึ่งในอีก 2 ปีเราอาจจะไม่รู้จักกันก็เป็นได้ เพราะเราแค่ทำงานกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ผมไม่ได้คำตอบใดๆ กลับมาเลยเป็นเวลามากกว่า 5 ปีแล้ว
เข้าสู่คำถามครับ
1. ผมถามทั้งคนที่ดราม่าโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนะครับว่า...เมื่อคุณสามารถทำลายคนที่คุณเกลียดหรือไม่ชอบในออฟฟิศได้แล้ว คุณเลื่อนขั้นไปถึงจุดที่คุณต้องแบกบริษัทเอาไว้และต้องขายงาน เวลาผ่านไป 1 ปี เมื่อโชคชะตาพาคุณต้องเข้าไปขายงานให้บริษัทที่คนที่คุณเคยเกลียดทำอยู่และเป็นลูกค้าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัท คุณจะทำอย่างไร ? (การแสดงละครไม่เป็นผลนะครับ เพราะชั้นเชิงเขาพอๆ กับคุณและสามารถต่อกรกับคุณได้)
2. ผมถามเจ้าของกิจการนะครับว่าจะสามารถบริหารเรื่องเหล่านี้อย่างไร เพราะคุณจะไม่ได้ Talent หรือพรสวรรค์จากเด็กรุ่นใหม่เลย แต่โดนบดบังด้วยเมฆฝน ?
ผมแชร์ให้ตัวอย่างนึงนะครับและไม่ขอคำตอบซ้ำนะครับ ผมเคยเจอบริษัทต่างประเทศเขาจ้างตำแหน่งใหม่เข้ามาเป็น Audit Manager ประมาณนั้นครับแต่เขาจะใช้ชื่อตำแหน่งแปลกแอบเข้ามาตรวจสอบ ตอนแรกผมไม่ได้เอะใจแต่ด้วยสถานการณ์บอกให้ผมรู้ว่าเงินเดือนมากกว่าเจ้าของบริษัทหลายเท่าเลยครับ
เมื่อเขาเข้ามาไม่นานภายใน 1 เดือน มีคนโดนจ้างออกเยอะมากครับ และภายใน 2 เดือนมีคนโดนให้ออกมากเกือบครึ่งบริษัท และเขาก็ยื่นใบลาออกในเดือนที่ 3 ซึ่งผมรู้เรื่องจากเพื่อนชาวต่างประเทศมาเล่าให้ฟังว่า เขาเรียกเพื่อนผมเข้าไปพบและให้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัท จากนั้น HR ก็เรียกเพื่อนผมในอาทิตย์ต่อมาเพื่อจ้างให้เพื่อนผมออก
เป็นการพูดคุยกับเฉยๆ นะครับไม่ได้ต้องการความสะใจหรือจุดประสงค์ใดๆ ในการสอดเสียดหรือพาดพิงใคร ขอบคุณครับ