JJNY : ‘ธนาธร’ ชี้เลือกตั้ง สว.│ก้าวไกลระยองชงเหตุไฟไหม้ เข้ากมธ.│เปิดเทอมใหญ่ คนกรุงฯ จ่ายอ่วม│เกาะสุมาตราอ่วม! น้ำท่วม

‘ธนาธร’ ชี้เลือกตั้ง สว. เป็นโอกาสซ่อมแซมประเทศ เชื่อผู้สมัครอิสระมีโอกาสเข้ารอบสูงกว่าที่คาด
https://ch3plus.com/news/political/morning/399611

ธนาธร ชี้เลือกตั้ง สว. เป็นโอกาสซ่อมแซมประเทศ บอกเป็นสัญญาณดี เหตุยังไม่เห็นกระบวนการจัดตั้งคนลงสมัคร เชื่อผู้สมัครอิสระมีโอกาสเข้ารอบสูงกว่าที่คาด มองโอกาสอยู่ในมือทุกคนแล้ว ชวนร่วมสมัคร สว. ให้มากที่สุด ดันผู้สมัคร สว.ที่รักความเป็นธรรมชนะได้แน่
 
วันที่ 12 พฤษภาคม 2567 ที่โรงแรม RUS Hotel & Convention เมืองพระนครศรีอยุธยา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดเวทีพบปะประชาชนและผู้สนใจสมัครรับการคัดเลือกเป็น สว. ร่วมกับคณะรณรงค์ สว.ประชาชน โดยภายในงานนอกจากการบรรยายโดยนายธนาธรแล้ว ยังมีกิจกรรมจำลองกระบวนการเลือก สว. ด้วย
 
ในช่วงหนึ่งระหว่างการบรรยาย นายธนาธรยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้การเลือก สว. ครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะซ่อมแซมประเทศไทย นี่คือเหตุผลที่ทำไมตนต้องเดินทางไปกว่า 30 จังหวัดในรอบเดือนที่ผ่านมา เพื่อบอกทุกคนว่าอย่าทิ้งโอกาสในการซ่อมประเทศนี้ หากเราอยากแก้รัฐธรรมนูญเพื่อทำให้องค์กรอิสระกลับมายืนอยู่บนความเป็นธรรมแต่ไม่สนใจการเลือก สว.ครั้งนี้ เราจะไม่มี สว. อุดมการณ์เข้าไป และเราจะยังคงได้ สว. ที่รับใช้ใบสั่งแบบนี้ และจะเสียโอกาสไปอีก 5 ปีที่จะซ่อมประเทศไทย ดังนั้นโอกาสอยู่ในมือเราแล้ว จะใช้โอกาสนี้สร้างประเทศไทยที่ดีกว่านี้หรือไม่อยู่ที่เราทุกคน
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไม่น้อยไปกว่าการเลือกตั้งใหญ่ แม้หลายคนจะคิดว่าจะไปแข่งกับเขาได้อย่างไร มีแต่คะแนนจัดตั้งหาคนลงทุกอำเภอ แต่วันนี้ตนเห็นแนวโน้มแล้วว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น หากดูตัวเลขผู้ที่เดินทางไปรับใบสมัคร สว. ทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่ามีไม่เยอะอย่างที่คิด วันแรกอยู่ที่ราว 1,900 คน วันที่สองราว 1,500 คน รวมเป็นประมาณ 3,400 คน
 
นายธนาธร กล่าวต่อไป ว่าเดิมมีการคาดการณ์ว่าจะมีคนลงสมัคร สว. ถึง 2 แสนคน แต่ตอนนี้ตนมั่นใจว่าไม่ถึง การแข่งขันจะไม่เยอะแบบนั้น ดังนั้น จึงมีโอกาสที่คนที่อยากเห็นประเทศไทยดีขึ้น ถ้าลงสมัครก็มีโอกาสรุดผ่านระดับอำเภอและจังหวัดสูงมาก สนามนี้ถ้าลองพิจารณาดีๆ ไม่ยากขนาดนั้น มีโอกาสสูงมากที่ผู้สมัครอิสระมีโอกาสจะได้เข้าไปทำหน้าที่
 
นอกจากนี้ การขนคนจ้างคนมาลงสมัคร สว. ก็ทำได้ยาก เพราะคนที่ได้รับจ้างต้องไปหยิบใบรับสมัครด้วยตัวเอง ภายในวันที่ 20-24 พฤษภาคมก็ต้องไปยื่นเอกสารเต็มไปหมด วันเลือกก็ต้องไปลงคะแนนจริง ด้วยระบบการเลือกเองก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด กระบวนการในการล็อคจึงยากมาก และแน่นอนว่าไม่มีใครหาคนจัดตั้งมาลงได้ในทุกอาชีพทุกอำเภอแน่ๆ
 
นายธนาธร กล่าวต่อไปว่าไม่มีใครทำกระบวนการล็อกโหวตได้แบบเบ็ดเสร็จขนาดนั้น กลุ่มคนที่จะรวบรวมคนแบบนี้ได้ในแต่ละจังหวัดก็มีแต่นักการเมืองบ้านใหญ่ทั้งนั้น ซึ่งตนยังไม่เห็นว่ามีแรงจูงใจอะไรที่จะทำให้นักการเมืองทั่วไปมาเล่นสนาม สว. กระบวนการจัดตั้งจนถึงวันนี้ยังไม่เกิดขึ้น บ้านใหญ่ไม่มีแรงจูงใจอะไรที่อยากมี สว. ของตัวเอง เพราะใช้ทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ของเขาไม่ได้
 
เพราะฉะนั้น กระบวนการที่เราคิดว่ามันจะเกิดมันถึงไม่เกิด ทีแรกตนก็คิดแบบนั้นเพราะได้ยินมาเยอะว่าจะมีการไปจัดตั้งกลุ่มอาชีพละ 10 คนให้ครบทุกอำเภอ ทีแรกก็กลัวว่าแพ้หมดเลยแน่ ไม่มี สว. อุดมการณ์หลุดรอดเข้าไปแน่ พอเวลาผ่านมาตนเริ่มเห็นแล้วว่ามันไม่เกิด
 
ผมคิดว่ามันมีโอกาส โอกาสอยู่ในมือของทุกคน ทุกวันนี้ยังมองไม่เห็นการทำอย่างนั้นอย่างเป็นระบบ และผมเชื่อว่าถ้ามีประชาชนจำนวนมาก ถ้ามีผู้สมัครอิสระที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมต่ออำเภอต่ออาชีพเยอะพอเข้าไปช่วยกันโหวต ผมว่าโอกาสที่จะชนะมีสูงมาก” นายธนาธรกล่าว



ส.ส.ก้าวไกล ระยอง ชงเหตุไฟไหม้มาบตาพุดแทงค์ เข้า กมธ.อุต เรียกหน่วยงานถกแผนป้องกัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4572933

ส.ส.ก้าวไกล ชี้ไฟไหม้โรงงานสารเคมี ระยอง ต้องทบทวนมาตรการใหม่ให้สอดคล้องความจริง ทั้งแผนประเมินความเสียง-อพยพ ปชช. เตรียมชงข้อเข้าที่ประชุม กมธ.อุตสาหกรรม
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 พฤษภาคม ที่รัฐสภา น.ส.กมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล ส.ส.ระยอง พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ  (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงกรณีเพลิงไหม้โรงงานถังเก็บสารไพโรไลซิส แก๊สโซลีน บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด  อ.มาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 5 ราย ว่าขอแสดงความเสียใจกับที่ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ขอชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ นักผจญเพลิงที่ได้รับเข้าระงับเหตุกันอย่างเต็มความสามารถ แม้จะระงับเหตุได้ แต่ยังเกิดปัญหาอุปสรรคหลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุไม่สามารถควบคุมเพลิงได้รวดเร็วทันท่วงที การแจ้งเหตุ การสื่อสารกับประชาชน และสื่อมวลชนค่อนข้างน้อย ล่าช้า ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความตระหนก ความสับสนกับประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ทราบว่าจะต้องป้องกันตัวเองอย่างไร มีชุมชนใดต้องอพยพ อพยพไปที่ใดถึงจะปลอดภัย
 
น.ส.กมลทรรศน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ การเฝ้าระวังคุณภาพอากาศของหน่วยงาน การดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้นสุขภาพประชาชนในพื้นที่เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ การตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นไปตามกับทิศทางลมหรือไม่ เนื่องจากปลายทางของทิศทางลมที่พัดพาควันจากเพลิงไหม้ไปทาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง และ ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.ระยอง แต่จุดวัดคุณภาพอากาศยังอยู่ที่ชุมชนตากวน ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้าม ขณะเดียวกันมีประชาชนได้รับผลกระทบสุขภาพ เช่น ระคายเคืองผิว แสบตา แสบคอ เวียนศีรษะ อาเจียน มีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจสุขภาพในพื้นที่พบว่าแสดงอาการถึงกว่า 100 คน ในจำนวนนี้อาการหนัก 60 กว่าคน แต่ตัวเลขการตรวจวัดคุณภาพอากาศกลับบอกว่าปกติ
 
น.ส.กมลทรรศน์กล่าวว่า ขอถามว่าใช้เกณฑ์ใดในการตรวจวัด ซึ่งตนในฐานะรองประธาน กมธ.อุตสาหกรรม จะนำข้อสังเกตดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในการประชุม กมธ. วันที่ 15 พ.ค.นี้ เพื่อจะได้พิจารณาเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นิคมอุตสาหกรรม และบริษัทธุรกิจในนิคมมาชี้แจงต่อ กมธ.เพื่อหาแนวทางป้องกันรับมือต่อไป
 
เราควรมาร่วมกันป้องกัน ปรับปรุง ทบทวนมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการป้องกันเหตุ การประเมินความเสี่ยงแผนฉุกเฉิน แผนเผชิญเหตุ แผนอพยพประชาชน แผนการสื่อสารกับประชาชนและสื่อมวลชน รวมถึงแผนการฟื้นฟูเยียวยา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง จ.ระยอง ได้ถูกประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษตั้งแต่ปี 2552 แต่กลับมีจำนวนโรงงานเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี ดังนั้น การประเมินศักยภาพการรองรับมลพิษจากอุตสาหกรรมต้องมีการทบทวนหรือไม่ ศักยภาพการรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินระดับจังหวัดควรต้องมีการทบทวนหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมสร้างผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งแวดล้อม
 
ดังนั้น จ.ระยอง ควรมีมาตรการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินแบบข้อความส่งตรงประชาชนในพื้นที่ เพื่อรับมือเหตุการณ์ ขณะที่ส่วนราชการควรสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ง่ายต่อการบริหารจัดการเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดย จ.ระยอง อาจสร้างเป็นโมเดลในการดำเนินการ” น.ส.กมลทรรศน์กล่าว



เปิดเทอมใหญ่ปี’67 คนกรุงฯ จ่ายอ่วม 2.9 หมื่นล. ชี้ จ่ายเพิ่มขึ้นทุกปี แต่คุณภาพการศึกษาลดลง
https://www.matichon.co.th/economy/news_4572724
 
เปิดเทอมใหญ่ปี’67 คนกรุงฯ จ่ายอ่วม 2.9 หมื่นล. ชี้ จ่ายเพิ่มขึ้นทุกปี แต่คุณภาพการศึกษาลดลง
 
เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (Kasikorn Research Center) เผยแพร่บทความวิเคราะห์เกี่ยวกับมูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลานของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2567 มีรายละเอียดดังนี้
 
​เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูง ผู้ปกครองใช้จ่ายประหยัด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลานของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2567 เพิ่มขึ้นเพียงประมาณ 2.3% เทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีมูลค่าประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท
 
• มองไปข้างหน้า เทรนด์ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่การศึกษาของไทยยังมีประเด็นคุณภาพที่ต้องเร่งจัดการ
• ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาระบบการศึกษาไทยระยะยาว อาทิ การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไป การยกระดับโรงเรียนอาชีวะศึกษา รวมถึงการเพิ่มความรู้ใหม่ๆ ให้กับบุคลากรผู้สอน
 
การใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงการเปิดภาคการศึกษาใหม่ปี 2567 ส่วนใหญ่ผู้ปกครองมีการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้เพื่อจัดสรรให้กับค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาที่เพิ่มขึ้น
 
• ค่าเทอมและค่าธรรมเนียม (คำนวณในส่วนของโรงเรียนรัฐและเอกชน ไม่รวมโรงเรียนนานาชาติ) โดยเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้น 2.6% จากผลสำรวจในปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่า 24,430 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโรงเรียนเอกชนบางแห่งมีการปรับค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนเข้าใหม่ เนื่องจากต้นทุนการทำธุรกิจอย่างค่าจ้างบุคลากร หรือค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น
 
• ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน รองเท้า เป็นต้น เพิ่มขึ้นเพียง 1.9% จากผลสำรวจในปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่า 2,750 ล้านบาท การปรับเพิ่มขึ้นหลักๆ มาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูง ขณะที่ผู้ปกครองควบคุมงบประมาณการซื้อชุดนักเรียน และเลือกซื้อที่มีการจัดโปรโมชั่น
 
• ค่าเรียนพิเศษ/กวดวิชา และเสริมทักษะลดลง 0.7% จากผลสำรวจในปีที่ผ่านมา หรือมีมูลค่า 1,490 ล้านบาท โดยผู้ปกครองบางกลุ่มมีการปรับลดวิชาเรียน เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่จำเป็น เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นผู้ปกครองคงจะให้บุตรหลานเรียนกวดวิชาและเสริมทักษะเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายรายวันสำหรับบุตรหลานไปโรงเรียนคงที่หรือไม่เปลี่ยนแปลงจากผลสำรวจในปีที่ผ่านมา
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาสำหรับบุตรหลานของผู้ปกครองในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในช่วงเปิดเทอมใหญ่ปี 2567 เพิ่มขึ้นเพียง 2.3% เทียบกับผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีมูลค่าประมาณ 2.9 หมื่นล้านบาท 
 
มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อการศึกษาที่เพิ่มขึ้นข้างต้น อาจไม่ได้สะท้อนว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีทิศทางที่ดี แต่เป็นผลจากการเปรียบเทียบกับผลด้านราคาและค่าครองชีพ ขณะที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยพิจารณาเลือกตัดลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก้อนอื่นๆ ควบคู่กับการหาแหล่งรายได้อื่นเข้ามาเพิ่มทดแทน
 
มองไปข้างหน้า ปัจจัยแวดล้อมของการศึกษาที่มีการเปลี่ยนแปลง บทบาทของเทคโนโลยีที่มากขึ้น การแข่งขันในตลาดแรงงานสูงจากโลกของการทำธุรกิจเปลี่ยนไปมีผลทำให้ความต้องการแรงงานมีทักษะที่เปลี่ยนไป แต่การศึกษาของไทยมีหลายประเด็นที่ภาครัฐคงต้องให้ความสำคัญในการวางแผนแก้ไขอย่างจริงจัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่