พิธา เรียกร้อง ‘รัฐบาล’ โฟกัสปัญหาปชช. ชี้บริหารประเทศมาหลายเดือน ‘ผลงาน’ ยังไม่ชัด
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570920
พิธา ชี้รัฐบาล ควรโฟกัสที่ปัญหาของประชาชน มากกว่ามาเล่นการเมืองกัน
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตราดหลังเดินทางมาทำการเปิดตัว “
ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.ตราด” นาย
ชลธี นุ่มหนู ว่า ปัญหาความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเรื่องการลาออกจากรัฐมนตรี 2 คน และการขัดแย้งเรื่องนโยบายองพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเรื่องกัญชาและเรื่องยาเสพติดเพื่อนำกลับมาสู่ระบบอีกครั้ง หรือปัญหาการลดราคาพลังงานนั้น เป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
ซึ่งเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลไม่ต้องการเห็นรัฐบาลมีความขัดแย้งกันในลักษณะนี้ หรือรักษาอำนาจของรัฐบาล แต่เรียกร้องให้รัฐบาลควรจะไปโฟกัสไปที่ปัญหาของประชาชนมากกว่า ซึ่งวันนี้รัฐบาลต้องมองไปที่ผลงานของรัฐบาลที่ได้บริหารมานานหลายเดือนที่วันนี้ผลงานยังไม่ปรากฏชัดเจนมากนัก
“
ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ปัญหาในเมียนมาที่คนของเราทีมเข้าไปเจรจา ซึ่งการไปเจรจาใช้อำนาจหน้าที่ใดในการเข้าไปแก้ปัญหา เพราะหากไม่มีฐานทางตำแหน่งที่จะสามารถรับผิดชอบในการเดินทางไปเจรจาได้ย่อมเกิดภาพที่ไม่ดี และหากหากเกิดปัญหาขึ้นต้องมีรับผิดชอบ ซึ่งวันนี้สหประชาชาติได้มีการแต่งตั้งผู้แทนของสหประชาชาติเข้าไปแก้ปัญหา และหากเข้าไปเจรจาจะต้องมีการรายงานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับรู้ด้วยในทุกเรื่อง
นอกจากนี้รัฐบาลออสเตรเลียตั้งอดีตรมว.ต่างประเทศเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจเจรจาหรือแก้ปัญหา เขามีฐานทางตำแหน่งที่สามารถรับผิดชอบได้ แต่ในส่วนของไทยไม่มีฐานอะไรเลย”
สำหรับเรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอบจ.ในแต่ละจังหวัดนั้น นายพิธา กล่าวว่า ได้ดำเนินการไปแล้ว 5 จังหวัดคือ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี ลำพูน และที่ตราดในวันนี้ มาเปิดตัว คุณ
ชลธี นุ่มหนู ซึ่งเราจะเน้นในเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ซึ่งการทำงานการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้เพื่อทำงานอย่างไร้รอยต่อ ที่สภาระดับชาติและสภาท้องถิ่นสามารถทำงานกันได้ เพราะตราดมีส.ส.ตราดของพรรคก้าวไกล คือ นาย
ศักดินัย นุ่มหนู เป็นส.ส.ของพรรค แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบบ้านใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช้ เพราะ
ชลธี นุ่มหนู คือข้าราชการน้ำดี เป็นมือปราบทุเรียนอ่อนที่สังคมไทยรับรู้ ซึ่งเป็นคนที่มีคุณภาพที่จะมาทำงานให้พี่น้องชาวตราด
ขณะที่นาย
ชลธี กล่าวว่า การตัดสินใจ ลงสมัครนายกอบจ.ตราดครั้งนี้ มาจากความต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงพัฒนาจังหวัดตราดบ้านเกิดให้ดีกว่านี้โดยเฉพาะด้านการเกษตร อยากจะวางรากฐานเพื่อให้เกิดการพัฒนา เช่น โครงข่ายระบบท่อส่งน้ำ ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดินปุ๋ย ตลาดเกษตรกร โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร สร้างแบรนด์ผลไม้ตราด ฟื้นฟูอาชีพการประมง ผลักดันเรื่องการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน และอีกหลายอย่าง ที่เป็นเรื่องปากท้องและการทำมาหากินของคนตราด
ซึ่งนโยบายที่มีอยู่ 40 โครงการได้ร่วมกันคิดร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้จังหวัดตราดให้เติบโต ตามสโลแกน
“ตราดเป็นอะไรได้มากกว่านี้” ซึ่งสิ่งที่จะเข้ามาทำจะเน้นในเรื่องการพัฒนาการเกษตรกรรม และเน้นให้จังหวัดตราดมีน้ำเพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดความขาดแคลนเหมือนในปีนี้อีก และเรื่องการดูแลประชาชนชาวตราดโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะเป็นเรื่องหลัก
จากนั้น นาย
ชลธี นุ่มหนู ได้เปิดตัวทีมงาน ทีมประกอบด้วย ว่ารองนายกอบจ. 2 คน คือ นาย
จตุพัฒน์ ฤกษ์สหกุล ดูแลด้านเศรษฐกิจ นาย
ยศพัฒน์ ซื่อจงภักดิ์ ส.อบจ.ตราด พร้อมทีมงานด้านการท่องเที่ยว ด้านสาธารณสุขมาร่วมงานด้วย
เหวง แนะรบ. ย้อนเอาผิด พวกตั้งใจไม่ขายข้าว ต้นเรื่องวุ่น ทำค้างโกดังนาน 10 ปี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570502
เหวง แนะรบ. ย้อนเอาผิด พวกตั้งใจไม่ขายข้าว ต้นเรื่องวุ่น ทำค้างโกดังนาน 10 ปี
จากกรณีที่รัฐบาลเตรียมเปิดประมูลข้าว ค้างสต๊อก จากโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 15,000 ตัน ที่โกดังในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ โดย นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่นำตัวอย่างข้าวมาหุงกินโชว์ การันตีข้าวเก็บ 10 ปีแต่ยังกินได้ จนเกิดเป็นเสียงวิจารณ์ต่างๆ ว่า ทำไมไม่ขาย เก็บไว้ทำไมถึง 10 ปีนั้น
ล่าสุด (11 พ.ค.) นพ.
เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแกนนำ นปช. คนเสื้อแดง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
“
ทำไมไม่เอาพวกขายข้าวดีเป็นข้าวเน่ามาลงโทษ?ทำไมไม่ลงโทษพวกที่ตั้งใจไม่ขายข้าวดีปล่อยนานตั้งสิบปีนี่ต่างหากที่รัฐบาลต้องทำ”
https://www.facebook.com/drwengtojirakarn/posts/pfbid02aiDRRtNFqWNMiRSRfKDx6SeCF9kodJ5Ly4Az2RAVXsrMnZPekcwzduWHcELZnZ4Hl
วีระ ฮึ่มป.ป.ช. ถ้า 15 วันยังเฉย ไม่เปิดสำนวนคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม อย่างที่ศาลสั่ง ไปยื่นออกหมายจับแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570950
วีระ ฮึ่มป.ป.ช. ถ้า 15 วันยังเฉย ไม่เปิดสำนวนคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม ตามที่ศาลสั่ง ไปยื่นออกหมายจับแน่
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น ได้โพสต์แสดงความเห็นกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งปรับเงินกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รายละ 5,000 บาท หลังให้เปิดเผยสำนวน การไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในเรื่องนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับ โดยระบุว่า
ป.ป.ช. แพ้คดีซ้ำซาก อย่าบังอาจลองดี ท้าทายอำนาจศาลอีกเลย หลังจาก ป.ป.ช. ได้รับคำสั่งศาลปกครองกลาง ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ควรต้องรีบปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที
หลังจาก ป.ป.ช. ได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวนี้แล้ว ต้องรีบจัดส่งเอกสารทั้ง 3 รายการตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายได้มีคำวินิจฉัย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (สำนักงาน ป.ป.ช. โดยเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบ) ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ พร้อมทั้งให้สำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องครบถ้วนแก่ผู้ฟ้องคดี (นายวีระ สมความคิด) แต่จนถึงบัดนี้ ป.ป.ช. ก็ยังไม่ปฏิบัติตามการบังคับของสำนักงานข้อมูลข่าวสาร และตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ 224/2566
ดังนั้น หากนาย
วีระ สมความคิด ผู้ฟ้องคดี ยังไม่ได้รับเอกสารทั้งสามรายการดังกล่าวอย่างถูกต้องครบถ้วนภายใน 15 วัน นับแต่ ป.ป.ช. ได้รับทราบคำสั่งของศาลปกครองกลาง ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นายวีระ ก็จะเป็นต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1(เลขาธิการ ป.ป.ช.) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรรมการ ป.ป.ช. ที่กระทำความผิดร่วมลงมติไม่ให้เอกสารทั้งสามรายการแก่นายวีระ สมความคิด) มาขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะพ้นจากหน้าที่ทันที และอาจต้องติดคุกยาวตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตอีกด้วย นอกจากนี้นาย
วีระ เตรียมยื่นเรื่องเพื่อส่งศาลฎีกาฯ ให้พิจารณาตามรัฐธรมนูญ มาตรา 237 ต่อไป ซึ่งหากศาลรับเรื่องไว้พิจารณา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่กระทำความผิด ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid035CEf7eF3HY6uGybbbwp1AmCGRHoGw16n5mgkak4F7R9ueH3WqR9zhvAFK2UVD1qhl&id=100003292227570
ประชาชนทยอยขอใบสมัคร สว. เขตจตุจักรวันที่ 2 มองค่าธรรมเนียมยังราคาสูง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2784853
บรรยากาศ ขอใบรับสมัครรับเลือก สว. วันที่ 2 เขตจตุจักร ยอดรวมแล้ว 30 ราย ผู้สนใจสมัคร สว. โอด ค่าธรรมเนียมใบสมัครราคายังสูง และยังมีค่าจิปาถะอื่นๆ อีก
วันที่ 11 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอรับใบสมัครได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และที่ว่าการอำเภอในต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำนักงานเขตจตุจักร พบว่าประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาขอใบสมัครอย่างต่อเนื่อง โดย 1 ในผู้เดินทางมาขอใบสมัคร เปิดเผยว่า วันนี้ตั้งใจมาสมัครรับเลือกฯ ในกลุ่มอาชีพ พร้อมระบุว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องใช้ในการสมัครเข้ารับเลือก สว.ครั้งนี้ ยังคงมีค่าจิปาถะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าถ่ายรูป ซึ่งเมื่อเช้านี้ตนก็เดินทางไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอกชนมา มีค่าใช้จ่าย 1,000 บาท พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงค่าสมัคร จำนวน 2,500 บาท ว่าจะใช้ไปทำอะไรบ้าง ส่วนเท่าที่ตนทราบมาก็จะมีงบจากส่วนกลางมาเสริมให้กับ กกต. อีกจำนวนหนึ่ง จึงเห็นว่าค่าธรรมเนียมราคานี้เป็นจำนวนที่สูงอยู่พอสมควร
ขณะที่ตัวเลขของผู้สมัครในวันแรก (10 พฤษภาคม 2567) ของสำนักงานเขตจตุจักร มีจำนวน 25 คน และในวันนี้ (11 พฤษภาคม 2567) มีมาเพิ่มอีก 5 คน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงการเปิดขอรับใบสมัคร ผู้สมัครจะต้องใช้บัตรประชาชนในการยืนยันตัวตน และเจ้าหน้าที่จะพิมพ์เอกสารรายบุคคล ซึ่งจะมี QR Code ในการแสดงข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ในวันรับสมัครต่อไป โดยในใบสมัครจะประกอบด้วยเอกสาร สว.2 จำนวน 5 แผ่น ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครรวมทั้งการตอบคำถามอื่นๆ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ รวมถึงเอกสาร สว.3 จำนวน 1 แผ่น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการและแนะนำตัวของผู้สมัคร รูปถ่ายขนาดใหญ่และหมายเลขประจำตัว รวมทั้งประวัติการทำงานในกลุ่มที่สมัครที่มีพื้นที่เขียนจำนวนไม่เกิน 5 บรรทัด และสุดท้ายคือเอกสาร สว.4 จำนวน 1 แผ่น ซึ่งเป็นเอกสารที่จะรับรองความเชี่ยวชาญ ในขั้นตอนสุดท้าย
JJNY : 5in1 พิธาร้องโฟกัสปัญหาปชช.│เหวงแนะย้อนเอาผิด│วีระ ฮึ่มป.ป.ช.│ปชช.ทยอยขอใบสมัคร สว.│พายุสุริยะรุนแรงสุดรอบ 20 ปี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570920
พิธา ชี้รัฐบาล ควรโฟกัสที่ปัญหาของประชาชน มากกว่ามาเล่นการเมืองกัน
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตราดหลังเดินทางมาทำการเปิดตัว “ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.ตราด” นายชลธี นุ่มหนู ว่า ปัญหาความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเรื่องการลาออกจากรัฐมนตรี 2 คน และการขัดแย้งเรื่องนโยบายองพรรคร่วมรัฐบาลทั้งเรื่องกัญชาและเรื่องยาเสพติดเพื่อนำกลับมาสู่ระบบอีกครั้ง หรือปัญหาการลดราคาพลังงานนั้น เป็นเรื่องปกติของพรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย
ซึ่งเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลไม่ต้องการเห็นรัฐบาลมีความขัดแย้งกันในลักษณะนี้ หรือรักษาอำนาจของรัฐบาล แต่เรียกร้องให้รัฐบาลควรจะไปโฟกัสไปที่ปัญหาของประชาชนมากกว่า ซึ่งวันนี้รัฐบาลต้องมองไปที่ผลงานของรัฐบาลที่ได้บริหารมานานหลายเดือนที่วันนี้ผลงานยังไม่ปรากฏชัดเจนมากนัก
“ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ปัญหาในเมียนมาที่คนของเราทีมเข้าไปเจรจา ซึ่งการไปเจรจาใช้อำนาจหน้าที่ใดในการเข้าไปแก้ปัญหา เพราะหากไม่มีฐานทางตำแหน่งที่จะสามารถรับผิดชอบในการเดินทางไปเจรจาได้ย่อมเกิดภาพที่ไม่ดี และหากหากเกิดปัญหาขึ้นต้องมีรับผิดชอบ ซึ่งวันนี้สหประชาชาติได้มีการแต่งตั้งผู้แทนของสหประชาชาติเข้าไปแก้ปัญหา และหากเข้าไปเจรจาจะต้องมีการรายงานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับรู้ด้วยในทุกเรื่อง
นอกจากนี้รัฐบาลออสเตรเลียตั้งอดีตรมว.ต่างประเทศเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจเจรจาหรือแก้ปัญหา เขามีฐานทางตำแหน่งที่สามารถรับผิดชอบได้ แต่ในส่วนของไทยไม่มีฐานอะไรเลย”
สำหรับเรื่องการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งอบจ.ในแต่ละจังหวัดนั้น นายพิธา กล่าวว่า ได้ดำเนินการไปแล้ว 5 จังหวัดคือ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี ลำพูน และที่ตราดในวันนี้ มาเปิดตัว คุณชลธี นุ่มหนู ซึ่งเราจะเน้นในเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ
ซึ่งการทำงานการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้เพื่อทำงานอย่างไร้รอยต่อ ที่สภาระดับชาติและสภาท้องถิ่นสามารถทำงานกันได้ เพราะตราดมีส.ส.ตราดของพรรคก้าวไกล คือ นายศักดินัย นุ่มหนู เป็นส.ส.ของพรรค แม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่ใช่การทำงานแบบบ้านใหญ่ เรื่องนี้ไม่ใช้ เพราะชลธี นุ่มหนู คือข้าราชการน้ำดี เป็นมือปราบทุเรียนอ่อนที่สังคมไทยรับรู้ ซึ่งเป็นคนที่มีคุณภาพที่จะมาทำงานให้พี่น้องชาวตราด
ขณะที่นายชลธี กล่าวว่า การตัดสินใจ ลงสมัครนายกอบจ.ตราดครั้งนี้ มาจากความต้องการเข้ามาเปลี่ยนแปลงพัฒนาจังหวัดตราดบ้านเกิดให้ดีกว่านี้โดยเฉพาะด้านการเกษตร อยากจะวางรากฐานเพื่อให้เกิดการพัฒนา เช่น โครงข่ายระบบท่อส่งน้ำ ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ดินปุ๋ย ตลาดเกษตรกร โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร สร้างแบรนด์ผลไม้ตราด ฟื้นฟูอาชีพการประมง ผลักดันเรื่องการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน และอีกหลายอย่าง ที่เป็นเรื่องปากท้องและการทำมาหากินของคนตราด
ซึ่งนโยบายที่มีอยู่ 40 โครงการได้ร่วมกันคิดร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้จังหวัดตราดให้เติบโต ตามสโลแกน “ตราดเป็นอะไรได้มากกว่านี้” ซึ่งสิ่งที่จะเข้ามาทำจะเน้นในเรื่องการพัฒนาการเกษตรกรรม และเน้นให้จังหวัดตราดมีน้ำเพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดความขาดแคลนเหมือนในปีนี้อีก และเรื่องการดูแลประชาชนชาวตราดโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะเป็นเรื่องหลัก
จากนั้น นายชลธี นุ่มหนู ได้เปิดตัวทีมงาน ทีมประกอบด้วย ว่ารองนายกอบจ. 2 คน คือ นายจตุพัฒน์ ฤกษ์สหกุล ดูแลด้านเศรษฐกิจ นายยศพัฒน์ ซื่อจงภักดิ์ ส.อบจ.ตราด พร้อมทีมงานด้านการท่องเที่ยว ด้านสาธารณสุขมาร่วมงานด้วย
เหวง แนะรบ. ย้อนเอาผิด พวกตั้งใจไม่ขายข้าว ต้นเรื่องวุ่น ทำค้างโกดังนาน 10 ปี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570502
เหวง แนะรบ. ย้อนเอาผิด พวกตั้งใจไม่ขายข้าว ต้นเรื่องวุ่น ทำค้างโกดังนาน 10 ปี
จากกรณีที่รัฐบาลเตรียมเปิดประมูลข้าว ค้างสต๊อก จากโครงการรับจำนำข้าว จำนวน 15,000 ตัน ที่โกดังในจังหวัดสุรินทร์ เพื่อส่งออกไปต่างประเทศ โดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่นำตัวอย่างข้าวมาหุงกินโชว์ การันตีข้าวเก็บ 10 ปีแต่ยังกินได้ จนเกิดเป็นเสียงวิจารณ์ต่างๆ ว่า ทำไมไม่ขาย เก็บไว้ทำไมถึง 10 ปีนั้น
ล่าสุด (11 พ.ค.) นพ.เหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแกนนำ นปช. คนเสื้อแดง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
“ทำไมไม่เอาพวกขายข้าวดีเป็นข้าวเน่ามาลงโทษ?ทำไมไม่ลงโทษพวกที่ตั้งใจไม่ขายข้าวดีปล่อยนานตั้งสิบปีนี่ต่างหากที่รัฐบาลต้องทำ”
https://www.facebook.com/drwengtojirakarn/posts/pfbid02aiDRRtNFqWNMiRSRfKDx6SeCF9kodJ5Ly4Az2RAVXsrMnZPekcwzduWHcELZnZ4Hl
วีระ ฮึ่มป.ป.ช. ถ้า 15 วันยังเฉย ไม่เปิดสำนวนคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม อย่างที่ศาลสั่ง ไปยื่นออกหมายจับแน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4570950
วีระ ฮึ่มป.ป.ช. ถ้า 15 วันยังเฉย ไม่เปิดสำนวนคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม ตามที่ศาลสั่ง ไปยื่นออกหมายจับแน่
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น ได้โพสต์แสดงความเห็นกรณีที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งปรับเงินกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รายละ 5,000 บาท หลังให้เปิดเผยสำนวน การไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในเรื่องนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับ โดยระบุว่า
ป.ป.ช. แพ้คดีซ้ำซาก อย่าบังอาจลองดี ท้าทายอำนาจศาลอีกเลย หลังจาก ป.ป.ช. ได้รับคำสั่งศาลปกครองกลาง ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ควรต้องรีบปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที
หลังจาก ป.ป.ช. ได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวนี้แล้ว ต้องรีบจัดส่งเอกสารทั้ง 3 รายการตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายได้มีคำวินิจฉัย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (สำนักงาน ป.ป.ช. โดยเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นผู้รับผิดชอบ) ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ พร้อมทั้งให้สำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องครบถ้วนแก่ผู้ฟ้องคดี (นายวีระ สมความคิด) แต่จนถึงบัดนี้ ป.ป.ช. ก็ยังไม่ปฏิบัติตามการบังคับของสำนักงานข้อมูลข่าวสาร และตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ 224/2566
ดังนั้น หากนายวีระ สมความคิด ผู้ฟ้องคดี ยังไม่ได้รับเอกสารทั้งสามรายการดังกล่าวอย่างถูกต้องครบถ้วนภายใน 15 วัน นับแต่ ป.ป.ช. ได้รับทราบคำสั่งของศาลปกครองกลาง ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นายวีระ ก็จะเป็นต้องยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1(เลขาธิการ ป.ป.ช.) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรรมการ ป.ป.ช. ที่กระทำความผิดร่วมลงมติไม่ให้เอกสารทั้งสามรายการแก่นายวีระ สมความคิด) มาขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาลอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะพ้นจากหน้าที่ทันที และอาจต้องติดคุกยาวตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตอีกด้วย นอกจากนี้นายวีระ เตรียมยื่นเรื่องเพื่อส่งศาลฎีกาฯ ให้พิจารณาตามรัฐธรมนูญ มาตรา 237 ต่อไป ซึ่งหากศาลรับเรื่องไว้พิจารณา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่กระทำความผิด ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid035CEf7eF3HY6uGybbbwp1AmCGRHoGw16n5mgkak4F7R9ueH3WqR9zhvAFK2UVD1qhl&id=100003292227570
ประชาชนทยอยขอใบสมัคร สว. เขตจตุจักรวันที่ 2 มองค่าธรรมเนียมยังราคาสูง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2784853
บรรยากาศ ขอใบรับสมัครรับเลือก สว. วันที่ 2 เขตจตุจักร ยอดรวมแล้ว 30 ราย ผู้สนใจสมัคร สว. โอด ค่าธรรมเนียมใบสมัครราคายังสูง และยังมีค่าจิปาถะอื่นๆ อีก
วันที่ 11 พฤษภาคม 2567 หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ขอรับใบสมัครได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และที่ว่าการอำเภอในต่างจังหวัด
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำนักงานเขตจตุจักร พบว่าประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาขอใบสมัครอย่างต่อเนื่อง โดย 1 ในผู้เดินทางมาขอใบสมัคร เปิดเผยว่า วันนี้ตั้งใจมาสมัครรับเลือกฯ ในกลุ่มอาชีพ พร้อมระบุว่า ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องใช้ในการสมัครเข้ารับเลือก สว.ครั้งนี้ ยังคงมีค่าจิปาถะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าถ่ายรูป ซึ่งเมื่อเช้านี้ตนก็เดินทางไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเอกชนมา มีค่าใช้จ่าย 1,000 บาท พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงค่าสมัคร จำนวน 2,500 บาท ว่าจะใช้ไปทำอะไรบ้าง ส่วนเท่าที่ตนทราบมาก็จะมีงบจากส่วนกลางมาเสริมให้กับ กกต. อีกจำนวนหนึ่ง จึงเห็นว่าค่าธรรมเนียมราคานี้เป็นจำนวนที่สูงอยู่พอสมควร
ขณะที่ตัวเลขของผู้สมัครในวันแรก (10 พฤษภาคม 2567) ของสำนักงานเขตจตุจักร มีจำนวน 25 คน และในวันนี้ (11 พฤษภาคม 2567) มีมาเพิ่มอีก 5 คน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงการเปิดขอรับใบสมัคร ผู้สมัครจะต้องใช้บัตรประชาชนในการยืนยันตัวตน และเจ้าหน้าที่จะพิมพ์เอกสารรายบุคคล ซึ่งจะมี QR Code ในการแสดงข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ในวันรับสมัครต่อไป โดยในใบสมัครจะประกอบด้วยเอกสาร สว.2 จำนวน 5 แผ่น ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัครรวมทั้งการตอบคำถามอื่นๆ เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ รวมถึงเอกสาร สว.3 จำนวน 1 แผ่น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการและแนะนำตัวของผู้สมัคร รูปถ่ายขนาดใหญ่และหมายเลขประจำตัว รวมทั้งประวัติการทำงานในกลุ่มที่สมัครที่มีพื้นที่เขียนจำนวนไม่เกิน 5 บรรทัด และสุดท้ายคือเอกสาร สว.4 จำนวน 1 แผ่น ซึ่งเป็นเอกสารที่จะรับรองความเชี่ยวชาญ ในขั้นตอนสุดท้าย