หลังจากนั้นเราก็เริ่มเขียนจดหมายหากัน เขียนส่งไปส่งมา ส่งไปส่งมา เวลาเขียนไปก็จะต้องรอเขาตอบกลับประมาณ 2 อาทิตย์มันเป็นเพราะว่าจดหมายมันส่งผ่านทางเครื่องบินมันต้องใช้เวลา สมัยนั้นมีคอมพิวเตอร์แล้วแต่อีเมลยังไม่เป็นที่นิยมยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการติดต่อสื่อสารกันสมัยนั้นเลยต้องใช้จดหมาย เราเขียนจดหมายไปหาการแบบนี้เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้กันฟังเป็นเวลาทั้งสิ้น 4 ปีจนกระทั่งเราจบ เรียนจบมหาวิทยาลัย เราก็เลยคิดว่าน่าจะเชิญเขามาร่วมงานรับปริญญาเราแล้วก็เลยเขียนจดหมายไปบอกเขาว่าเราเรียนจบแล้วแล้วงานรับปริญญาจะมีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้าจะมาไหมเขาก็บอกว่าไม่แน่ใจ เราก็ไม่ได้หวังอะไรว่าเขาจะมา เพราะเขาก็ไม่ได้ตอบเราชัดเจนว่าจะมาหรือไม่มา แต่แล้ว 1 เดือนก่อนงานรับปริญญาเราได้งานที่ร้านเชสเตอร์กริลล์ วันนึงอยู่ๆก่อนที่จะไปเข้างานประมาณช่วงเที่ยงๆมั้งมีโทรศัพท์มาที่บ้านแล้วเขาบอกว่าขอพูดกับเรา เขาเป็นตำรวจอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเขาบอกว่าคุณมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติไหมชื่อว่า Robert เราก็บอกว่ามีค่ะ เขาก็บอกว่ากรุณามาพบเพื่อนด้วยเขารออยู่ที่นี่นะ เราตกใจมากตอนนั้น จริงหรอ? เขาอยู่ที่นั่นหรอ? แล้วคุณตำรวจก็บอกว่าใช่เขาอยู่ที่นี่เขาตามหาคุณมา 2 วันแล้วแต่หาไม่เจอ แต่เขามีเบอร์โทรของคุณก็เลยให้ผมโทรหาให้ พอเราวางสายจากเขาปุ๊บเราตกใจมากแล้วก็ดีใจมากคือมันเซอร์ไพรส์มากๆ ก็เลยรีบไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติดีที่ว่าบ้านเราก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไหร่พอไปถึงเจอเขา ใส่เสื้อสีขาว คือหล่อมาก แล้วก็หอบ ช่อดอกไม้ ดอกกุหลาบใหญ่มากคือมันไม่ได้เป็นช่อแบบสวยงามนะ มันเป็นหอบที่เขาพันนึกออกไหมว่าสมัยก่อนมันจะมีรถซาเล้งที่ขายดอกกุหลาบ ห่อใหญ่ๆแล้วก็เขาจะพันด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ห่อใหญ่ๆขนาดนั้นน่ะเขาหอบเขาถืออยู่ในมือ เพื่อให้เรา แล้วแบบ Oh My God เค้ามาเซอร์ไพรส์เรา คือตกใจมาก พอมอบดอกไม้ให้เราแล้วเขาก็บอกว่า มาหามาแสดงความยินดี คุณ ตำรวจเล่าให้ฟังว่า เมื่อ 2 วันก่อน เพื่อนคุณมาขอความช่วยเหลือ เอาที่อยู่ของคุณมาให้แล้วบอกว่าช่วยพาไปตามที่อยู่นี้ได้ไหม เพราะเขาไปเองไม่ถูกคุณตำรวจก็เลยบอกว่าได้ก็เลยพาขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขับหา เขาบอกว่าขับวนหาอยู่ 2 วันหาไม่เจอจนผมก็เลยบอกเขาว่าคนมีเบอร์โทรของเพื่อนคุณไหมให้โทรหาเขาเถอะให้เขามารับเพราะเราก็ช่วยคุณหามา 2 วันแล้วก็ยังหาไม่เจอเราก็เลยเข้าใจ หลังจากนั้น พอคุณตำรวจได้รู้จักบ้านของเราแล้วเขาก็บอกว่าโอ๋จริงๆแล้วเนี่ยขับผ่านบ้านขับผ่านซอยบ้านคุณมาแล้วเพียงแต่ว่า บ้านเรา อยู่ในซอยที่มันต้องข้ามคลองเล็กๆเข้าไปอีกซึ่งมันทำให้เขามองข้ามไปก็เลยหาไม่เจอ
พอหลังจากที่เขามาเราก็พาเขาไปที่ทำงานเพราะเราก็ต้องไปทำงานต่อ ก็บอกให้เขาไปเที่ยวเล่นรอเราก่อนก็ได้เพราะเราต้องทำงานอยู่ที่นี่แล้วหลังเลิกงานแล้วค่อยมารับก็ได้ก็พอหลังเลิกงานเขาก็มารับแล้วก็พาไปกินข้าวเย็น นั่นคือวันแรกที่เจอกัน หลังจากที่เขียนจดหมายหากันมา 4 ปี หลังจากนั้นเขาบอกว่าเขามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 1 เดือน เราก็เลยบอกว่ามันอาจจะไม่ทันงานรับปริญญานะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกช่วงเวลา 1 เดือนเราก็ไปเที่ยวด้วยกันได้ เราก็จะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ซึ่ง ในวันถัดไป เขาก็บอกความในใจกับเราเขาบอกว่าเขารักเราแล้วก็รอคอยให้เราเรียนจบแล้วก็จะมาหา มาเพื่อมาขอแต่งงาน เมื่อเราได้ยินแบบนั้นครั้งแรกเราตกใจมาก ทำตัวไม่ถูก มีความรู้สึกกลัวไปต่างๆนานา ว่าถ้าแต่งงานแล้วเออถ้าเกิดตกลงแต่งงานกับเขาจริงๆเราจะต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับเขาหรือ ซึ่ง มันก็ทำให้เราเริ่มกังวล ความกังวลของเราก็ไม่ปรึกษาใครเลย กลับทำให้เรา ปฏิเสธเขา เราปฏิเสธเขาเลยว่า เราไม่แต่งงานกับเขานะ ฉันคิดว่ามันเร็วไปเราควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้เราควรจะเป็นเพื่อนกันไปก่อนซึ่งพอเขาได้ยินอย่างนั้นเขาก็โกรธมาก เขาก็บอกว่า ฉันไม่ได้เขียนจดหมายหาเธอ 4 ปีเพื่อจะมาเป็นเพื่อนกับเธอนะ ซึ่ง เราก็ ไม่ทันตั้งตัว ก็เลย คิดไปแบบนั้น เสร็จแล้ว
เขาก็กลับไป กลับไปบ้านเขา และ หลังจากนั้นเราก็ได้นำเรื่องนี้มาพูดคุยกับพ่อแม่ ซึ่งเมื่อพ่อกับแม่รู้เรื่องเข้า ทั้งสองก็โกรธมากแล้วก็ต่อว่าเราว่าทำไมเราโง่นักนะ ทำไมถึงปล่อยเขาไปได้ ใครๆก็อยากได้ผัวฝรั่งทั้งนั้น ทำไมแกโง่นะ ทำไมไม่ถามพ่อกับแม่ก่อน โอ้โหระเบิดลง ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่ น้าสาวด้วย คนนี้สนิทกันแทบจะเป็นเพื่อนกันเลยเขาบอกว่าแกรู้ไหม แกมีผัวฝรั่งจะได้ไม่ต้องลำบากพ่อแม่ก็จะได้สบาย ได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็เหมือนคิดได้ คืนนั้นทั้งคืนนอนคิด แล้วก็เลยเริ่มลงมือเขียนจดหมายไปหาเขาอีกครั้ง เป็นจดหมายขอโทษ และขอให้เขากลับมา ขอให้เขาให้อภัย เพราะความไม่รอบคอบยังไม่รู้ใจตัวเองก็เลยทำให้ปฏิเสธเขาไป แล้วก็ได้ผล ประมาณสัก 2 อาทิตย์ได้มั้ง เขาก็กลับ กลับมาหาเราบินกลับมาหาเราที่เมืองไทยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อยู่ได้ไม่นานเขาบอกว่า ลางานมาได้ไม่นาน ต้องการมาเห็นหน้าเธอพูดกันตาต่อตา สบตากัน เพื่อให้เห็นถึงความจริงใจว่าเธอ จะรักฉันจริง และพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับฉันจริงไหมเราก็บอกว่าเรายอมทุกอย่างแล้วล่ะ เราสำนึกผิดแล้ว เราขอโทษ เขาก็ให้โอกาสเรา แล้วช่วง 2 อาทิตย์ ด้วยระยะเวลามันสั้นมาก เราต้องรวบรับ ก็เลยจัดพิธี หมั้นกันไว้ก่อน เป็นพิธีที่แบบ
ฉุกละหุกมากๆ แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี แล้วเขาก็ต้องบินกลับไปอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้เขาให้เราเตรียมเอกสารต่างๆที่จะทำวีซ่า เตรียมตัวเดินทางไปบ้านเขา อ้อเราลืมบอกไปว่า เขาเป็นคน เนเธอร์แลนด์
แล้ว 1 เดือนผ่านไป โดยที่เอกสาร ที่ แฟนบอกให้เตรียม ไปแปลไปประทับตราที่สถานทูตที่กงสุลไทยก็ยังไม่เสร็จ จนกระทั่งเขาโทรมา ถามว่าเสร็จหรือยังเราก็บอกว่ายังไม่เสร็จเหตุผลไม่มีเงิน..... ซึ่งในความเป็นจริงถ้ามันไม่มีเงินเราก็ยืมพ่อกับแม่หรือน้าไปก่อนก็ได้ แต่ด้วยความที่เป็นคนเออระเหยลอยชายไง เป็นคนที่แบบได้อะไรมาง่ายๆไม่รู้จักขวนขวายอ่ะ ผลสุดท้าย ก็เลยไม่ได้ไปต่างประเทศ ไม่ได้ไปบ้านเขา เพราะว่าเกือบ 2 เดือนก็ยังไม่เสร็จ เขาโกรธมาก จนกระทั่งลาออกจากงานทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาหาเราที่กรุงเทพฯอีกครั้งแล้วครั้งนี้เขาบอกว่าเขามาแต่ตัวนะ ในเมื่อเธอไม่อยากจะไปอยู่กับฉัน ฉันก็จะมาอยู่กับเธอเองที่นี่ แต่เรา ไม่มีงานทำ เราต้องหางานทำ สุดยอด ซึ้งน้ำใจเขามากมาย ซึ่งมารู้ทีหลังว่า การตัดสินใจของเขานั้นเกือบทำให้เขาต้องตัดพ่อตัดลูกกันเลยกับพ่อของเขา เพราะพ่อของเขาห้ามไม่ให้เขามา พ่อของเขาบอกว่าถ้าเธอกลับไปครั้งนี้อีกบ้านที่ฉันซื้อไว้เพื่อจะให้เป็นเรือนหอเธอฉันจะCancel เขาก็ยอม โอ๊ย ไม่รู้เอาความโง่สะสมไว้มากมายอะไรขนาดนี้เรียนตั้งจบปริญญาตรี
แล้วเมนส์ก็ไม่มา ก็ไม่ได้คิดเอะใจว่าจะท้อง ก็พูดกับแม่ว่า เออเมนส์ไม่มานะแม่ แม่ได้ฟังแล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะหายาให้กิน แล้วแม่ ก็ไปหายามาให้ เป็นยาสตรีเบนโล หรือสตรีเพ็ญภาคนี่แหละ บอกว่ากินยานี้เข้าไป เดี๋ยวเมนส์มันก็มาตามปกติ แฟนเอาขวดยาไปดู แล้วก็บอกว่า อย่ากินเลยยา น้ำมันสีดำๆดูมันแปลกๆถ้าเธอท้องขึ้นมา แล้วการที่เธอไม่มีเมนส์เธออาจจะท้องก็ได้ถ้าเธอกินยานี้เข้าไปมันอาจจะเป็นอันตรายกับลูกนะ ไม่เชื่อค่ะ ความเชื่อแม่มีมากกว่า แม่บอกว่า อย่าเพิ่งมีลูกเลย สร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้ก่อนแล้วค่อยมีลูก ก็เชื่อแม่ ไม่เชื่อผัว ผลปรากฏว่า กินยาตามแม่สั่งหมดขวดละมั้ง ผ่านไปซักอาทิตย์เดียว วันที่เกิดเรื่องไปนอนค้างบ้านพี่ชาย ที่บางกะปิ เกิดปวดท้องขึ้นตอนกลางคืน ปวดหนักมาก แล้วก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจะหลุดออกมาจากช่องคลอดเลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ แล้ว ก็ มีบางสิ่งหลุดออกมาจริงๆ เป็นก้อนเลือดก้อนเลือดเลยจะเป็นลมตอนนั้นแล้วก็พากันไปโรงพยาบาล หมอบอกว่า แท้งลูก ลูกเสียชีวิตไปแล้ว ทุกคนไปเยี่ยมเราที่โรงพยาบาลกันหมดยกเว้นแม่!! ซึ่งวันนั้นทำให้เราได้คิดว่า คนที่ทำเรื่องนี้ คือแม่แท้ๆของเรานี่แหละ เหมือนเราถูกวางยาเลยนะ เศร้ามาก แต่เป็นเรื่องจริง หลังจากกลับมาบ้าน ญาติพี่น้อง หลายคนก็มาเยี่ยมถึงบ้าน เราไปนอนพักฟื้นที่บ้านพี่ชายที่บางกะปิ เป็นอีกครั้ง ที่แม่ไม่เข้ามาหาเราในห้อง คงไม่กล้ามาสบตาเราตรงๆ แต่นางดูไม่สำนึกผิดเลยนะ นั่งพูดคุยเล่นหน้าตาเฉย พ่อก็รู้เรื่องนี้ และยังพูดว่าแม่นั้นแหละทำ เรื่องราวครั้งนั้น สามีโกรธมาก แล้วก็ตัดสินใจกลับไปบ้าน เขาบอกว่าจะไปทำงาน เราก็ได้แต่รอ พักฟื้นร่างกายไป ประมาณ 2 เดือนเขาก็กลับมา ครั้งนี้ เราย้ายออกจากบ้านแม่ไปอยู่บ้านพี่ชายที่บางกะปิ ซึ่งพี่ชายชักชวนไป เพราะว่าจะได้ช่วยกันผ่อนบ้าน และครั้งนี้ สามีก็เริ่มหางานจริงจัง แต่ก็ยังหาไม่ได้ จนกระทั่ง ได้ไอเดียใหม่ คิดกันว่าจะย้ายไป อเมริกา พอดีว่าแม่เขา อยู่ที่นั่น พ่อกับแม่เขาเลิกกันตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาบอกว่าก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้กลับไปเจอแม่เขาอีกครั้ง เกือบ 30 ปีแล้วที่เขาไม้ได้เจอแม่หลังจากที่พ่อกับแม่เขาเลิกกันแล้วเขาไม่เคยเจอแม่เขาอีกเลย และการที่ฉันเป็นคนขยันชอบทำกับข้าวชอบทำงานบ้าน สามีบอกว่าแม่ฉันต้องชอบเธอมากแน่ๆเลย
เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการขอวีซ่า เพื่อไปอเมริกา ตัวเขาไม่ต้องขอ ไปได้เลย เราต้องขอแต่ผลปรากฏวีซ่าก็ไม่ผ่าน พอวีซ่าไม่ผ่านปุ๊บก็ต้องมีแผน 2 คุณสามีก็เลยบอกว่างั้นก็ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียว ไปดูลาดลาวก่อนถ้ามันดีมีงานทำก็อยู่ที่นู่นแต่ถ้ามันไม่ดีก็กลับมา แล้วก็ไป ช่วงนั้นเราก็ท้องอีกครั้ง
พอสามีไปได้แค่ 1 อาทิตย์ สามีโทรมาบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก แม่ฉันไม่ได้ยินดีต้อนรับฉันสักนิดคนที่ไม่ได้เจอกันมา เกือบ 30 ปี กลับมองหน้าฉัน แล้วสะท้อนเห็นหน้าของพ่อฉันแล้วทำให้โกรธและเกลียดฉัน นางพร่ำพูดแต่ว่า หน้าตาเธอเหมือนพ่อเธอไม่มีผิดและนั่นแหละเป็นสาเหตุที่ทำให้นางโกรธกริ้วสามีเราตลอดจนกระทั่งนางมีไอเดีย บอกกับสามีเราว่า ฉันมีผู้หญิงคนนึงจะแนะนำให้รู้จักเธอควรจะ ทำดีกับเขา แล้วก็แต่งงานจดทะเบียนกับเขาซะ เธอจะได้กรีนการ์ดแล้วก็อยู่ที่นี่ แล้วถ้าทุกอย่างมันลงตัวดีแล้วก็ไปรับลูกกับเมียมาอยู่ที่นี่ได้ สามีเราฟังแล้วก็ช็อคกับไอเดียของนาง แล้วก็ไม่เห็นด้วย พอไม่เห็นด้วยปุ๊บก็เลยเป็นเรื่องทะเลาะกัน แม่ผัวมีความคิดว่า สามีเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเสียสละทำเรื่องแบบนี้ เพื่อจะได้เอาฉันกับลูกไปอยู่อเมริกาได้เมื่อฉันกับลูกไปอยู่อเมริกาแล้วก็หย่ากับผู้หญิงคนนั้นซะก็ได้ ซึ่งสามีก็ไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้เลย สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องกลับอย่างกะทันหันต้องเปลี่ยนตั๋วกันแบบ กระทันหันเลย ซึ่ง แม่ผัวก็แสบมาก ขับรถเอาสามีฉันมาปล่อย ที่สนามบินตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลา ทิ้งเขาไว้ทั้งหมดรวม 12 ชั่วโมง ไม่ได้นอน แล้วมิหนำซ้ำ กระเป๋าตังเกือบหาย ดีที่ตำรวจตามจับโจรได้ทัน แม่ผัวยังโทรมาหาฉันเพื่อ เหมือนเป็นการ ดักคอไว้ก่อนที่สามีฉันจะกลับมาบ้านแล้วมาเล่าความจริงให้ฉันฟัง มาพูดคุยไว้ก่อนว่าเขาน่ะไม่ใช่เป็นคนผิดนะ คือสามีฉันนั่นแหละ เป็นคนเห็นแก่ตัว พูดด่าลูกตัวเองอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง
และแล้วสามีก็กลับ กลับมาถึงเมืองไทย ตอนนั้นฉันก็ท้องแก่แล้ว ก็ไปรับที่สนามบิน จำได้ว่าหลังจากกลับมาแล้วเนี่ยตอนนั้นมีหนังเรื่อง Lord of The Ring กำลังเข้าโรงอยู่ เรากับสามีอยากดูหนังเรื่องนี้มากก็เลยตกลงกันว่า จะไปดูกัน มันเป็นหนัง Action เวลาที่มันทำสงครามกันมันก็จะเสียงดังโครมครามโครมคราม และทุกครั้งที่มันมีเสียงดังลูกในท้องก็จะดิ้นตุบตับตุบตับ และแล้วคืนนั้น ลุกไปเข้าห้องน้ำก็มีเลือดไหลซึมออกมารุ่งเช้าก็เลยรีบไปโรงพยาบาล หมอแอดมิดเลยค่ะ บอกว่าช่องคลอดเปิดแล้ว แล้วก็ได้คลอดลูกชายคนแรก ในวันที่ 9 มกราคม🤱👼🍼🍼...........................................ติดตามตอนต่อไปค่ะ ❤❤
ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย (คลองแสนแสบ)
พอหลังจากที่เขามาเราก็พาเขาไปที่ทำงานเพราะเราก็ต้องไปทำงานต่อ ก็บอกให้เขาไปเที่ยวเล่นรอเราก่อนก็ได้เพราะเราต้องทำงานอยู่ที่นี่แล้วหลังเลิกงานแล้วค่อยมารับก็ได้ก็พอหลังเลิกงานเขาก็มารับแล้วก็พาไปกินข้าวเย็น นั่นคือวันแรกที่เจอกัน หลังจากที่เขียนจดหมายหากันมา 4 ปี หลังจากนั้นเขาบอกว่าเขามีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 1 เดือน เราก็เลยบอกว่ามันอาจจะไม่ทันงานรับปริญญานะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกช่วงเวลา 1 เดือนเราก็ไปเที่ยวด้วยกันได้ เราก็จะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น ซึ่ง ในวันถัดไป เขาก็บอกความในใจกับเราเขาบอกว่าเขารักเราแล้วก็รอคอยให้เราเรียนจบแล้วก็จะมาหา มาเพื่อมาขอแต่งงาน เมื่อเราได้ยินแบบนั้นครั้งแรกเราตกใจมาก ทำตัวไม่ถูก มีความรู้สึกกลัวไปต่างๆนานา ว่าถ้าแต่งงานแล้วเออถ้าเกิดตกลงแต่งงานกับเขาจริงๆเราจะต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับเขาหรือ ซึ่ง มันก็ทำให้เราเริ่มกังวล ความกังวลของเราก็ไม่ปรึกษาใครเลย กลับทำให้เรา ปฏิเสธเขา เราปฏิเสธเขาเลยว่า เราไม่แต่งงานกับเขานะ ฉันคิดว่ามันเร็วไปเราควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้เราควรจะเป็นเพื่อนกันไปก่อนซึ่งพอเขาได้ยินอย่างนั้นเขาก็โกรธมาก เขาก็บอกว่า ฉันไม่ได้เขียนจดหมายหาเธอ 4 ปีเพื่อจะมาเป็นเพื่อนกับเธอนะ ซึ่ง เราก็ ไม่ทันตั้งตัว ก็เลย คิดไปแบบนั้น เสร็จแล้ว
เขาก็กลับไป กลับไปบ้านเขา และ หลังจากนั้นเราก็ได้นำเรื่องนี้มาพูดคุยกับพ่อแม่ ซึ่งเมื่อพ่อกับแม่รู้เรื่องเข้า ทั้งสองก็โกรธมากแล้วก็ต่อว่าเราว่าทำไมเราโง่นักนะ ทำไมถึงปล่อยเขาไปได้ ใครๆก็อยากได้ผัวฝรั่งทั้งนั้น ทำไมแกโง่นะ ทำไมไม่ถามพ่อกับแม่ก่อน โอ้โหระเบิดลง ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่ น้าสาวด้วย คนนี้สนิทกันแทบจะเป็นเพื่อนกันเลยเขาบอกว่าแกรู้ไหม แกมีผัวฝรั่งจะได้ไม่ต้องลำบากพ่อแม่ก็จะได้สบาย ได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็เหมือนคิดได้ คืนนั้นทั้งคืนนอนคิด แล้วก็เลยเริ่มลงมือเขียนจดหมายไปหาเขาอีกครั้ง เป็นจดหมายขอโทษ และขอให้เขากลับมา ขอให้เขาให้อภัย เพราะความไม่รอบคอบยังไม่รู้ใจตัวเองก็เลยทำให้ปฏิเสธเขาไป แล้วก็ได้ผล ประมาณสัก 2 อาทิตย์ได้มั้ง เขาก็กลับ กลับมาหาเราบินกลับมาหาเราที่เมืองไทยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อยู่ได้ไม่นานเขาบอกว่า ลางานมาได้ไม่นาน ต้องการมาเห็นหน้าเธอพูดกันตาต่อตา สบตากัน เพื่อให้เห็นถึงความจริงใจว่าเธอ จะรักฉันจริง และพร้อมที่จะใช้ชีวิตกับฉันจริงไหมเราก็บอกว่าเรายอมทุกอย่างแล้วล่ะ เราสำนึกผิดแล้ว เราขอโทษ เขาก็ให้โอกาสเรา แล้วช่วง 2 อาทิตย์ ด้วยระยะเวลามันสั้นมาก เราต้องรวบรับ ก็เลยจัดพิธี หมั้นกันไว้ก่อน เป็นพิธีที่แบบ
ฉุกละหุกมากๆ แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี แล้วเขาก็ต้องบินกลับไปอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้เขาให้เราเตรียมเอกสารต่างๆที่จะทำวีซ่า เตรียมตัวเดินทางไปบ้านเขา อ้อเราลืมบอกไปว่า เขาเป็นคน เนเธอร์แลนด์
แล้ว 1 เดือนผ่านไป โดยที่เอกสาร ที่ แฟนบอกให้เตรียม ไปแปลไปประทับตราที่สถานทูตที่กงสุลไทยก็ยังไม่เสร็จ จนกระทั่งเขาโทรมา ถามว่าเสร็จหรือยังเราก็บอกว่ายังไม่เสร็จเหตุผลไม่มีเงิน..... ซึ่งในความเป็นจริงถ้ามันไม่มีเงินเราก็ยืมพ่อกับแม่หรือน้าไปก่อนก็ได้ แต่ด้วยความที่เป็นคนเออระเหยลอยชายไง เป็นคนที่แบบได้อะไรมาง่ายๆไม่รู้จักขวนขวายอ่ะ ผลสุดท้าย ก็เลยไม่ได้ไปต่างประเทศ ไม่ได้ไปบ้านเขา เพราะว่าเกือบ 2 เดือนก็ยังไม่เสร็จ เขาโกรธมาก จนกระทั่งลาออกจากงานทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมาหาเราที่กรุงเทพฯอีกครั้งแล้วครั้งนี้เขาบอกว่าเขามาแต่ตัวนะ ในเมื่อเธอไม่อยากจะไปอยู่กับฉัน ฉันก็จะมาอยู่กับเธอเองที่นี่ แต่เรา ไม่มีงานทำ เราต้องหางานทำ สุดยอด ซึ้งน้ำใจเขามากมาย ซึ่งมารู้ทีหลังว่า การตัดสินใจของเขานั้นเกือบทำให้เขาต้องตัดพ่อตัดลูกกันเลยกับพ่อของเขา เพราะพ่อของเขาห้ามไม่ให้เขามา พ่อของเขาบอกว่าถ้าเธอกลับไปครั้งนี้อีกบ้านที่ฉันซื้อไว้เพื่อจะให้เป็นเรือนหอเธอฉันจะCancel เขาก็ยอม โอ๊ย ไม่รู้เอาความโง่สะสมไว้มากมายอะไรขนาดนี้เรียนตั้งจบปริญญาตรี
แล้วเมนส์ก็ไม่มา ก็ไม่ได้คิดเอะใจว่าจะท้อง ก็พูดกับแม่ว่า เออเมนส์ไม่มานะแม่ แม่ได้ฟังแล้วก็บอกว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะหายาให้กิน แล้วแม่ ก็ไปหายามาให้ เป็นยาสตรีเบนโล หรือสตรีเพ็ญภาคนี่แหละ บอกว่ากินยานี้เข้าไป เดี๋ยวเมนส์มันก็มาตามปกติ แฟนเอาขวดยาไปดู แล้วก็บอกว่า อย่ากินเลยยา น้ำมันสีดำๆดูมันแปลกๆถ้าเธอท้องขึ้นมา แล้วการที่เธอไม่มีเมนส์เธออาจจะท้องก็ได้ถ้าเธอกินยานี้เข้าไปมันอาจจะเป็นอันตรายกับลูกนะ ไม่เชื่อค่ะ ความเชื่อแม่มีมากกว่า แม่บอกว่า อย่าเพิ่งมีลูกเลย สร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้ก่อนแล้วค่อยมีลูก ก็เชื่อแม่ ไม่เชื่อผัว ผลปรากฏว่า กินยาตามแม่สั่งหมดขวดละมั้ง ผ่านไปซักอาทิตย์เดียว วันที่เกิดเรื่องไปนอนค้างบ้านพี่ชาย ที่บางกะปิ เกิดปวดท้องขึ้นตอนกลางคืน ปวดหนักมาก แล้วก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจะหลุดออกมาจากช่องคลอดเลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ แล้ว ก็ มีบางสิ่งหลุดออกมาจริงๆ เป็นก้อนเลือดก้อนเลือดเลยจะเป็นลมตอนนั้นแล้วก็พากันไปโรงพยาบาล หมอบอกว่า แท้งลูก ลูกเสียชีวิตไปแล้ว ทุกคนไปเยี่ยมเราที่โรงพยาบาลกันหมดยกเว้นแม่!! ซึ่งวันนั้นทำให้เราได้คิดว่า คนที่ทำเรื่องนี้ คือแม่แท้ๆของเรานี่แหละ เหมือนเราถูกวางยาเลยนะ เศร้ามาก แต่เป็นเรื่องจริง หลังจากกลับมาบ้าน ญาติพี่น้อง หลายคนก็มาเยี่ยมถึงบ้าน เราไปนอนพักฟื้นที่บ้านพี่ชายที่บางกะปิ เป็นอีกครั้ง ที่แม่ไม่เข้ามาหาเราในห้อง คงไม่กล้ามาสบตาเราตรงๆ แต่นางดูไม่สำนึกผิดเลยนะ นั่งพูดคุยเล่นหน้าตาเฉย พ่อก็รู้เรื่องนี้ และยังพูดว่าแม่นั้นแหละทำ เรื่องราวครั้งนั้น สามีโกรธมาก แล้วก็ตัดสินใจกลับไปบ้าน เขาบอกว่าจะไปทำงาน เราก็ได้แต่รอ พักฟื้นร่างกายไป ประมาณ 2 เดือนเขาก็กลับมา ครั้งนี้ เราย้ายออกจากบ้านแม่ไปอยู่บ้านพี่ชายที่บางกะปิ ซึ่งพี่ชายชักชวนไป เพราะว่าจะได้ช่วยกันผ่อนบ้าน และครั้งนี้ สามีก็เริ่มหางานจริงจัง แต่ก็ยังหาไม่ได้ จนกระทั่ง ได้ไอเดียใหม่ คิดกันว่าจะย้ายไป อเมริกา พอดีว่าแม่เขา อยู่ที่นั่น พ่อกับแม่เขาเลิกกันตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาบอกว่าก็เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้กลับไปเจอแม่เขาอีกครั้ง เกือบ 30 ปีแล้วที่เขาไม้ได้เจอแม่หลังจากที่พ่อกับแม่เขาเลิกกันแล้วเขาไม่เคยเจอแม่เขาอีกเลย และการที่ฉันเป็นคนขยันชอบทำกับข้าวชอบทำงานบ้าน สามีบอกว่าแม่ฉันต้องชอบเธอมากแน่ๆเลย
เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการขอวีซ่า เพื่อไปอเมริกา ตัวเขาไม่ต้องขอ ไปได้เลย เราต้องขอแต่ผลปรากฏวีซ่าก็ไม่ผ่าน พอวีซ่าไม่ผ่านปุ๊บก็ต้องมีแผน 2 คุณสามีก็เลยบอกว่างั้นก็ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียว ไปดูลาดลาวก่อนถ้ามันดีมีงานทำก็อยู่ที่นู่นแต่ถ้ามันไม่ดีก็กลับมา แล้วก็ไป ช่วงนั้นเราก็ท้องอีกครั้ง
พอสามีไปได้แค่ 1 อาทิตย์ สามีโทรมาบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก แม่ฉันไม่ได้ยินดีต้อนรับฉันสักนิดคนที่ไม่ได้เจอกันมา เกือบ 30 ปี กลับมองหน้าฉัน แล้วสะท้อนเห็นหน้าของพ่อฉันแล้วทำให้โกรธและเกลียดฉัน นางพร่ำพูดแต่ว่า หน้าตาเธอเหมือนพ่อเธอไม่มีผิดและนั่นแหละเป็นสาเหตุที่ทำให้นางโกรธกริ้วสามีเราตลอดจนกระทั่งนางมีไอเดีย บอกกับสามีเราว่า ฉันมีผู้หญิงคนนึงจะแนะนำให้รู้จักเธอควรจะ ทำดีกับเขา แล้วก็แต่งงานจดทะเบียนกับเขาซะ เธอจะได้กรีนการ์ดแล้วก็อยู่ที่นี่ แล้วถ้าทุกอย่างมันลงตัวดีแล้วก็ไปรับลูกกับเมียมาอยู่ที่นี่ได้ สามีเราฟังแล้วก็ช็อคกับไอเดียของนาง แล้วก็ไม่เห็นด้วย พอไม่เห็นด้วยปุ๊บก็เลยเป็นเรื่องทะเลาะกัน แม่ผัวมีความคิดว่า สามีเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ยอมเสียสละทำเรื่องแบบนี้ เพื่อจะได้เอาฉันกับลูกไปอยู่อเมริกาได้เมื่อฉันกับลูกไปอยู่อเมริกาแล้วก็หย่ากับผู้หญิงคนนั้นซะก็ได้ ซึ่งสามีก็ไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้เลย สุดท้ายแล้วก็ทนอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ต้องกลับอย่างกะทันหันต้องเปลี่ยนตั๋วกันแบบ กระทันหันเลย ซึ่ง แม่ผัวก็แสบมาก ขับรถเอาสามีฉันมาปล่อย ที่สนามบินตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลา ทิ้งเขาไว้ทั้งหมดรวม 12 ชั่วโมง ไม่ได้นอน แล้วมิหนำซ้ำ กระเป๋าตังเกือบหาย ดีที่ตำรวจตามจับโจรได้ทัน แม่ผัวยังโทรมาหาฉันเพื่อ เหมือนเป็นการ ดักคอไว้ก่อนที่สามีฉันจะกลับมาบ้านแล้วมาเล่าความจริงให้ฉันฟัง มาพูดคุยไว้ก่อนว่าเขาน่ะไม่ใช่เป็นคนผิดนะ คือสามีฉันนั่นแหละ เป็นคนเห็นแก่ตัว พูดด่าลูกตัวเองอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง
และแล้วสามีก็กลับ กลับมาถึงเมืองไทย ตอนนั้นฉันก็ท้องแก่แล้ว ก็ไปรับที่สนามบิน จำได้ว่าหลังจากกลับมาแล้วเนี่ยตอนนั้นมีหนังเรื่อง Lord of The Ring กำลังเข้าโรงอยู่ เรากับสามีอยากดูหนังเรื่องนี้มากก็เลยตกลงกันว่า จะไปดูกัน มันเป็นหนัง Action เวลาที่มันทำสงครามกันมันก็จะเสียงดังโครมครามโครมคราม และทุกครั้งที่มันมีเสียงดังลูกในท้องก็จะดิ้นตุบตับตุบตับ และแล้วคืนนั้น ลุกไปเข้าห้องน้ำก็มีเลือดไหลซึมออกมารุ่งเช้าก็เลยรีบไปโรงพยาบาล หมอแอดมิดเลยค่ะ บอกว่าช่องคลอดเปิดแล้ว แล้วก็ได้คลอดลูกชายคนแรก ในวันที่ 9 มกราคม🤱👼🍼🍼...........................................ติดตามตอนต่อไปค่ะ ❤❤