‘We Watch-อ.นันทนา’ หอบ1,200ชื่อ จี้กกต. แก้ระเบียบแนะนำตัวสว. ฉะปิดหูปิดตาปชช
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8220147
“กลุ่ม We Watch-อ.นันทนา” หอบ 1,200 รายชื่อ จี้ กกต. แก้ระเบียบแนะนำตัว สว. ซัดปิดหูปิดตาประชาชน ลั่น อย่าขวางประชาธิปไตย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย หรือ We Watch และเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ และความเป็นธรรม นำโดย นาย
นนทวัฒน์ เหล่าผา อาสาสมัคร We Watch รศ.ดร.
นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก นาย
วรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนฯ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึก พร้อมด้วย 1,200 รายชื่อของผู้ลงชื่อคัดค้านระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 รวมทั้งเรียกร้องให้พิจารณาแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตยให้มากที่สุด
โดยนายนนทวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก กกต. ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นการวางกรอบที่เข้มงวด สร้างความกังวลและหวาดกลัวให้กับผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสว. เพราะหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบจะมีบทลงโทษทางอาญาให้ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง 5 ปี
นาย
นนทวัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งระเบียบนี้ถือเป็นการปิดปากผู้สมัคร สื่อมวลชน และปิดหูปิดตาประชาชน จึงจำเป็นต้องคัดค้านและเรียกร้องให้มีการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ดังนี้
1. ระงับการบังคับใช้ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนําตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 ไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการแก้ไข เพื่อรองรับหลักการของการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน
2. กกต.ควรกําหนดมาตรการและแผนงานในการส่งเสริมการรับรู้ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบการทุจริตโดยประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ผ่านการเปิดกว้างเพื่อรับฟังเสียงประชาชนที่จะได้รับผลกระทบให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการแก้ไขระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า กกต.จะทำหน้าที่ได้อย่างยุติธรรมให้กับสื่อมวลชนและประชาชน ในกระบวนการเลือกตั้งสว.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ด้านนาย
วรา กล่าวว่า กกต.ต้องไม่ให้กฎระเบียบมาเป็นกำแพงกั้นขวางความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ให้สื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าว และให้ผู้สมัครได้แถลงข้อมูลแก่ประชาชน อยากให้กกต.และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันกติกาประชาธิปไตย และสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
ก้าวไกล จัด 30 ขุนพล ชำแหละงบ68 เผยทำ ‘งบเงา’ คู่ขนาน เผื่อได้เป็นรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8220383
ก้าวไกล ทำ “งบเงา” คู่ขนาน งบปี 68 เผื่อได้เป็นรัฐบาล จัด 30 ขุนพลชำแหละ ห่วงตัดงบกลางไปใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ชี้เสี่ยงผิดกฎหมาย หากถูกร้องภายหลัง
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่รัฐสภา นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้
โดยนาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาก่อนหน้านี้แล้ว จากการทำงานหลังบ้านในอนุกมธ.งบฯ ปี 68 จึงได้เตรียมความพร้อมตลอดเวลา และศึกษางบประมาณล่วงหน้าไว้ครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้มีเวลาอีกประมาณ 1 เดือน ที่อนุกมธ.จะสามารถเรียกข้อมูลจากฝ่ายบริหารในส่วนที่อยากได้ คือ การเพิ่มงบประมาณ โดยเฉพาะตัวเลขตามพ.ร.บ.งบประมาณ เพราะที่ผ่านมาจะทราบก่อนเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงจะขอให้ได้เร็วที่สุด
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกมธ.ติดตามงบประมาณฯ จะศึกษาการจัดทำงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณปี 68 เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลในการจัดทำ 100% เช่น งบที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนภัยที่มีความซ้ำซ้อนกัน ระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกมธ.ได้ทำความเห็นส่งไปยังรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่มีการแก้ไขก็จะถือว่ารัฐบาลบกพร่อง ฝ่ายค้านก็จะอภิปรายเต็มที่
เมื่อถามถึงการเตรียมความพร้อมการอภิปรายของพรรคก้าวไกล นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุมภายในพรรค คาดว่าจะมีผู้ขออภิปรายประมาณ 20-30 คน ซึ่งขึ้นอยู่ที่วิป 3 ฝ่ายจะจัดสรรเวลา
“
โดยเวทีอภิปรายงบประมาณปี 2568 เป็นเวทีที่พรรคก้าวไกลได้เตรียมความพร้อมกรณีในอนาคตอาจได้เป็นรัฐบาลในอนาคต โดยได้จัดทำงบประมาณเงาหรืองบเงา ที่ลงไปทำการบ้าน เพื่อดูรายละเอียดงบประมาณของแต่ละหน่วยงานที่เสนอมา หากพบว่าไม่จำเป็น ในฐานะฝ่ายบริหารก็ควรจะต้องตัดออก เพื่อจัดสรรให้ในส่วนที่จำเป็นและตอบสนองตอบปัญหาของประเทศมากกว่า” นาย
ณัฐพงษ์ กล่าว
นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวลในส่วนงบกลางของงบประมาณปี 68 ที่จะถูกนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งได้มีข้อสังเกตส่งกลับไปยังหน่วยงานแล้วว่า มีการตีความบิดเบือนทางกฎหมาย
เพราะตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ระบุไว้ชัดเจนว่าสัดส่วนงบลงทุนต้องไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 20 และต้องไม่ต่ำกว่าส่วนที่ชดเชยการขาดดุล แต่พอมีการปิดงบปี 68 เพื่อนำไปทำในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 150,000 ล้านบาท กลับมีการระบุว่างบดังกล่าว เป็นงบลงทุนจำนวน 80%
“
จึงขอตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่า รู้ได้อย่างไรว่าประชาชนจะนำเงิน 10,000 บาทดังกล่าวไปใช้ในการลงทุน หรือใช้ในรายจ่ายประจำ ซึ่งเรื่องนี้ถ้ารัฐบาลเดินหน้าต่อแบบนี้ โดยปราศจากการออกมาทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นก็เสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย หากมีคนไปร้องในภายหลัง” นาย
ณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะจับตาในการจัดสรรงบประมาณปี 68 นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นปัญหาที่เคยได้ยินมาอยู่แล้วทุกปี แต่ปีนี้อาจจะมีความพิเศษ คือ งบประมาณของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงงบประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ที่รัฐบาลนำงบหลวงมาใช้ในการโปรโมตตัวเอง ซึ่งปัจจุบันปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่การจัดทำงบเงาของพรรคก้าวไกลจะเป็นการศึกษารายละเอียดงบที่ไม่จำเป็นว่า ควรจะนำไปทำอะไรที่จำเป็นมากกว่าด้วย
30 อุตฯจุก เจอพิษสินค้าต่างประเทศ ส.อ.ท.วอนคลังคุมเข้ม หวั่นเงินดิจิทัล 1 หมื่นรั่วถึงกลุ่มนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4563982
30 อุตฯจุก เจอพิษสินค้าต่างประเทศ ส.อ.ท.วอนคลังคุมเข้ม หวั่นเงินดิจิทัล 1 หมื่นรั่วถึงกลุ่มนี้
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม นาย
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาคผลิตไทยปี 2567 ว่า น่าเป็นห่วง เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) เดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 104.06 หดตัว 5.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 62.39% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสแรกของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 100.85 หดตัวเฉลี่ย 3.65% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 60.45% โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าภาคผลิตไทยกำลังมีปัญหา
สาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาการทะลักของสินค้าต่างประเทศ ทั้งกลุ่มที่ถูกกฎหมายแต่ราคาถูกมากเพราะไร้มาตรฐาน และกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดดฎหมาย เรื่องนี้ส.อ.ท.ได้สะท้อนกับปัญหาต่อรัฐบาลมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพราะกระทบต่อการผลิตของอุตสาหกรรมไทยมากถึง 22 กลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก ซึ่งรัฐบาลได้รับเรื่องไปช่วยแก้ปัญหาแล้ว
“
ทราบว่าเดือนพฤษภาคมนี้ กระทรวงการคลังจะเดินหน้าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ในเดือนพฤษภาคมนี้ ส.อ.ท.รู้สึกขอบคุณ เป็นข่าวดี แต่ก็อยากให้มีมาตรการอื่นควบคู่ไปด้วย” นาย
เกรียงไกรกล่าว
นาย
เกรียงไกร กล่าวว่า ปีนี้จากการติดตามสถานการณ์การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อาทิ จีน พบว่ายังขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์ผลิตของจีนทั้งโอเวอร์ซัพพลายและโอเวอร์คาพาซิตี้ และถูกกีดกันจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป สินค้าจึงกระจายมายังอาเซียน ดังนั้นอยากให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ที่มี นาย
พิชัย ชุณหวชิร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยกระทรวงการคลังควรเพิ่มมาตรการความเข้มข้นในการตรวจสินค้านำเข้าก่อนถูกกระจายไปยังผู้บริโภค เพราะหากปล่อยไว้ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น กังวลว่าอาจกระทบเพิ่มมากกว่า 30 อุตสาหกรรม สิ่งนี้จะกระทบต่อการจ้างงาน สภาพธุรกิจ จนกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในที่สุด
นาย
เกรียงไกร กล่าวว่า อยากให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ดำเนินการบริหารเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน คือ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ให้เงินเข้าระบบเศรษฐกิจและเกิดการหมุนเวียนจริงๆ ขณะเดียวกันก็อยากให้ปกป้องสินค้าไทยจากการตีตลาดจากสินค้าต่างประเทศ เพราะหากปล่อยให้ทะลักเข้ามาในไทยจำนวนมาก สุดท้ายเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจถูกใช้จ่ายไปกับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตโดยคนไทย กลายเป็นผลกระทบที่รุนแรง เพราะเศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อน ขณะที่อุตสาหกรรมหลายกลุ่มอาจต้องทยอยปิดตัวลง
นาย
เกรียงไกร กล่าวว่า ขณะเดียวกันในช่วงของการเร่งใช้งบประมาณ 2567 อยากให้การจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐเน้นการใช้สินค้าจากผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี แทนการใช้สินค้าต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ส.อ.ท.ทำงานร่วมกับภาครัฐมาหลายปี ภาครัฐมีรายชื่อผู้ผลิตเอสเอ็มอีไทยในมืออยู่แล้ว หากดำเนินการจะทำให้เอสเอ็มอีไทยมีรายได้ เติบโต เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีนี้
โรงแรมชี้ฟื้นตัวกระจุก 3 ดาวยังโหวง คาดหน้าโลว์เงียบไม่ต่างปี 66
https://www.matichon.co.th/economy/news_4563923
นาย
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันฟื้นตัวได้ดีมาก โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ที่ฟื้นตัวได้เกือบเท่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 และมีบางโรงแรมที่ดีกว่าก่อนโควิดแล้วด้วย อาทิ ภูเก็ต ที่สามารถขยับราคาขึ้นได้ เพราะยังมีความต้องการ (ดีมานด์) อยู่สูงมาก แต่ในกลุ่มโรงแรมระดับ 3 ดาวลงมา ถือว่ายังฟื้นตัวได้น้อย โดยเฉพาะโรงแรมที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทัวร์จีน ซึ่งปัจจุบันยังไม่กลับมา ชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยขณะนี้เป็นกลุ่มมาเที่ยวเอง (เอฟไอที) มากขึ้น จองตั๋ว โรงแรม เข้ามาเที่ยวเอง ซื้อทัวร์จะน้อยลง ซึ่งจากนี้ผู้ประกอบการทัวร์จะต้องปรับเปลี่ยนให้ทันตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
นาย
เทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเน้นการตั้งเป้าหมายในด้านรายได้หรือมูลค่ามากกว่าจำนวน เพราะเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 40 ล้านคน รายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต้องมีการวางแผนการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวด้วย ว่าเข้ามาแล้วจะไปที่ใดต่อ อาทิ ภูเก็ต ที่เป็นเกาะขนาดเล็ก แต่ได้รับความนิยมจากต่างชาติสูงมากนั้น จะทำอย่างไรให้ไม่เกินขีดความสามารถที่รับไหว ตอนนี้ต้องมาคุยกันเรื่องคาพาซิตี้ หรือขีดความสามารถในการรองรับ เพราะหากปล่อยให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้าไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแบบไม่จำกัดคน จะเกิดผลกระทบต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเอง รวมถึงน่ากังวลในเรื่องความปลอดภัยด้วย
JJNY : 5in1 จี้กกต.แก้ระเบียบ│ก้าวไกลจัด 30ขุนพล│30อุตฯจุก เจอพิษสินค้าตปท.│โรงแรมชี้ฟื้นตัวกระจุก│เกาหลีใต้ร้อนสุด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8220147
“กลุ่ม We Watch-อ.นันทนา” หอบ 1,200 รายชื่อ จี้ กกต. แก้ระเบียบแนะนำตัว สว. ซัดปิดหูปิดตาประชาชน ลั่น อย่าขวางประชาธิปไตย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย หรือ We Watch และเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ และความเป็นธรรม นำโดย นายนนทวัฒน์ เหล่าผา อาสาสมัคร We Watch รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก นายวรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนฯ เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึก พร้อมด้วย 1,200 รายชื่อของผู้ลงชื่อคัดค้านระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 รวมทั้งเรียกร้องให้พิจารณาแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตยให้มากที่สุด
โดยนายนนทวัฒน์ กล่าวว่า สืบเนื่องจาก กกต. ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 ซึ่งเป็นการวางกรอบที่เข้มงวด สร้างความกังวลและหวาดกลัวให้กับผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสว. เพราะหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบจะมีบทลงโทษทางอาญาให้ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง 5 ปี
นายนนทวัฒน์ กล่าวต่อว่า ซึ่งระเบียบนี้ถือเป็นการปิดปากผู้สมัคร สื่อมวลชน และปิดหูปิดตาประชาชน จึงจำเป็นต้องคัดค้านและเรียกร้องให้มีการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ดังนี้
1. ระงับการบังคับใช้ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนําตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2567 ไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการแก้ไข เพื่อรองรับหลักการของการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน
2. กกต.ควรกําหนดมาตรการและแผนงานในการส่งเสริมการรับรู้ การมีส่วนร่วม และการตรวจสอบการทุจริตโดยประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ผ่านการเปิดกว้างเพื่อรับฟังเสียงประชาชนที่จะได้รับผลกระทบให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการแก้ไขระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า กกต.จะทำหน้าที่ได้อย่างยุติธรรมให้กับสื่อมวลชนและประชาชน ในกระบวนการเลือกตั้งสว.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
ด้านนายวรา กล่าวว่า กกต.ต้องไม่ให้กฎระเบียบมาเป็นกำแพงกั้นขวางความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด ให้สื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าว และให้ผู้สมัครได้แถลงข้อมูลแก่ประชาชน อยากให้กกต.และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันกติกาประชาธิปไตย และสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
ก้าวไกล จัด 30 ขุนพล ชำแหละงบ68 เผยทำ ‘งบเงา’ คู่ขนาน เผื่อได้เป็นรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8220383
ก้าวไกล ทำ “งบเงา” คู่ขนาน งบปี 68 เผื่อได้เป็นรัฐบาล จัด 30 ขุนพลชำแหละ ห่วงตัดงบกลางไปใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ชี้เสี่ยงผิดกฎหมาย หากถูกร้องภายหลัง
เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2567 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้
โดยนายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาก่อนหน้านี้แล้ว จากการทำงานหลังบ้านในอนุกมธ.งบฯ ปี 68 จึงได้เตรียมความพร้อมตลอดเวลา และศึกษางบประมาณล่วงหน้าไว้ครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้มีเวลาอีกประมาณ 1 เดือน ที่อนุกมธ.จะสามารถเรียกข้อมูลจากฝ่ายบริหารในส่วนที่อยากได้ คือ การเพิ่มงบประมาณ โดยเฉพาะตัวเลขตามพ.ร.บ.งบประมาณ เพราะที่ผ่านมาจะทราบก่อนเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น จึงจะขอให้ได้เร็วที่สุด
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกมธ.ติดตามงบประมาณฯ จะศึกษาการจัดทำงบประมาณ โดยเฉพาะการจัดทำงบประมาณปี 68 เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลในการจัดทำ 100% เช่น งบที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนภัยที่มีความซ้ำซ้อนกัน ระหว่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกมธ.ได้ทำความเห็นส่งไปยังรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่มีการแก้ไขก็จะถือว่ารัฐบาลบกพร่อง ฝ่ายค้านก็จะอภิปรายเต็มที่
เมื่อถามถึงการเตรียมความพร้อมการอภิปรายของพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุมภายในพรรค คาดว่าจะมีผู้ขออภิปรายประมาณ 20-30 คน ซึ่งขึ้นอยู่ที่วิป 3 ฝ่ายจะจัดสรรเวลา
“โดยเวทีอภิปรายงบประมาณปี 2568 เป็นเวทีที่พรรคก้าวไกลได้เตรียมความพร้อมกรณีในอนาคตอาจได้เป็นรัฐบาลในอนาคต โดยได้จัดทำงบประมาณเงาหรืองบเงา ที่ลงไปทำการบ้าน เพื่อดูรายละเอียดงบประมาณของแต่ละหน่วยงานที่เสนอมา หากพบว่าไม่จำเป็น ในฐานะฝ่ายบริหารก็ควรจะต้องตัดออก เพื่อจัดสรรให้ในส่วนที่จำเป็นและตอบสนองตอบปัญหาของประเทศมากกว่า” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวลในส่วนงบกลางของงบประมาณปี 68 ที่จะถูกนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งได้มีข้อสังเกตส่งกลับไปยังหน่วยงานแล้วว่า มีการตีความบิดเบือนทางกฎหมาย
เพราะตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ระบุไว้ชัดเจนว่าสัดส่วนงบลงทุนต้องไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 20 และต้องไม่ต่ำกว่าส่วนที่ชดเชยการขาดดุล แต่พอมีการปิดงบปี 68 เพื่อนำไปทำในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 150,000 ล้านบาท กลับมีการระบุว่างบดังกล่าว เป็นงบลงทุนจำนวน 80%
“จึงขอตั้งคำถามกลับไปยังรัฐบาลว่า รู้ได้อย่างไรว่าประชาชนจะนำเงิน 10,000 บาทดังกล่าวไปใช้ในการลงทุน หรือใช้ในรายจ่ายประจำ ซึ่งเรื่องนี้ถ้ารัฐบาลเดินหน้าต่อแบบนี้ โดยปราศจากการออกมาทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นก็เสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย หากมีคนไปร้องในภายหลัง” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามถึงสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะจับตาในการจัดสรรงบประมาณปี 68 นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นปัญหาที่เคยได้ยินมาอยู่แล้วทุกปี แต่ปีนี้อาจจะมีความพิเศษ คือ งบประมาณของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงงบประชาสัมพันธ์ภาครัฐ ที่รัฐบาลนำงบหลวงมาใช้ในการโปรโมตตัวเอง ซึ่งปัจจุบันปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่การจัดทำงบเงาของพรรคก้าวไกลจะเป็นการศึกษารายละเอียดงบที่ไม่จำเป็นว่า ควรจะนำไปทำอะไรที่จำเป็นมากกว่าด้วย
30 อุตฯจุก เจอพิษสินค้าต่างประเทศ ส.อ.ท.วอนคลังคุมเข้ม หวั่นเงินดิจิทัล 1 หมื่นรั่วถึงกลุ่มนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4563982
30 อุตฯจุก เจอพิษสินค้าต่างประเทศ ส.อ.ท.วอนคลังคุมเข้ม หวั่นเงินดิจิทัล 1 หมื่นรั่วถึงกลุ่มนี้
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาคผลิตไทยปี 2567 ว่า น่าเป็นห่วง เห็นได้จากตัวเลขดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) เดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 104.06 หดตัว 5.13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 62.39% ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสแรกของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 100.85 หดตัวเฉลี่ย 3.65% และอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 60.45% โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าภาคผลิตไทยกำลังมีปัญหา
สาเหตุหนึ่งมาจากปัญหาการทะลักของสินค้าต่างประเทศ ทั้งกลุ่มที่ถูกกฎหมายแต่ราคาถูกมากเพราะไร้มาตรฐาน และกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดดฎหมาย เรื่องนี้ส.อ.ท.ได้สะท้อนกับปัญหาต่อรัฐบาลมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพราะกระทบต่อการผลิตของอุตสาหกรรมไทยมากถึง 22 กลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมเม็ดพลาสติก ซึ่งรัฐบาลได้รับเรื่องไปช่วยแก้ปัญหาแล้ว
“ทราบว่าเดือนพฤษภาคมนี้ กระทรวงการคลังจะเดินหน้าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ในเดือนพฤษภาคมนี้ ส.อ.ท.รู้สึกขอบคุณ เป็นข่าวดี แต่ก็อยากให้มีมาตรการอื่นควบคู่ไปด้วย” นายเกรียงไกรกล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปีนี้จากการติดตามสถานการณ์การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ อาทิ จีน พบว่ายังขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์ผลิตของจีนทั้งโอเวอร์ซัพพลายและโอเวอร์คาพาซิตี้ และถูกกีดกันจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป สินค้าจึงกระจายมายังอาเซียน ดังนั้นอยากให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยกระทรวงการคลังควรเพิ่มมาตรการความเข้มข้นในการตรวจสินค้านำเข้าก่อนถูกกระจายไปยังผู้บริโภค เพราะหากปล่อยไว้ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น กังวลว่าอาจกระทบเพิ่มมากกว่า 30 อุตสาหกรรม สิ่งนี้จะกระทบต่อการจ้างงาน สภาพธุรกิจ จนกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในที่สุด
นายเกรียงไกร กล่าวว่า อยากให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ดำเนินการบริหารเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน คือ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ให้เงินเข้าระบบเศรษฐกิจและเกิดการหมุนเวียนจริงๆ ขณะเดียวกันก็อยากให้ปกป้องสินค้าไทยจากการตีตลาดจากสินค้าต่างประเทศ เพราะหากปล่อยให้ทะลักเข้ามาในไทยจำนวนมาก สุดท้ายเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจถูกใช้จ่ายไปกับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตโดยคนไทย กลายเป็นผลกระทบที่รุนแรง เพราะเศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อน ขณะที่อุตสาหกรรมหลายกลุ่มอาจต้องทยอยปิดตัวลง
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ขณะเดียวกันในช่วงของการเร่งใช้งบประมาณ 2567 อยากให้การจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐเน้นการใช้สินค้าจากผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี แทนการใช้สินค้าต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ส.อ.ท.ทำงานร่วมกับภาครัฐมาหลายปี ภาครัฐมีรายชื่อผู้ผลิตเอสเอ็มอีไทยในมืออยู่แล้ว หากดำเนินการจะทำให้เอสเอ็มอีไทยมีรายได้ เติบโต เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปีนี้
โรงแรมชี้ฟื้นตัวกระจุก 3 ดาวยังโหวง คาดหน้าโลว์เงียบไม่ต่างปี 66
https://www.matichon.co.th/economy/news_4563923
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันฟื้นตัวได้ดีมาก โดยเฉพาะโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป ที่ฟื้นตัวได้เกือบเท่าปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 และมีบางโรงแรมที่ดีกว่าก่อนโควิดแล้วด้วย อาทิ ภูเก็ต ที่สามารถขยับราคาขึ้นได้ เพราะยังมีความต้องการ (ดีมานด์) อยู่สูงมาก แต่ในกลุ่มโรงแรมระดับ 3 ดาวลงมา ถือว่ายังฟื้นตัวได้น้อย โดยเฉพาะโรงแรมที่มีฐานลูกค้าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทัวร์จีน ซึ่งปัจจุบันยังไม่กลับมา ชาวจีนที่เข้ามาเที่ยวไทยขณะนี้เป็นกลุ่มมาเที่ยวเอง (เอฟไอที) มากขึ้น จองตั๋ว โรงแรม เข้ามาเที่ยวเอง ซื้อทัวร์จะน้อยลง ซึ่งจากนี้ผู้ประกอบการทัวร์จะต้องปรับเปลี่ยนให้ทันตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
นายเทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเน้นการตั้งเป้าหมายในด้านรายได้หรือมูลค่ามากกว่าจำนวน เพราะเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2567 อยู่ที่ 40 ล้านคน รายได้ 3.5 ล้านล้านบาท ต้องมีการวางแผนการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวด้วย ว่าเข้ามาแล้วจะไปที่ใดต่อ อาทิ ภูเก็ต ที่เป็นเกาะขนาดเล็ก แต่ได้รับความนิยมจากต่างชาติสูงมากนั้น จะทำอย่างไรให้ไม่เกินขีดความสามารถที่รับไหว ตอนนี้ต้องมาคุยกันเรื่องคาพาซิตี้ หรือขีดความสามารถในการรองรับ เพราะหากปล่อยให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเข้าไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแบบไม่จำกัดคน จะเกิดผลกระทบต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวเอง รวมถึงน่ากังวลในเรื่องความปลอดภัยด้วย