สวัสดีค่ะ เรามีเรื่องอยากแบ่งปัน เล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้หญิงอย่างเราค่ะ
เรื่องเกิดนานแล้ว ประมาณ 20 ปีที่แล้ว เรามีหนุ่มฝรั่งมาจีบ เขาก็ดูดี ไม่ได้รูปหล่อมากนัก ดูจะตลกๆด้วยซ้ำ คอนนั้นเรายังเอ๊าะๆอยู่เลย อายุ 18 ปีเอง ไปทำงานอยู่ที่ร้าน 7-11 สาขาบางลำพู ก็ติดกับถ.ข้าวสารนะ ที่ฝรั่งเยอะๆ พอดีตอนนั้นเพิ่งย้ายไปอยู่กะดึก เราพ่อหนุ่มคนนี้ ก็มาซื้อของที่ 7-11 เขามาแบบไม่ธรรมดานะ เพราะเขาถือไม้มาด้วย แล้วเขาก็ทาแป้งขาวทั้งตัว ซึ่งมันตลกมาก เราก็ทักเขาว่าทำไมเขาทำแบบนี้เขาก็ตอบว่า ที่ถือไม้มาเนี่ย เพราะว่าหมามันไล่กัดฉันถือมา เพื่อตีหมา ส่วนที่ทาแป้งขาวโพลนเนี่ย ก็เพราะว่าโดนยุงกัด ไอ้เราก็ขำแทบตาย คือสภาพที่เห็นครั้งแรกไม่ได้ประทับใจเลยนะ มันดูตลกมากกว่า และหลังจากนั้นเขาก็แวะมา เกือบทุกคืนแวะมาคุยเล่นบ้าง ไม่อยู่ครั้งหนึ่งเขาสั่งมาม่าเราก็เลยอาสาทำให้เขาเราก็ต้มอาม่าให้เขาสมัยนั้นเซเว่นมีบาร์ที่เป็นไส้กรอกแล้วก็มีผัก ที่ที่ให้ลูกค้าทำแฮมเบอร์เกอร์เอง เราก็เอาผัก ใส่ลงไปในมาม่าให้เขา ก็ทำมาม่าแบบนี้ให้เขากินเกือบทุกคืนนะ ก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเขามาจีบไม่อยู่ครั้งหนึ่ง ก็ถามเพราะว่าตอนกลางวันทำอะไรเขาบอกว่า ก็อยู่ที่ห้องก็เปิดทีวีฟังเพลงฟังเพลงไทยเราก็เลยบอกเขาว่างั้นร้องเพลงให้ร้องเพลงได้ไหมร้องให้ฟังหน่อยสิเขาก็ร้อง
โอ้กุหลาบแดงเป็นสื่อแห่งความรักเราเป็นสียวนเย้าเร้าใจให้รักกันจวน............ ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ 9,999 ดอกบ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่บ่งบอกว่าใจฉันยังคงมั่นพันปีหมื่นวันไม่เคยง่ายฟ้าดินสลายหัวใจมันรักเธอ.................
ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งมาจีบเราเหมือนกัน เขาคือผู้จัดการร้านเซเว่นที่เราทำงานอยู่นั่นเอง เขาหน้าตาขี้เหร่มาก ผอม ผอมมาก แล้วก็มีแฟนแล้ว ซึ่งเรา ไม่ได้สนใจเขาเลยแต่แล้ว เราก็ตกหลุมพรางเพราะเขาแก่กว่าเราถึง เกือบ 10 ปีได้ เขาเอาของมาให้พาไปเที่ยวพาไปกินพาไปเที่ยวก็เหมือนทำตัวเป็น Sugar Daddy แล้วก็หลอกเราว่าได้เลิกกับแฟนแล้ว ซึ่งความหน้าโง่ของเรา ก็เชื่อเขาบวกกับความโลภมากที่เห็นแก่เงิน แล้วก็อยากได้นู่นอยากได้นี่เราอยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้ ซึ่งตรงกันข้ามกับพ่อหนุ่มดัชซึ่งมาตามจีบเราตอนกลางคืน ไม่ได้เคยซื้ออะไรให้มีแต่มาร้องเพลงให้ฟังเราก็เลยเลือก ผู้ชายไทยที่เป็นเพลย์บอยไม่เลือกหนุ่มดัชี่เป็นคนโสด นี่คือความผิดพลาดครั้งแรก หลังจากนั้นแม่ก็มีคำสั่งให้กลับไปเรียนหนังสือต่อเราก็ไปสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไอ้ผู้จัดการเซเว่นนี่มันก็ อาสาจ่ายค่าเทอมให้ มันเป็นอะไรที่แม่เราชอบมาก ก่อนที่เราจะลาออกวันหนึ่งเราได้เจอหนุ่มดัชเขามา
ตามหาเราช่วงกลางคืนแต่ไม่เจอ เขาก็เลยถามเพื่อนพนักงานกระดึก บอกว่าเราย้ายมาอยู่กะเช้าแล้วเขาก็เลยตามมาหาตอนเช้า พอเราเจอเขาเราก็ได้บอกร่ำลาเขาว่าเราจะกลับไปเรียนหนังสือแล้วนะ แล้วเราก็ขอที่อยู่ของเขาเอาไว้แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือความโง่ น่าจะเห็นแก่ตัวมากกว่านะได้ที่อยู่ของเขาแล้ว แต่กลับไม่ให้ที่อยู่ของตัวเองกับเขาคือไม่แลกเปลี่ยนที่อยู่กันแล้วพ่อหนุ่มดัชก็ช่างขี้อาย ไม่ยอมขอที่อยู่เราด้วย มันก็เลยจบแค่นี้ไง ต่างคนต่างไปกัน เลย เราก็ไปเรียนหนังสือ แล้วก็ไป คบกับไอ้ผู้จัดการร้านเซเว่นส่วนตัวเขาก็รู้ภายหลังว่าเขาก็เจอมรสุมชีวิตเหมือนกันแล้วก็ต้องไปอยู่กับเพื่อนคนไทยที่บุรีรัมย์ ซึ่งตอนนั้นถ้าเขารู้ที่อยู่เราก็คงจะไปหาเราที่บ้านแล้วล่ะแล้วก็ไปขอความช่วยเหลือเราแล้วมันก็คงจะได้สานความสัมพันธ์กัน แต่เรื่องมันก็จบแบบต่างคนต่างไป
หลังจากนั้นเราก็ไปเรียนหนังสือขึ้นปี 1 ที่รามคำแหง ความสัมพันธ์เราระหว่างผู้จัดการร้านเซเว่นก็เริ่มจะเหินห่างกันไป จนมาเกิดจุดแตกหัก เมื่อ ผู้จัดการร้านเซเว่นชวนเราไปเที่ยวบางแสนแล้วก็ออกอุบายเออระเหยลอยชายอยู่จนเย็นย่ำค่ำมืดแล้วก็อ้างว่าน่าจะนอนค้างคืนกันที่นี่สักคืนนะ มันหวังจะเคลมเรา แต่เรารู้ทันมัน และอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้แม่เราดุมากไม่ยอมแน่ๆ มีหวังได้ตามมาถลกหนังหัวถึงบางแสนแน่ๆ เราก็บอกไปตามจริงว่าทำอย่างนั้นไม่ได้แม่เอาตายแน่เธอจะถูกแม่ฉันมาตามถึงที่ แต่ก็ยังถ้านู่นท่านี้โอ้เอ้ๆๆจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมกลับบ้าน แต่รถตู้ไม่มีแล้ว ต้องเรียกแท็กซี่เหมากลับจากบางแสนไปกรุงเทพฯกว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแม่มานั่งรอหน้าปากซอย พอลงจากรถปุ๊บยายแดงก็ด่า ใส่ผู้จัดการซะหน้าซีดไปเลย พอหลังจากที่เขาส่งเรากลับบ้านแล้วเขาก็ขึ้นรถแท็กซี่คันเดิมนั่นแหละ กลับไปบ้านเขา เสร็จแล้วสักพักนึงเขาก็โทรกลับมา ถามเราว่าได้เอากระเป๋าตังค์เขาไปหรือเปล่าเราก็บอกเราไม่รู้เรื่องจะไปเอากระเป๋าตังค์เขามาทำไมจะไปหยิบตอนไหนเขาบอกกระเป๋าตังค์เขาหาย น่าจะตกในรถแท็กซี่เราก็บอกว่าอ้าวแล้วไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเพื่อจ่ายตังค์ค่ารถแท็กซี่หรอเขาบอกว่าเขาหยิบจากกระเป๋าเสื้อเขา สรุป เขาบอกว่านั่นคือเงินเดือนทั้งเดือนของเขาเลยนะ แล้วทีนี้จะเอาอะไรกินล่ะ แล้วหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาก็หายไป ขาดการติดต่อโทรก็ไม่รับสาย แล้วก็ไม่โทรมาหาเราด้วยเราโทรไปหาก็ไม่รับสายจนเราเป็นกังวลเลยต้องบุกไปตามถึงที่ร้านที่เขาทำงานอยู่
เจอบ้างไม่เจอบ้างจนหลังๆหนักเข้าเราก็เริ่มทำใจแล้วว่าเขาคงจะพยายามตีตัวออกห่างเราแล้วล่ะผลสุดท้ายก็ Final จริงๆ คือเขาหายตัวไปเลยไม่ติดต่อเราไม่โทรหาไม่มาหาไปหาก็ไม่เจอหลบหน้าหลบตาเราก็เลยต้องทำใจก็หันหน้ากลับมาเรียนหนังสือดีกว่า...........
ก็จบเรื่องของคนรักคนแรกของเราไป
ช่วงที่เรียนปี 1 มีวิชาบังคับ เป็นวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่ง ด้วยวิชานี้ มันทำให้เราคิดถึงหนุ่มดัชที่เรารู้จักกันเมื่อตอนทำงานอยู่เซเว่น เราเลยนึกขึ้นได้ว่าเรามีที่อยู่ของเขาเราจึงเริ่มไปค้นหาที่อยู่ของเขา ที่เก็บไว้เป็นปี จนเจอ แล้วก็เริ่มลงมือเขียนจดหมายฉบับแรกไปหาเขา ความตั้งใจจริงๆแล้วคือต้องการจะฝึกภาษาอังกฤษกับเขา ก็เลยเขียนจดหมาย ไปถึงเขา ผ่านไป 2 อาทิตย์ ได้รับจดหมายตอบกลับจากเขา เขา อยากให้เราโชว์รูปส่งรูปไปให้เขาดู ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรแต่ตัวเขาต้องการมั่นใจว่าเป็นตัวเราจริงๆ ไม่ใช่อีกคนนึงซึ่งเพราะตอนนั้นกะดึกมีพนักงานที่เป็นผู้หญิงอยู่ 2 คนคือมีเราและเพื่อนเราอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขากลัวว่า จะผิดคน และแล้ว เราก็หารูปที่สวยที่สุดแล้วส่งไปให้เขาเขาก็ ดีใจว่าคนที่เขียนจดหมายหาเขานั้นคือเราจริงๆ เรื่องยังไม่จบนะมันเพิ่งเริ่มต้น เดี๋ยวจะมีต่อ ภาค 2 นะคะ
ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย (คลองแสนแสบ)
เรื่องเกิดนานแล้ว ประมาณ 20 ปีที่แล้ว เรามีหนุ่มฝรั่งมาจีบ เขาก็ดูดี ไม่ได้รูปหล่อมากนัก ดูจะตลกๆด้วยซ้ำ คอนนั้นเรายังเอ๊าะๆอยู่เลย อายุ 18 ปีเอง ไปทำงานอยู่ที่ร้าน 7-11 สาขาบางลำพู ก็ติดกับถ.ข้าวสารนะ ที่ฝรั่งเยอะๆ พอดีตอนนั้นเพิ่งย้ายไปอยู่กะดึก เราพ่อหนุ่มคนนี้ ก็มาซื้อของที่ 7-11 เขามาแบบไม่ธรรมดานะ เพราะเขาถือไม้มาด้วย แล้วเขาก็ทาแป้งขาวทั้งตัว ซึ่งมันตลกมาก เราก็ทักเขาว่าทำไมเขาทำแบบนี้เขาก็ตอบว่า ที่ถือไม้มาเนี่ย เพราะว่าหมามันไล่กัดฉันถือมา เพื่อตีหมา ส่วนที่ทาแป้งขาวโพลนเนี่ย ก็เพราะว่าโดนยุงกัด ไอ้เราก็ขำแทบตาย คือสภาพที่เห็นครั้งแรกไม่ได้ประทับใจเลยนะ มันดูตลกมากกว่า และหลังจากนั้นเขาก็แวะมา เกือบทุกคืนแวะมาคุยเล่นบ้าง ไม่อยู่ครั้งหนึ่งเขาสั่งมาม่าเราก็เลยอาสาทำให้เขาเราก็ต้มอาม่าให้เขาสมัยนั้นเซเว่นมีบาร์ที่เป็นไส้กรอกแล้วก็มีผัก ที่ที่ให้ลูกค้าทำแฮมเบอร์เกอร์เอง เราก็เอาผัก ใส่ลงไปในมาม่าให้เขา ก็ทำมาม่าแบบนี้ให้เขากินเกือบทุกคืนนะ ก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะว่าเขามาจีบไม่อยู่ครั้งหนึ่ง ก็ถามเพราะว่าตอนกลางวันทำอะไรเขาบอกว่า ก็อยู่ที่ห้องก็เปิดทีวีฟังเพลงฟังเพลงไทยเราก็เลยบอกเขาว่างั้นร้องเพลงให้ร้องเพลงได้ไหมร้องให้ฟังหน่อยสิเขาก็ร้อง
โอ้กุหลาบแดงเป็นสื่อแห่งความรักเราเป็นสียวนเย้าเร้าใจให้รักกันจวน............ ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ 9,999 ดอกบ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่บ่งบอกว่าใจฉันยังคงมั่นพันปีหมื่นวันไม่เคยง่ายฟ้าดินสลายหัวใจมันรักเธอ.................
ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งมาจีบเราเหมือนกัน เขาคือผู้จัดการร้านเซเว่นที่เราทำงานอยู่นั่นเอง เขาหน้าตาขี้เหร่มาก ผอม ผอมมาก แล้วก็มีแฟนแล้ว ซึ่งเรา ไม่ได้สนใจเขาเลยแต่แล้ว เราก็ตกหลุมพรางเพราะเขาแก่กว่าเราถึง เกือบ 10 ปีได้ เขาเอาของมาให้พาไปเที่ยวพาไปกินพาไปเที่ยวก็เหมือนทำตัวเป็น Sugar Daddy แล้วก็หลอกเราว่าได้เลิกกับแฟนแล้ว ซึ่งความหน้าโง่ของเรา ก็เชื่อเขาบวกกับความโลภมากที่เห็นแก่เงิน แล้วก็อยากได้นู่นอยากได้นี่เราอยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้ ซึ่งตรงกันข้ามกับพ่อหนุ่มดัชซึ่งมาตามจีบเราตอนกลางคืน ไม่ได้เคยซื้ออะไรให้มีแต่มาร้องเพลงให้ฟังเราก็เลยเลือก ผู้ชายไทยที่เป็นเพลย์บอยไม่เลือกหนุ่มดัชี่เป็นคนโสด นี่คือความผิดพลาดครั้งแรก หลังจากนั้นแม่ก็มีคำสั่งให้กลับไปเรียนหนังสือต่อเราก็ไปสมัครเรียนที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ไอ้ผู้จัดการเซเว่นนี่มันก็ อาสาจ่ายค่าเทอมให้ มันเป็นอะไรที่แม่เราชอบมาก ก่อนที่เราจะลาออกวันหนึ่งเราได้เจอหนุ่มดัชเขามา
ตามหาเราช่วงกลางคืนแต่ไม่เจอ เขาก็เลยถามเพื่อนพนักงานกระดึก บอกว่าเราย้ายมาอยู่กะเช้าแล้วเขาก็เลยตามมาหาตอนเช้า พอเราเจอเขาเราก็ได้บอกร่ำลาเขาว่าเราจะกลับไปเรียนหนังสือแล้วนะ แล้วเราก็ขอที่อยู่ของเขาเอาไว้แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือความโง่ น่าจะเห็นแก่ตัวมากกว่านะได้ที่อยู่ของเขาแล้ว แต่กลับไม่ให้ที่อยู่ของตัวเองกับเขาคือไม่แลกเปลี่ยนที่อยู่กันแล้วพ่อหนุ่มดัชก็ช่างขี้อาย ไม่ยอมขอที่อยู่เราด้วย มันก็เลยจบแค่นี้ไง ต่างคนต่างไปกัน เลย เราก็ไปเรียนหนังสือ แล้วก็ไป คบกับไอ้ผู้จัดการร้านเซเว่นส่วนตัวเขาก็รู้ภายหลังว่าเขาก็เจอมรสุมชีวิตเหมือนกันแล้วก็ต้องไปอยู่กับเพื่อนคนไทยที่บุรีรัมย์ ซึ่งตอนนั้นถ้าเขารู้ที่อยู่เราก็คงจะไปหาเราที่บ้านแล้วล่ะแล้วก็ไปขอความช่วยเหลือเราแล้วมันก็คงจะได้สานความสัมพันธ์กัน แต่เรื่องมันก็จบแบบต่างคนต่างไป
หลังจากนั้นเราก็ไปเรียนหนังสือขึ้นปี 1 ที่รามคำแหง ความสัมพันธ์เราระหว่างผู้จัดการร้านเซเว่นก็เริ่มจะเหินห่างกันไป จนมาเกิดจุดแตกหัก เมื่อ ผู้จัดการร้านเซเว่นชวนเราไปเที่ยวบางแสนแล้วก็ออกอุบายเออระเหยลอยชายอยู่จนเย็นย่ำค่ำมืดแล้วก็อ้างว่าน่าจะนอนค้างคืนกันที่นี่สักคืนนะ มันหวังจะเคลมเรา แต่เรารู้ทันมัน และอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้แม่เราดุมากไม่ยอมแน่ๆ มีหวังได้ตามมาถลกหนังหัวถึงบางแสนแน่ๆ เราก็บอกไปตามจริงว่าทำอย่างนั้นไม่ได้แม่เอาตายแน่เธอจะถูกแม่ฉันมาตามถึงที่ แต่ก็ยังถ้านู่นท่านี้โอ้เอ้ๆๆจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมกลับบ้าน แต่รถตู้ไม่มีแล้ว ต้องเรียกแท็กซี่เหมากลับจากบางแสนไปกรุงเทพฯกว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแม่มานั่งรอหน้าปากซอย พอลงจากรถปุ๊บยายแดงก็ด่า ใส่ผู้จัดการซะหน้าซีดไปเลย พอหลังจากที่เขาส่งเรากลับบ้านแล้วเขาก็ขึ้นรถแท็กซี่คันเดิมนั่นแหละ กลับไปบ้านเขา เสร็จแล้วสักพักนึงเขาก็โทรกลับมา ถามเราว่าได้เอากระเป๋าตังค์เขาไปหรือเปล่าเราก็บอกเราไม่รู้เรื่องจะไปเอากระเป๋าตังค์เขามาทำไมจะไปหยิบตอนไหนเขาบอกกระเป๋าตังค์เขาหาย น่าจะตกในรถแท็กซี่เราก็บอกว่าอ้าวแล้วไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเพื่อจ่ายตังค์ค่ารถแท็กซี่หรอเขาบอกว่าเขาหยิบจากกระเป๋าเสื้อเขา สรุป เขาบอกว่านั่นคือเงินเดือนทั้งเดือนของเขาเลยนะ แล้วทีนี้จะเอาอะไรกินล่ะ แล้วหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาก็หายไป ขาดการติดต่อโทรก็ไม่รับสาย แล้วก็ไม่โทรมาหาเราด้วยเราโทรไปหาก็ไม่รับสายจนเราเป็นกังวลเลยต้องบุกไปตามถึงที่ร้านที่เขาทำงานอยู่
เจอบ้างไม่เจอบ้างจนหลังๆหนักเข้าเราก็เริ่มทำใจแล้วว่าเขาคงจะพยายามตีตัวออกห่างเราแล้วล่ะผลสุดท้ายก็ Final จริงๆ คือเขาหายตัวไปเลยไม่ติดต่อเราไม่โทรหาไม่มาหาไปหาก็ไม่เจอหลบหน้าหลบตาเราก็เลยต้องทำใจก็หันหน้ากลับมาเรียนหนังสือดีกว่า...........
ก็จบเรื่องของคนรักคนแรกของเราไป
ช่วงที่เรียนปี 1 มีวิชาบังคับ เป็นวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่ง ด้วยวิชานี้ มันทำให้เราคิดถึงหนุ่มดัชที่เรารู้จักกันเมื่อตอนทำงานอยู่เซเว่น เราเลยนึกขึ้นได้ว่าเรามีที่อยู่ของเขาเราจึงเริ่มไปค้นหาที่อยู่ของเขา ที่เก็บไว้เป็นปี จนเจอ แล้วก็เริ่มลงมือเขียนจดหมายฉบับแรกไปหาเขา ความตั้งใจจริงๆแล้วคือต้องการจะฝึกภาษาอังกฤษกับเขา ก็เลยเขียนจดหมาย ไปถึงเขา ผ่านไป 2 อาทิตย์ ได้รับจดหมายตอบกลับจากเขา เขา อยากให้เราโชว์รูปส่งรูปไปให้เขาดู ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรแต่ตัวเขาต้องการมั่นใจว่าเป็นตัวเราจริงๆ ไม่ใช่อีกคนนึงซึ่งเพราะตอนนั้นกะดึกมีพนักงานที่เป็นผู้หญิงอยู่ 2 คนคือมีเราและเพื่อนเราอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขากลัวว่า จะผิดคน และแล้ว เราก็หารูปที่สวยที่สุดแล้วส่งไปให้เขาเขาก็ ดีใจว่าคนที่เขียนจดหมายหาเขานั้นคือเราจริงๆ เรื่องยังไม่จบนะมันเพิ่งเริ่มต้น เดี๋ยวจะมีต่อ ภาค 2 นะคะ