ถ้าพุทธเป็นโสดาบันจะสึกและเปลี่ยนศาสนา ไง? หนุ่มพุทธบวชพระ สึกออกมาเปลี่ยนศาสนา เพื่อแต่งกับสาวมุสลิม

กระทู้คำถาม
รักต่างศาสนาหนุ่มพุทธ-สาวมุสลิมแอบคบกัน12 ปีพิสูจน์รักแท้ทลายคำครหา“รักไปไม่รอด”
16 ชั่วโมงที่แล้วข่าวบันเทิง

ผู้ใช้ติ๊กต็อก@narin.pakbaraw ได้โพสต์คลิปของเรื่องราวความรักต่างศาสนาโดยฝ่ายหญิงซึ่งเป็นชาวมุสลิมเดินทางไปงานบวชฝ่ายชายซึ่งเป็นชาวไทยพุทธพร้อมระบุแคปชั่นว่า“เรื่องราวความรักต่างศาสนาที่ทำให้หัวใจพองโต”
 
ล่าสุดคุณตีและคุณต้น2 คู่รักเจ้าของเรื่องราวได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องราวดังกล่าวโดยคุณตีเล่าว่า“เราทั้งคู่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่1 ในปีพ.ศ.2552 จากนั้นก็เป็นเพื่อนกันทำกิจกรรมด้วยกันมาตลอดก่อนจะเริ่มคบกันเป็นแฟนในปีพ.ศ.2554 และตอนนี้ก็แต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วโดยคบกันมาเป็นเวลากว่า12 ปีแล้ว”

โดยคุณตียอมรับว่า“ความแตกต่างทางศาสนาถือเป็นอุปสรรคในความรักของเราทั้งคู่ทั้งเสียงจากคนรอบข้างโดยเฉพาะครอบครัวที่รับไม่ได้ที่เรารักกันนอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้ชีวิตด้วยกันที่จะต้องการปรับตัวค่อนข้างมาก”
 
ต่อมาคุณต้นเล่าว่า“อดทนรอเวลามากกว่า12 ปีเพื่อพิสูจน์และหาจังหวะที่เหมาะสมในการเปิดเผยกับที่บ้านเธอเรื่องความสัมพันธ์ของตนและภรรยาเพราะตนรู้ดีที่สุดว่าคนที่บ้านตนเป็นอย่างไรโดยตนตั้งใจว่าจะเปิดเผยกับแม่ในวันที่ตนบวชให้แม่ในตอนแรกตนคิดว่าแม่จะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะแม่มีปมเรื่องที่พ่อไปแต่งงานกับชาวมุสลิมตนก็กลัวว่าแม่จะเสียใจ”

“ปรากฏว่าแม่ไม่ได้โกรธและรับได้ซึ่งตนก็คิดว่ามันคงเป็นเวลาที่เหมาะสมเพราะถ้าหากตนบอกแม่ตอนที่คบกันได้แค่1 ปีหรือแค่5 ปีสถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไป

นอกจากนี้ตนยังเปิดเผยกับแม่ถึงแผนในอนาคตว่าจะมีการเปลี่ยนศาสนาหลังจากสึกได้1 เดือนแต่งงานสร้างครอบครัวและมีลูกจึงทำให้แม่สบายใจไม่มีเรื่องอะไรให้ห่วง”
 
“การที่จะรักกับชาวมุสลิมจะต้องเปลี่ยนศาสนาต่อเลยเคลียร์ของทางฝั่งศาสนาพุทธบวชให้แม่เรียบร้อยทำให้เต็มที่จะได้ไม่เสียใจทีหลังจากนั้นหลังจากสึก1 เดือนตนก็ทำการเปลี่ยนศาสนา”

ต่อมาคุณตีเผยว่า“ตลอดระยะเวลา12 ปีของการคบกันทั้งพี่ๆน้องๆเพื่อนมหาลัยที่รับรู้มาโดยตลอดแต่ก็จะมีเสียงจากคนรอบข้างที่คิดว่าตนทั้งคู่คบกันได้ไม่นานแน่ๆเดี๋ยวก็เลิกกันไปไม่รอดหรอกน้อยมากที่จะยินดีกับเราสองคนมีคนแอนตี้ด้วยซ้ำโดยเฉพาะครอบครัวที่ไม่รู้ว่าเราคบกันแต่เราก็มีกันและกันในทุกช่วงเวลาคิดตลอดว่าถ้าเราจับมือกันแน่นพอเราจะผ่านไปได้”
 
“ในขณะเดียวกันทางตนที่เป็นชาวมุสลิมก็คอยคุยกับที่บ้านตั้งแต่เนิ่นๆเพราะที่บ้านจะปลูกฝังมาตลอดว่าห้ามมีแฟนเป็นไทยพุทธตนเลยใช้เวลาตลอด10 กว่าปีในการทำให้เขาเห็นว่าแฟนเป็นคนยังไงและค่อยๆทลายกำแพงในใจทางศาสนาได้สุดท้ายแล้วเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักของเราสองคนว่าการที่เรารักกันไม่ได้พากันทำเรื่องเสียหายอีกทั้งยังให้เกียรติศาสนาของแต่ละฝ่ายด้วย

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8217522
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่