โดนเจ้านายประกาศกลางที่ทำงานว่ากู้เงินครับควรปฎิบัติตัวยังไงดีครับ

ตามหัวข้อเลยครับ เรื่องก็คือผมทำงานอยู่หน่วยงานนึง จะทำการกู้เงินแต่ต้องได้ลายเซ็นนาย ซึ่งก็ได้มีการบอกทางเลขานายไว้แล้วว่าถ้านายเข้ามาให้มาตามผมด้วยผมจะเข้าไปคุยกับนายเอง แต่อีท่าไหนไม่รู้นายเดินมาเสียงดังเลยครับจะกู้เงินเหรอกู้เท่าไหร่เอาไปทำอะไรคือลั่นที่ทำงานเลยครับ รู้สึกหน้าชาแบบไม่ต้องเปรียบเปรย คือปกติที่ทำงานผมจะเปลี่ยนนายไปเรื่อยๆเวลาทำเรื่องจะเข้าไปคุยเองผ่านทุกรอบเงียบๆ พอนายคนนี้มาปุ๊ปแกเป็นคนดุเสียงดัง เวลาแกออกมาตรวจงานทีอย่างกับนิวเคลียร์ลง เลยอยากรู้ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้และรับมือยังไงครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ข่มเหงรังแกลูกน้อง…..ติดคุกได้
การข่มเหงรังแกในการทำงาน (Power Harassment) หมายถึง การกลั่นแกล้ง การทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนรำคาญใจ ไม่สบายใจ โดยใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ในการงานเป็นเครื่องมือ มีผลให้ผู้ถูกกระทำทำงานด้วยความลำบากกาย ลำบากใจ ถูกมองด้วยสายตาไม่ดีจากผู้ร่วมงานคนอื่น  ตัวอย่างเช่น
– การที่หัวหน้ามอบหมายงานที่ไม่สามารถทำได้ให้ลูกน้อง หรือให้ทำงานนอกขอบเขตรายละเอียดของาน (Job Description) เพื่อกลั่นแกล้งให้ลูกน้องทำงานผิดพลาด
– การที่หัวหน้ากดดันการทำงานของลูกน้องทำให้ลูกน้องเกิดความเครียดในการทำงาน
– การที่หัวหน้าเมินเฉยผลงานของลูกน้อง หรือดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรง เสียงดังเมื่อลูกน้องทำงานผิดพลาดเพียงเล็กน้อย
– การสอบถามเรื่องส่วนตัวของลูกน้องมากจนเกินความจำเป็น
– การที่หัวหน้ามอบหมายงานที่ไม่มีคุณค่าหรือไม่จำเป็นให้ลูกน้องทำ
– การที่หัวหน้าข่มขู่ลูกน้องว่า หากไม่ทำงานตามที่ตนสั่งแล้วจะถูกลดตำแหน่ง หรือลดผลประโยชน์
– การที่หัวหน้าบังคับลูกน้องให้ไปเที่ยว ดื่มเหล้าหลังเลิกงาน
– การที่หัวหน้าเอาความผิดของลูกน้องไปพูดให้คนอื่นฟังลับหลัง
– การที่หัวหน้าประเมินผลการทำงานของลูกหน้าอย่างไม่ถูกต้อง
-การที่หัวหน้างานเอาความลับส่วนตัวของลูกน้องไปเปิดเผยต่อเพื่อนร่วมงาน เช่น ลูกน้องเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ หรือมีญาติพี่น้องมีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นต้น
        ที่ผู้เขียนกล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเฉพาะของกรณีการข่มเหงรังแกในการทำงาน (Power Harassment) ซึ่งท่านผู้อ่านอาจจะเห็นเป็นเรื่องข้อกระทบกระทั่งกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องจากการทำงานโดยปกติ แต่ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ การกระทำดังกล่าวอาจถือเป็นความผิดอาญา ตามมาตรา ๓๙๗ ซึ่งบัญญัติว่า
“ ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำการให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
                        ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล หรือเป็นการทำในลักษณะส่อไปในทางล่วงเกินทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                        ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นการกระทำโดยเหตุที่ผู้กระทำมีอำนาจเหนือผู้ถูกกระทำ อันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือผู้มีอำนาจเหนือประการอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท”
เมื่อพิจารณาจากกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า หากเป็นข้อพิพาทในทางแรงงานแล้ว การกระทำความผิดตามมาตรานี้มีความเกี่ยวข้องต่อบรรดาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในสถานประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างลูกจ้างด้วยกันเอง หัวหน้างานกับลูกน้อง หรือลูกจ้างกับนายจ้าง ดังนั้น การข่มเหงรังแกในการทำงานย่อมอาจเป็นการกระทำความผิดกฎหมายอาญาข้อหา รังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ และจะถือเป็นการกระทำความผิดในบทฉกรรจ์ที่ผู้กระทำความผิดจะต้องรับโทษหนักขึ้นอีกด้วย หากผู้กระทำความผิดเป็นผู้บังคับบัญชา
ความผิดตามมาตรานี้เป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งหมายถึงความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดที่แม้ผู้กระทำความผิดเองหากกระทำไปโดยไม่เจตนาก็ยังต้องรับโทษ ความผิดลหุโทษนี้เน้นการป้องกันและระงับข้อพิพาทระหว่างบุคคลมิให้ลุกลาม ไม่ให้เกิดการใช้สิทธิของตนที่ก่อความรำคาญแก่ผู้อื่น ทั้งนี้ เพื่อป้องปราบมิให้ความผิดอาญาขยายหนักเกินเหตุจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
อย่างไรก็ตาม ความผิดลหุโทษถือว่าเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ดังนั้น ความผิดประเภทนี้จึงอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนที่จะเปรียบเทียบปรับให้คดีอาญาเลิกกันได้หากเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษจำคุก โดยผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับด้วย
เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว หากผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกันแล้วก็จะถือเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที แม้ว่าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตนาของผู้กระทำความผิดก็ตาม แต่ความผิดลหุโทษนั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเจตนา ฝ่าฝืนแล้วถือว่าความผิดสำเร็จทันที คงจะต้องรอดูบรรทัดฐานของศาลฎีกาที่จะแปลความการบังคับใช้กฎหมายนี้ต่อไปว่า การกระทำที่จะถือว่าเป็นความผิดตามมาตรานี้จะต้องมีระดับความรุนแรงถึงขนาดใดจึงจะถือว่าเป็นความผิด
ท่านผู้อ่านท่านใดมีความประสงค์สอบถามปัญหาที่เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานหรือกฎหมายอื่นใด สามารถเขียนอีเมล์เข้ามาสอบถามผู้เขียนได้ที่ worasetep@gmail.com ผู้เขียนยินดีที่จะตอบปัญหาให้กับท่านผู้อ่านทุกท่านครับ

……………………………………………………………..
ผู้เขียน….นายวรเศรษฐ์  เผือกสกนธ์
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ตามมาจาก Facebook เข้ามาอ่าน Comment แล้วตกใจที่คนส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจใน Privacy/Information Literacy เลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Personal Financial นี่ยิ่งต้องทำให้เงียบที่สุดเลยด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นข้อมูลที่เป็นความลับแทบจะที่สุดแล้ว
ซ้ำยังทำเหมือนกับว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ จะคิดมากทำไม ใคร ๆ หรือที่ไหนก็ทำกัน ควรทำตัวให้ชิน
บาง Comment ใน Facebook นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย "บอบบาง หน้าบาง ก็ไม่ต้องก่อหนี้" เป็นประโยคที่ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าพูดออกมาด้วยซ้ำ

สำหรับเราเรื่องนี้เรารับไม่ได้ค่ะ ตั้งแต่เรียนจบทำงานมา 7 ปี ไม่เคยมีใครในบริษัทไหนปฏิบัติกันแบบนี้เลยค่ะ
เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเราสมัครบัตรเครดิต แล้วธนาคารโทรมา verify กับทาง HR เขายังโทรหาเราแบบส่วนตัวและพูดเบา ๆ เพื่อแจ้งข่าวเลย
แม้กระทั่งตอนทำ Expense Claim ถ้ามีจุดไหนที่จะต้องคุยกันเกี่ยวกับตัวเลข บอสจะเรียกไปคุยในห้องส่วนตัวโดยไม่ให้ใครได้ยินเลยด้วยซ้ำ

คุณเจ้าของกระทู้เวลาอ่าน Comment อย่าลืมใส่วิจารณญาณลงไปด้วยนะคะ อย่าเสียความมั่นใจในจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้
มันไม่ใช่เรื่องที่ควรป่าวประกาศในที่สาธารณะแน่นอนค่ะ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้
แต่การที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้สึกกับมันไม่ได้ด้วยเหมือนกัน เพราะมันไม่ถูกต้องจริง ๆ เข้าใจที่เราจะสื่อไหมคะ?

ในแง่ของการ Take Action เราเข้าใจว่าคุณคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะเขาเป็นบอส ตำแหน่งสูงกว่า
มี 2 อย่างที่ทำได้ค่ะ คือทำใจ หรือ เข้าไปคุยกับบอสตรง ๆ ว่าเรารู้สึกไม่โอเค จริง ๆ ข้อมูลทางการเงินมันไม่ควรถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ
ไม่รู้นะคะว่าบอกไปแล้วจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยก็ได้บอกความรู้สึกออกไป แต่ถ้าเลือกจะบอกก็ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้ด้วยเหมือนกัน
หรือถ้าดีกว่านั้น คุณอาจจะเป็นคนทำให้บอสตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ได้ เพราะบอสอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน ไม่คิดว่าเป็นเรื่อง Sensitive
สำหรับเรา บอสที่ดีควรเปิดรับคำแนะนำจากทุกคน โดยเฉพาะเรื่องที่ทำไปแล้วเกิดผลกระทบต่อสภาพจิตใจของอีกฝ่ายค่ะ
ความคิดเห็นที่ 12
แปลกใจ ทำไมหลายคนถึงบอกว่าเรื่องปกติไม่ต้องอาย จริงอยู่ว่าคนเป็นหนี้คือปกติ แต่ผมว่าเรื่องนี้มันเรื่องส่วนตัวนะว่าใครจะกู้ กู้เท่าไร บางคนก็อาจจะอายว่ากู้เยอะไรงี้

คนระดับเจ้านายไม่ควรต้องมาพูดถามเสียงดังให้คนอื่นได้ยิน ไร้วุฒิภาวะมาก
ความคิดเห็นที่ 37
เหมือนหลายคนในนี้จะยังไม่เข้าใจประเด็นของ จขกท
ว่าเจ้านายกำลังละเมิด "เรื่องส่วนตัว"
ทุกคนกู้เงินน่ะใช่ แต่บุคคลที่ 3 ไม่ควรมาป่าวประกาศให้ทุกคนรู้แบบนี้ มันทำให้อึดอัดใจ

ตอบ จขกท
ผมคิดว่ากรณีนี้คงทำอะไรไม่ได้ คุณเสียหายก็จริงแต่แก้ไขตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่ต้องทำใจ
ครั้งหน้า แนะนำให้บอกเลขาเพื่อขอคุยส่วนตัวแบบไม่บอกหัวข้อเรื่อง พอได้คุยค่อยบอกเรื่องกู้เงินไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่