ไทยว่าไง? ‘ส่องเพื่อนบ้าน’ ลาววิกฤตหนี้ พม่าไล่ล่า กัมพูชาไล่รื้อ เวียดนามปราบคนเห็นต่าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4543527
หรือไทยไม่ต่าง? นักวิจัยแอมเนสตี้ ’ส่องเพื่อนบ้าน‘ เรียกร้อง-แสดงความกังวล ชี้ ลาววิกฤตหนี้ พม่าไล่ล่า กัมพูชาไล่รื้อ เวียดนาม ยังปราบคนเห็นต่าง
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ห้องสุรศักดิ์ 2-3 ชั้น 11 โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงข่าวเปิดตัว รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2565/66 โดยสื่อสารถึงเรื่องราวสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ใน 155 ประเทศทั่วโลก สะท้อนบทวิเคราะห์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนระดับโลกและระดับประเทศแบบเจาะลึก พร้อมส่งเสียงถึงรัฐบาลให้เห็นความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นไปตามหลักสากล
โดยมี นาง
ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย, นาง
หมิง ยู่ ฮา รองผู้อำนวยการด้านรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, น.ส.
พุทธณี กางกั้น ประธานกรรมการ แอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย และ นาย
ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาค ประจำประเทศไทย ร่วมแถลง
ในตอนหนึ่ง นาย
ชนาธิป นักวิจัยระดับภูมิภาค แอมเนสตี้ฯ กล่าวถึงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ใน ‘
ประเทศลาว’ ว่า จากข่าวปัจจุบันเรื่องที่น่าจะถูกกล่าวถึงที่สุด คือ ‘
วิกฤตเศรษฐกิจของลาว’ ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับที่เกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก โดยลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จัดให้อยู่ใน ‘ประเทศวิกฤตด้านหนี้สิน’ โดยในปี 2023 IMF ระบุว่า ลาวมีหนี้มวลรวม 121.7 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี
สถานการณ์นี้ นำไปสู่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย ทั้งเงินเฟ้อ การอ่อนค่าของค่าเงินกีบ สินค้าราคาพุ่งสูงอย่างมาก แม้ลาวจะมีปัญหาหมายมายแต่รัฐบาลยังกู้เงินเพิ่ม เพื่อนำไปพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าผ่านเขื่อน แต่การริเริ่มเหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม และวิถีชีวิตของคนในประเทศ
“
เมื่อเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ อย่างน้อยต้องมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบ้าง แต่ความจริง คือ การเคลื่อนไหวเหล่านั้นเป็นไปได้ยากมาก”
“
ปัญหาที่พบเจอมาตลอด คือ ‘ลาว มีลักษณะพื้นที่พลเมืองปิด เราจึงไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวคนประเทศนี้ แม้จะมีปัญหาหลายอย่าง แต่จะเน้น เรื่องนี้ที่แอมเนสตี้ บันทึกและติดตามอย่างเข้มข้น” นาย
ชนาธิปชี้
นาย
ชนาธิปกล่าวต่อว่า ‘
ปัญหาพลเมืองที่มีลักษณะปิด’ ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ เคยออกมาพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน เมื่อปีที่แล้ว (2566) โดย คุณ
แมรี ลอว์เลอร์ ผู้ตรวจการพิเศษด้านสถานการณ์ของผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แสดงความกังวลต่อนักเคลื่อนไหวในลาวอย่างมาก ทั้งการควบคุมตัวโดยพลการ บังคับให้บุคคลสูญหาย และการคุกคามเป็นต้น
สิ่งที่นักสิทธิมนุษยชนต้องเจอ เช่น 1.ประชาชนลาวที่ออกมาเลื่อนไหวไม่ปลอดภัย ตกอยู่ในอันตราย ถูกละเมิดได้ทุกเมื่อ 2.แม้กระทั่งประชาชนที่ออกจากลาวมาลี้ภัยในไทย ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี 3.ประชาชนจากชาติอื่นๆ เมื่อเข้าไปอยู่ลาว ก็มีโอกาสถูกละเมิดได้เช่นกัน
“
ข้อแรก ตัวอย่างที่ชัดเจน ชาวลาวที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ เมื่อเมษายนปีที่แล้ว นักกิจกรรมอายุ 25 ปี ชื่อ ‘แจ็ค’ อนุซา หลวงสุพรม ตั้งกลุ่มพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในลาว แต่ตกเป็นเหยื่อถูกยิงที่ใบหน้าและหน้าอก จนเกือบเสียชีวิต ซึ่งถูกยิงโจ่งแจ้งกลางกรุงเวียงจันทน์”
ข้อ 2 แม้ย้ายออกจากลาวแล้ว ก็ยังอาจเป็นเหยื่อ ปราบปรามข้ามชาติได้ โดย 1 เดือนหลังแจ็คถูกยิง คุณบุญส่วน ก็ถูกยิงที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเขาอยู่ในกลุ่มฟรีลาว ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวอย่างสงบ เช่น ม็อบข้างหน้าสถานทูตลาว โดยยังไม่ได้รับคำตอบ หรือคืนความยุติธรรมแต่อย่างใด
ข้อ 3 คนประเทศอื่นที่อยู่ในลาว เช่น นักปกป้องสิทธิชาวจีน หนีการประหารจากรัฐบาลจีน สุดท้ายโดนภาครัฐของลาว จับส่งไปจีนให้ดำเนินการ แม้จะทราบดีว่าการส่งกลับไปเสี่ยงที่ต้องถูกทรมาน หรือประหารอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น กรณีผู้ลี้ภัยของไทย ที่หนีรัฐบาล คสช. แล้วถูกประหารที่ลาว เช่นกัน
“
ในฐานะที่ลาว เป็นประธานอาเซียนในปีนี้ จึงอยากชวนจับตาร่วมกับแอมเนสตี้ฯ ว่าลาว จะมีท่าทีเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไร เพราะไม่ได้ส่งผลแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทั้งไทย ลาว จีน และประเทศอื่นๆ และอาจส่งผลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อยากให้ช่วยกันพูดถึงมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้ ลาวอยู่ในสปอตไลท์ เป็นที่จับตาจากทั่วโลก” นาย
ชนาธิปกล่าว
จากนั้น นาง
หมิงกล่าวถึง สถานการณ์ด้านสิทธิใน ’เมียนมา’โดย 3 ปีผ่านมาสถานการณ์เลวร้ายลงทุกขณะ รวมถึงในไทยเองเช่นกัน ในฐานะสมาชิกอาเซียน รัฐบาลทหารก็ยังคงไล่ล่าผู้ที่เห็นต่าง ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิโดยตั้งเป้าไปที่พลเมืองโดยตรง ซึ่งเราหวังว่า ทุกคนจะต้องร่วมยืนหยัดกับประชาชนของเมียนมา ต่อไป
พร้อมกล่าวถึงการโจมตีและสังหารอย่างผิดกฎหมายในเมียนมา ซึ่งเห็นมาตลอดราว 5,000 คนแล้ว แต่เชื่อว่าตัวเลขจะมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะเกิดจากทั้งการโจมตีภาคพื้นดินและทางอากาศ รวมทั้งการจับกุมผู้คัดค้านการรัฐประหารด้วย โดยมีแนวแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไปทางประเทศ ตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อเมษายน 66 มีการทิ้งระเบิดกลางานของเทศบาล ที่มีพลเมืองเป็นร้อย ถูกฆ่ารวมถึงเด็ก จะเห็นว่าการโจมตีทางอากาศ เป็นไปทั่วประเทศ” นางหมิงกล่าว
นางหมิงกล่าวต่อว่า ‘การจับกุมโดยพลการ’ เราเห็นคนเมียนมาจำนวนมากถูกจับขังคุก ทั้งนักสิทธิมนุษยชน นักข่าว หมอ คือผู้คนที่ทหารจับเข้าคุกอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะนับแสนคนในปัจจุบัน มีการดำเนินคดี ขึ้นศาลทหาร และจำเลยไม่สามารถแต่งตั้งทนายได้
นอกจากนี้ เมื่อเดือน พ.ย.2566 มี 3 พี่น้องที่เป็นแนวร่วม จัดศูนย์ล่อลวงคนเข้าไปทำงาน ทั้งจากเวียดนาม จีน โดยอ้างว่ามีงานรับรอง แต่กลับบังคับให้หลอกลวงประชาชนให้ร่วมกับโครงการสแกม ของเขา
“
หลายคนในเมียนมา ถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ไม่มีที่ไป อย่างน้อย 500,000 คน ต้องพลัดถิ่น จากการโจมตีทางการอากาศ เนื่องจากทางฝ่ายชาติพันธุ์ พยายามครอบครองพื้นที่ รัฐบาลทหาร จึงเร่งมือมากขึ้นในการไล่ล่า”
อีกส่วนคือ ‘
ภัยธรรมชาติ’ ในเมียนมา ที่คร่าชีวิตชาวโรฮิงญา จากพายุไซโคลน แต่ปรากฏว่ากลับไม่ยอมให้ผู้ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เข้าไปช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย ในพื้นที่
จากนั้น นาง
หมิง กล่าวถึง ‘
เสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมอย่างสันติ’ ซึ่งในปี 2566 ยังมีการปราบปรามผู้ชุมนุมชาวเมียนมาตลอดเวลา ประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงความเห็นได้แม้กระทั่งทางออนไลน์ นับ 100 คน ถูกขังในวันเดียว จับสื่อ 60 คน ด้วยข้อหาว่าจะให้ข้อมูลในทางที่ขัดต่อประโยชน์ของรัฐบาล โดยนำขึ้นศาลทหาร และนักข่าว 1 คนในนั้น ถูกตัดสินในจำคุก 20 ปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้โทษประหารชีวิตในการคุกคามคน แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประหาร
นาง
หมิงกล่าวอีกว่า ชุมชนระหว่างประเทศ กับอาเซียน จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เกี่ยวกับกรณีเมียนมา เพราะสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน เลวร้ายลงทุกวัน
“
เพื่อหยุดยั้งทหารในการใช้ทรัพยาการฆ่าคน มันควรมีทาง เพิ่มเจตนารมณ์ทางการเมือง ในชุมชนระหว่างประเทศ ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นแค่ผู้เฝ้าดู ทั้งที่ทำอะไรมากกว่านี้ได้ เช่น เรื่องการขายน้ำมันให้รัฐบาลทหารเมียนมา เราสามารถมีปฏิบัติการหยุดยั้งได้ ร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศอาเซียนลุกยืนขึ้น ป้องกันไม่ให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราต้องการให้สร้างพิมพ์เขียวขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ ของรัฐบาลทหาร รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านต้องไม่ส่งตัวกลับ ไปเผชิญชะตาเลวร้าย
ซึ่งที่ผ่านมา มีการพูดคุยเรื่องนี้กันในสภาฯ ก็ หวังว่าจะมีข่าวดี เช่น มีการคว่ำบาตร การค้าขายกับประเทศเมียมา เป็นต้น” นาง
หมิงชี้
จากนั้น นาง
หมิงกล่าวถึง สถานการณ์ที่เวียดนาม และกัมพูชาว่า ที่ ‘
เวียดนาม’ มีการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จนถึงสิ้นเดือนนี้ แต่เราพบว่ายังมีการปราบปรามผู้เห็นต่าง ทั้งพลเมืองและสื่อ
เช่น กรณี
Troung Van Dung ที่ถูกจับในเดือน พ.ค.2022 จากการแจกนิตยสารที่อ้างว่าตีพิมพ์ผิดกฎหมาย รวมถึง
Nguyen Lan Thang ถูกสั่งจำคุก 16 ปี
“เราจะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลเวียดนาม พยายามใช้มาตรต่างๆ ทางกฎหมายมาปราบปราม และกดทับการแสดงความเห็นมาตลอด รวมถึงมีนักโทษอีกหลายคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับการรักษาพยาบาล เป็นต้น”
“
ในเวียดนาม ก็ถือเป็นความลับของรัฐบาลเช่นกัน ว่าได้ประหารชีวิตไปแล้วกี่คน ซึ่งมี 2 กรณี ที่แจ้งไปยังครอบครัวว่าจะมีการประหาร ซี่งพ่อของเขาก็ออกมาถือป้าย ให้ปล่อยตัวลูกชาย แต่ล่าสุด ทางครอบครัวกลับได้รับหนังสือแจ้งให้มารับศพลูกกลับบ้าน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดละเมิดสิทธิกับนักสิทธิมนุษยชน” นาง
หมิงกล่าว
ต่อมา นาง
หมิงกล่าวถึง สถานการณ์ที่ ‘
กัมพูชา’ ว่ามีการไล่รื้อครอบครัวออกจากพื้นที่มรดกโลก หรือ นครวัด มีการปิดปากสื่อมวลชน เพิกถอนใบอนุญาตสื่อ และไม่อนุญาตให้ฝ่ายค้านเข้าร่วมการเลือกตั้ง รวมถึงการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การลักลอบตัดป่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนพื้นเมือง
นาง
หมิงกล่าวถึง การปราบปรามของรัฐบาลกัมพูชา ว่าเริ่มมาตั้งแต่ปี 2017 หรือเกือบ 7 ปีแล้ว ซึ่งในปี 2023 หรือ 2566 ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ทางเจ้าหน้าที่ยังคงไล้รื้อต่อไป ซึ่งเราได้เสนอรายงานนี้และยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง
“
ครอบครัวเหล่านี้อยู่มาหลายอายุคน ที่นครวัด แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะต้องรื้อถอนออกไปโดยสมัครใจ และไม่ได้รับการชดเชย ทั้งที่พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ ทรัพย์สิน และตกอยู่ในภาวะกับดักหนี้สิน” นาง
หมิงกล่าว และว่า
เมื่อปลายปี 2566 แอมเนสตี้ฯ ได้ออกรายงานเรื่องนี้ ส่งไปยังทางยูเนสโก แต่ก็ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เราจึงรายงานไปอีกครั้ง ว่ามีการไล่รื้อในนามของการประกาศยูเนสโก ซึ่งทางยูเนสโก ก็ออกประกาศถึงรัฐบาล แล้ว โดยแอมเนสตี้ฯ จะยังติดตามต่อไป
ส่วนกรณี ‘
ถอนใบอนุญาตสื่อมวลชน’ ในกัมพูชา เนื่องจากมีรายงานข่าวที่ออกมา ทำให้
ฮุนเซนไม่พอใจ เพราะเกี่ยวข้องกับลูกชายของเขา พบว่าหลังมีรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่เป็นวิกฤต มีการเชื่อมโยงเรื่องค้าสแกม และค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่รัฐด้วย
‘
กรณีฝ่ายค้าน’ ยังมีการโจมตีทางร่างกาย กับสมาชิกพรรค แคนเดิลไลต์ และ พ.ค.ที่ผ่ามา พรรคนี้ถูดฃกเพิกถอนไม่ให้เข้าร่วมการเลือกตั้ง
ส่วนเรื่องสิทธิชนพื้นเมือง มีการปรับแก้กฎหมาย โดยอาคำว่า ‘ชนพื้นเมือง’ ออกไปจากกฎหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการบั่นทอนสิทธิ และพบว่ามีการลักลอบตัดป่าในพื้นที่ชุมชนพื้นเมืองชาวกูย และคุกคามชาวบ้าน เราจึงต้องเรียกร้องรัฐบาล และนายกฯ คนใหม่ ให้ยุติการไล่รื้อ และรุกล้ำเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุม โดยเฉพาะสหภาพแรงงาน” นาง
หมิงกล่าวทิ้งท้าย
JJNY : ไทยว่าไง? ‘ส่องเพื่อนบ้าน’│ห่วงเทรนด์ ‘ปิดกั้นสื่อ’│แอมเนสตี้ ท้า 8 ข้อ│สหรัฐคอนเฟิร์ม ส่ง“อะแทคซิมส์”ให้ยูเครน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4543527
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ห้องสุรศักดิ์ 2-3 ชั้น 11 โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงข่าวเปิดตัว รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2565/66 โดยสื่อสารถึงเรื่องราวสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ใน 155 ประเทศทั่วโลก สะท้อนบทวิเคราะห์สถานการณ์สิทธิมนุษยชนระดับโลกและระดับประเทศแบบเจาะลึก พร้อมส่งเสียงถึงรัฐบาลให้เห็นความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นไปตามหลักสากล
โดยมี นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย, นางหมิง ยู่ ฮา รองผู้อำนวยการด้านรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล, น.ส.พุทธณี กางกั้น ประธานกรรมการ แอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย และ นายชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยระดับภูมิภาค ประจำประเทศไทย ร่วมแถลง
ในตอนหนึ่ง นายชนาธิป นักวิจัยระดับภูมิภาค แอมเนสตี้ฯ กล่าวถึงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ใน ‘ประเทศลาว’ ว่า จากข่าวปัจจุบันเรื่องที่น่าจะถูกกล่าวถึงที่สุด คือ ‘วิกฤตเศรษฐกิจของลาว’ ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่สอดคล้องกับที่เกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก โดยลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF จัดให้อยู่ใน ‘ประเทศวิกฤตด้านหนี้สิน’ โดยในปี 2023 IMF ระบุว่า ลาวมีหนี้มวลรวม 121.7 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพี
สถานการณ์นี้ นำไปสู่ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย ทั้งเงินเฟ้อ การอ่อนค่าของค่าเงินกีบ สินค้าราคาพุ่งสูงอย่างมาก แม้ลาวจะมีปัญหาหมายมายแต่รัฐบาลยังกู้เงินเพิ่ม เพื่อนำไปพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าผ่านเขื่อน แต่การริเริ่มเหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาพรวม และวิถีชีวิตของคนในประเทศ
“เมื่อเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ อย่างน้อยต้องมีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบ้าง แต่ความจริง คือ การเคลื่อนไหวเหล่านั้นเป็นไปได้ยากมาก”
“ปัญหาที่พบเจอมาตลอด คือ ‘ลาว มีลักษณะพื้นที่พลเมืองปิด เราจึงไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวคนประเทศนี้ แม้จะมีปัญหาหลายอย่าง แต่จะเน้น เรื่องนี้ที่แอมเนสตี้ บันทึกและติดตามอย่างเข้มข้น” นายชนาธิปชี้
นายชนาธิปกล่าวต่อว่า ‘ปัญหาพลเมืองที่มีลักษณะปิด’ ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ เคยออกมาพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน เมื่อปีที่แล้ว (2566) โดย คุณแมรี ลอว์เลอร์ ผู้ตรวจการพิเศษด้านสถานการณ์ของผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน แสดงความกังวลต่อนักเคลื่อนไหวในลาวอย่างมาก ทั้งการควบคุมตัวโดยพลการ บังคับให้บุคคลสูญหาย และการคุกคามเป็นต้น
สิ่งที่นักสิทธิมนุษยชนต้องเจอ เช่น 1.ประชาชนลาวที่ออกมาเลื่อนไหวไม่ปลอดภัย ตกอยู่ในอันตราย ถูกละเมิดได้ทุกเมื่อ 2.แม้กระทั่งประชาชนที่ออกจากลาวมาลี้ภัยในไทย ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี 3.ประชาชนจากชาติอื่นๆ เมื่อเข้าไปอยู่ลาว ก็มีโอกาสถูกละเมิดได้เช่นกัน
“ข้อแรก ตัวอย่างที่ชัดเจน ชาวลาวที่ออกมาเรียกร้องสิทธิ เมื่อเมษายนปีที่แล้ว นักกิจกรรมอายุ 25 ปี ชื่อ ‘แจ็ค’ อนุซา หลวงสุพรม ตั้งกลุ่มพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในลาว แต่ตกเป็นเหยื่อถูกยิงที่ใบหน้าและหน้าอก จนเกือบเสียชีวิต ซึ่งถูกยิงโจ่งแจ้งกลางกรุงเวียงจันทน์”
ข้อ 2 แม้ย้ายออกจากลาวแล้ว ก็ยังอาจเป็นเหยื่อ ปราบปรามข้ามชาติได้ โดย 1 เดือนหลังแจ็คถูกยิง คุณบุญส่วน ก็ถูกยิงที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเขาอยู่ในกลุ่มฟรีลาว ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวอย่างสงบ เช่น ม็อบข้างหน้าสถานทูตลาว โดยยังไม่ได้รับคำตอบ หรือคืนความยุติธรรมแต่อย่างใด
ข้อ 3 คนประเทศอื่นที่อยู่ในลาว เช่น นักปกป้องสิทธิชาวจีน หนีการประหารจากรัฐบาลจีน สุดท้ายโดนภาครัฐของลาว จับส่งไปจีนให้ดำเนินการ แม้จะทราบดีว่าการส่งกลับไปเสี่ยงที่ต้องถูกทรมาน หรือประหารอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแพทเทิร์นที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น กรณีผู้ลี้ภัยของไทย ที่หนีรัฐบาล คสช. แล้วถูกประหารที่ลาว เช่นกัน
“ในฐานะที่ลาว เป็นประธานอาเซียนในปีนี้ จึงอยากชวนจับตาร่วมกับแอมเนสตี้ฯ ว่าลาว จะมีท่าทีเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างไร เพราะไม่ได้ส่งผลแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงทั้งไทย ลาว จีน และประเทศอื่นๆ และอาจส่งผลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อยากให้ช่วยกันพูดถึงมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้ ลาวอยู่ในสปอตไลท์ เป็นที่จับตาจากทั่วโลก” นายชนาธิปกล่าว
จากนั้น นางหมิงกล่าวถึง สถานการณ์ด้านสิทธิใน ’เมียนมา’โดย 3 ปีผ่านมาสถานการณ์เลวร้ายลงทุกขณะ รวมถึงในไทยเองเช่นกัน ในฐานะสมาชิกอาเซียน รัฐบาลทหารก็ยังคงไล่ล่าผู้ที่เห็นต่าง ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิโดยตั้งเป้าไปที่พลเมืองโดยตรง ซึ่งเราหวังว่า ทุกคนจะต้องร่วมยืนหยัดกับประชาชนของเมียนมา ต่อไป
พร้อมกล่าวถึงการโจมตีและสังหารอย่างผิดกฎหมายในเมียนมา ซึ่งเห็นมาตลอดราว 5,000 คนแล้ว แต่เชื่อว่าตัวเลขจะมากกว่านี้ ซึ่งอาจจะเกิดจากทั้งการโจมตีภาคพื้นดินและทางอากาศ รวมทั้งการจับกุมผู้คัดค้านการรัฐประหารด้วย โดยมีแนวแนวโน้มว่าจะเคลื่อนไปทางประเทศ ตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อเมษายน 66 มีการทิ้งระเบิดกลางานของเทศบาล ที่มีพลเมืองเป็นร้อย ถูกฆ่ารวมถึงเด็ก จะเห็นว่าการโจมตีทางอากาศ เป็นไปทั่วประเทศ” นางหมิงกล่าว
นางหมิงกล่าวต่อว่า ‘การจับกุมโดยพลการ’ เราเห็นคนเมียนมาจำนวนมากถูกจับขังคุก ทั้งนักสิทธิมนุษยชน นักข่าว หมอ คือผู้คนที่ทหารจับเข้าคุกอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะนับแสนคนในปัจจุบัน มีการดำเนินคดี ขึ้นศาลทหาร และจำเลยไม่สามารถแต่งตั้งทนายได้
นอกจากนี้ เมื่อเดือน พ.ย.2566 มี 3 พี่น้องที่เป็นแนวร่วม จัดศูนย์ล่อลวงคนเข้าไปทำงาน ทั้งจากเวียดนาม จีน โดยอ้างว่ามีงานรับรอง แต่กลับบังคับให้หลอกลวงประชาชนให้ร่วมกับโครงการสแกม ของเขา
“หลายคนในเมียนมา ถูกบังคับให้ออกจากบ้าน ไม่มีที่ไป อย่างน้อย 500,000 คน ต้องพลัดถิ่น จากการโจมตีทางการอากาศ เนื่องจากทางฝ่ายชาติพันธุ์ พยายามครอบครองพื้นที่ รัฐบาลทหาร จึงเร่งมือมากขึ้นในการไล่ล่า”
อีกส่วนคือ ‘ภัยธรรมชาติ’ ในเมียนมา ที่คร่าชีวิตชาวโรฮิงญา จากพายุไซโคลน แต่ปรากฏว่ากลับไม่ยอมให้ผู้ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เข้าไปช่วยเหลือผู้คนที่ประสบภัย ในพื้นที่
จากนั้น นางหมิง กล่าวถึง ‘เสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมอย่างสันติ’ ซึ่งในปี 2566 ยังมีการปราบปรามผู้ชุมนุมชาวเมียนมาตลอดเวลา ประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมการแสดงความเห็นได้แม้กระทั่งทางออนไลน์ นับ 100 คน ถูกขังในวันเดียว จับสื่อ 60 คน ด้วยข้อหาว่าจะให้ข้อมูลในทางที่ขัดต่อประโยชน์ของรัฐบาล โดยนำขึ้นศาลทหาร และนักข่าว 1 คนในนั้น ถูกตัดสินในจำคุก 20 ปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้โทษประหารชีวิตในการคุกคามคน แต่ ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประหาร
นางหมิงกล่าวอีกว่า ชุมชนระหว่างประเทศ กับอาเซียน จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เกี่ยวกับกรณีเมียนมา เพราะสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน เลวร้ายลงทุกวัน
“เพื่อหยุดยั้งทหารในการใช้ทรัพยาการฆ่าคน มันควรมีทาง เพิ่มเจตนารมณ์ทางการเมือง ในชุมชนระหว่างประเทศ ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นแค่ผู้เฝ้าดู ทั้งที่ทำอะไรมากกว่านี้ได้ เช่น เรื่องการขายน้ำมันให้รัฐบาลทหารเมียนมา เราสามารถมีปฏิบัติการหยุดยั้งได้ ร่วมกันเรียกร้องให้ประเทศอาเซียนลุกยืนขึ้น ป้องกันไม่ให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราต้องการให้สร้างพิมพ์เขียวขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ ของรัฐบาลทหาร รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านต้องไม่ส่งตัวกลับ ไปเผชิญชะตาเลวร้าย
ซึ่งที่ผ่านมา มีการพูดคุยเรื่องนี้กันในสภาฯ ก็ หวังว่าจะมีข่าวดี เช่น มีการคว่ำบาตร การค้าขายกับประเทศเมียมา เป็นต้น” นางหมิงชี้
จากนั้น นางหมิงกล่าวถึง สถานการณ์ที่เวียดนาม และกัมพูชาว่า ที่ ‘เวียดนาม’ มีการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ จนถึงสิ้นเดือนนี้ แต่เราพบว่ายังมีการปราบปรามผู้เห็นต่าง ทั้งพลเมืองและสื่อ
เช่น กรณี Troung Van Dung ที่ถูกจับในเดือน พ.ค.2022 จากการแจกนิตยสารที่อ้างว่าตีพิมพ์ผิดกฎหมาย รวมถึง Nguyen Lan Thang ถูกสั่งจำคุก 16 ปี
“เราจะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลเวียดนาม พยายามใช้มาตรต่างๆ ทางกฎหมายมาปราบปราม และกดทับการแสดงความเห็นมาตลอด รวมถึงมีนักโทษอีกหลายคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รับการรักษาพยาบาล เป็นต้น”
“ในเวียดนาม ก็ถือเป็นความลับของรัฐบาลเช่นกัน ว่าได้ประหารชีวิตไปแล้วกี่คน ซึ่งมี 2 กรณี ที่แจ้งไปยังครอบครัวว่าจะมีการประหาร ซี่งพ่อของเขาก็ออกมาถือป้าย ให้ปล่อยตัวลูกชาย แต่ล่าสุด ทางครอบครัวกลับได้รับหนังสือแจ้งให้มารับศพลูกกลับบ้าน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดละเมิดสิทธิกับนักสิทธิมนุษยชน” นางหมิงกล่าว
ต่อมา นางหมิงกล่าวถึง สถานการณ์ที่ ‘กัมพูชา’ ว่ามีการไล่รื้อครอบครัวออกจากพื้นที่มรดกโลก หรือ นครวัด มีการปิดปากสื่อมวลชน เพิกถอนใบอนุญาตสื่อ และไม่อนุญาตให้ฝ่ายค้านเข้าร่วมการเลือกตั้ง รวมถึงการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การลักลอบตัดป่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชนพื้นเมือง
นางหมิงกล่าวถึง การปราบปรามของรัฐบาลกัมพูชา ว่าเริ่มมาตั้งแต่ปี 2017 หรือเกือบ 7 ปีแล้ว ซึ่งในปี 2023 หรือ 2566 ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ทางเจ้าหน้าที่ยังคงไล้รื้อต่อไป ซึ่งเราได้เสนอรายงานนี้และยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง
“ครอบครัวเหล่านี้อยู่มาหลายอายุคน ที่นครวัด แต่รัฐบาลยืนยันว่าจะต้องรื้อถอนออกไปโดยสมัครใจ และไม่ได้รับการชดเชย ทั้งที่พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ ทรัพย์สิน และตกอยู่ในภาวะกับดักหนี้สิน” นางหมิงกล่าว และว่า
เมื่อปลายปี 2566 แอมเนสตี้ฯ ได้ออกรายงานเรื่องนี้ ส่งไปยังทางยูเนสโก แต่ก็ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ เราจึงรายงานไปอีกครั้ง ว่ามีการไล่รื้อในนามของการประกาศยูเนสโก ซึ่งทางยูเนสโก ก็ออกประกาศถึงรัฐบาล แล้ว โดยแอมเนสตี้ฯ จะยังติดตามต่อไป
ส่วนกรณี ‘ถอนใบอนุญาตสื่อมวลชน’ ในกัมพูชา เนื่องจากมีรายงานข่าวที่ออกมา ทำให้ฮุนเซนไม่พอใจ เพราะเกี่ยวข้องกับลูกชายของเขา พบว่าหลังมีรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ที่เป็นวิกฤต มีการเชื่อมโยงเรื่องค้าสแกม และค้ามนุษย์ ซึ่งอยู่ใกล้เจ้าหน้าที่รัฐด้วย
‘กรณีฝ่ายค้าน’ ยังมีการโจมตีทางร่างกาย กับสมาชิกพรรค แคนเดิลไลต์ และ พ.ค.ที่ผ่ามา พรรคนี้ถูดฃกเพิกถอนไม่ให้เข้าร่วมการเลือกตั้ง
ส่วนเรื่องสิทธิชนพื้นเมือง มีการปรับแก้กฎหมาย โดยอาคำว่า ‘ชนพื้นเมือง’ ออกไปจากกฎหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการบั่นทอนสิทธิ และพบว่ามีการลักลอบตัดป่าในพื้นที่ชุมชนพื้นเมืองชาวกูย และคุกคามชาวบ้าน เราจึงต้องเรียกร้องรัฐบาล และนายกฯ คนใหม่ ให้ยุติการไล่รื้อ และรุกล้ำเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุม โดยเฉพาะสหภาพแรงงาน” นางหมิงกล่าวทิ้งท้าย