กลับมาอ่าน Lord of the Flies งานเขียนของ William Golding อีกครั้ง ก็ชอบเหมือนเดิม หนึ่งในวรรณกรรมที่ผมชอบมากที่สุดอีกเรื่อง เป็นวรรณกรรมที่พูดถึงประเด็นทางสังคมและการเมือง การเปรียบเปรยโลกที่เป็นแบบ 'ยูโทเปีย' และกลายเป็น 'ดิสโทเปีย'ในเวลาถัดมา…
ใน Lord of the Flies เสมือนเป็นภาพสะท้อนในสังคมมนุษย์ได้อย่างเด่นชัด ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงสัญชาตญานอันดิบเถื่อนที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจมนุษย์เช่นกัน ผ่านกลุ่มของเด็กชายที่ติดเกาะร้างกลางทะเล เด็กที่เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เดียงสา และความใส่ซื่อ เมื่อมาติดเกาะร้างกลางทะเลที่ไม่มีผู้ใหญ่มากำกับ กลุ่มเด็กๆที่ติดเกาะเหล่านี้ต้องหาวิธีเอาตัวรอด การก่อตัวเป็นกลุ่ม การเลือกผู้นำ การสร้างกฎเกณฑ์ การอยู่ตามกฎระเบียบ และอยู่ด้วยความสันติ จนกระทั่งมีความกลัวเล็กๆ ที่อยู่ในหัวและจินตนาการของคนๆหนึ่ง ถูกแพร่กระจาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นการแหกกฎ มีความขัดแย้ง และความรุนแรงทางกายภาพเกิดขึ้น
ความขัดแย้งที่นำไปสู่ Dehumanization (การลดทอนความเป็นมนุษย์) และจนกลายเป็น Demonization (ทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูเป็นปีศาจ) โดย “การสร้างอคติ ความเกลียดชัง การแบ่งแยกพวกเรา-พวกเขา จนนำมาสู่ความรุนแรงเกิดขึ้น” ในวรรณกรรมเล่มนี้ใช้สัญลักษณ์ของหัวของหมูที่ถูกเสียบ และกลุ่มคนที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์จะถูกมองว่าไม่ต่างกับสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
ในวรรณกรรมแสดงให้เห็นถึงการเดินทางของเด็กที่ไร้เดียงสา คนหนึ่งก็สามารถเป็นฆาตรกรเปื้อนเลือดได้ “โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว และผู้กระทำก็ไม่ได้รู้สึกผิด” เพราะคิดว่าตัวเองกำลังพิทักษ์ล่าปีศาจที่เป็นตัวอันตรายอยู่ โดยไม่ได้ตระหนักว่ากลุ่มของเขานี้แหละคือปีศาจ
ประเด็นนี้สำหรับผมมันน่าสนใจ เพราะเรื่องนี้สอดคล้องกับโศกนาฏกรรมหลายๆครั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก คือคนก่อความรุนแรงเป็นคนปกติธรรมดาสามัญมากๆ ยามปกติเขาอาจเป็นคนที่น่ารัก และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการมองคนอื่นเป็นศัตรู เขากลับมองว่ามันเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องพิทักษ์ความถูกต้องแทน เคยมีผลการวิจัยพบว่าคนที่ติดคุกซึ่งเป็นคนใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา พบว่าส่วนใหญ่พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่เคยก่ออาชญากรรมมาก่อนเลย…
จากผ้าขาวเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา เมื่อสถานการณ์ภายนอกได้บีบบังคับเพื่อเอาตัวรอด คนๆหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปได้เสมอ และถ้าหากไม่ได้ตระหนักมากพอ เพราะความไร้เดียงสาและการอ่อนประสบการณ์ อาจจะพาเราตกหลุมกับดักของความขัดแย้งได้ง่าย จากความรักกลายเป็นความคลั่งจนขาดสติ จนไม่เหลือพื้นที่ของความงามอื่นๆที่มาจากข้างใน กลายเป็นการสูญสิ้นวัยเยาว์ที่ไม่อาจจะย้อนกลับมา
“อย่างที่ราล์ฟและเด็กๆในเกาะร้างร้องไห้ให้กับจุดจบของความใสซื่อบริสุทธิ์ของวัยเด็ก ร้องไห้ให้กับความดำมืดของหัวใจมนุษย์”
เมื่อโลกความเป็นจริง ไม่ได้มีแค่สองสี ความเป็นดิสโทเปียที่มีความหดหู่ ความสิ้นหวัง ความโกลาหล และการสูญเสีย แต่คุณค่าของวรรณกรรมเล่มนี้กลับสร้างการรับรู้ และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยธรรมชาติ การส่งสารเล็กๆว่า แม้ว่าโลกจะเป็นเช่นไรก็อย่าสิ้นหวัง จงมีความหวัง และทำงานเล็กๆที่มีความหมายต่อไปครับ
-ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล-
รีวิวหนังสือ Lord of the Flies ของ William Golding
ใน Lord of the Flies เสมือนเป็นภาพสะท้อนในสังคมมนุษย์ได้อย่างเด่นชัด ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงสัญชาตญานอันดิบเถื่อนที่อยู่เบื้องลึกในจิตใจมนุษย์เช่นกัน ผ่านกลุ่มของเด็กชายที่ติดเกาะร้างกลางทะเล เด็กที่เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เดียงสา และความใส่ซื่อ เมื่อมาติดเกาะร้างกลางทะเลที่ไม่มีผู้ใหญ่มากำกับ กลุ่มเด็กๆที่ติดเกาะเหล่านี้ต้องหาวิธีเอาตัวรอด การก่อตัวเป็นกลุ่ม การเลือกผู้นำ การสร้างกฎเกณฑ์ การอยู่ตามกฎระเบียบ และอยู่ด้วยความสันติ จนกระทั่งมีความกลัวเล็กๆ ที่อยู่ในหัวและจินตนาการของคนๆหนึ่ง ถูกแพร่กระจาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นการแหกกฎ มีความขัดแย้ง และความรุนแรงทางกายภาพเกิดขึ้น
ความขัดแย้งที่นำไปสู่ Dehumanization (การลดทอนความเป็นมนุษย์) และจนกลายเป็น Demonization (ทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูเป็นปีศาจ) โดย “การสร้างอคติ ความเกลียดชัง การแบ่งแยกพวกเรา-พวกเขา จนนำมาสู่ความรุนแรงเกิดขึ้น” ในวรรณกรรมเล่มนี้ใช้สัญลักษณ์ของหัวของหมูที่ถูกเสียบ และกลุ่มคนที่ถูกลดทอนความเป็นมนุษย์จะถูกมองว่าไม่ต่างกับสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
ในวรรณกรรมแสดงให้เห็นถึงการเดินทางของเด็กที่ไร้เดียงสา คนหนึ่งก็สามารถเป็นฆาตรกรเปื้อนเลือดได้ “โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว และผู้กระทำก็ไม่ได้รู้สึกผิด” เพราะคิดว่าตัวเองกำลังพิทักษ์ล่าปีศาจที่เป็นตัวอันตรายอยู่ โดยไม่ได้ตระหนักว่ากลุ่มของเขานี้แหละคือปีศาจ
ประเด็นนี้สำหรับผมมันน่าสนใจ เพราะเรื่องนี้สอดคล้องกับโศกนาฏกรรมหลายๆครั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก คือคนก่อความรุนแรงเป็นคนปกติธรรมดาสามัญมากๆ ยามปกติเขาอาจเป็นคนที่น่ารัก และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการมองคนอื่นเป็นศัตรู เขากลับมองว่ามันเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องพิทักษ์ความถูกต้องแทน เคยมีผลการวิจัยพบว่าคนที่ติดคุกซึ่งเป็นคนใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา พบว่าส่วนใหญ่พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่เคยก่ออาชญากรรมมาก่อนเลย…
จากผ้าขาวเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา เมื่อสถานการณ์ภายนอกได้บีบบังคับเพื่อเอาตัวรอด คนๆหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปได้เสมอ และถ้าหากไม่ได้ตระหนักมากพอ เพราะความไร้เดียงสาและการอ่อนประสบการณ์ อาจจะพาเราตกหลุมกับดักของความขัดแย้งได้ง่าย จากความรักกลายเป็นความคลั่งจนขาดสติ จนไม่เหลือพื้นที่ของความงามอื่นๆที่มาจากข้างใน กลายเป็นการสูญสิ้นวัยเยาว์ที่ไม่อาจจะย้อนกลับมา
“อย่างที่ราล์ฟและเด็กๆในเกาะร้างร้องไห้ให้กับจุดจบของความใสซื่อบริสุทธิ์ของวัยเด็ก ร้องไห้ให้กับความดำมืดของหัวใจมนุษย์”
เมื่อโลกความเป็นจริง ไม่ได้มีแค่สองสี ความเป็นดิสโทเปียที่มีความหดหู่ ความสิ้นหวัง ความโกลาหล และการสูญเสีย แต่คุณค่าของวรรณกรรมเล่มนี้กลับสร้างการรับรู้ และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยธรรมชาติ การส่งสารเล็กๆว่า แม้ว่าโลกจะเป็นเช่นไรก็อย่าสิ้นหวัง จงมีความหวัง และทำงานเล็กๆที่มีความหมายต่อไปครับ
-ริฎวาน ศอลิห์วงศ์สกุล-