1. ใช้หน่วยเดียวกับอุณหภูมิ สร้างความสับสน บางทีคนรายงานข่าวเองยังเข้าใจผิดเลยนึกว่ามันเป็นอุณหภูมิ
2. บวกเพิ่มหนักมาก มันควรจะตั้งค่าฐาน (baseline) ที่ความชื้น 50% สิ แล้วถ้าความชื้นน้อยก็ลบ ความชื้นมากกว่า 50% ก็บวกไป แต่นี่อะไรบวกหนักมาก
3. แต่เดิมก็มีระบบอุณหภูมิกระเปาะเปียก-กระเปาะแห้ง อยู่แล้ว แต่เวลาวัดแล้วค่ามันออกมาไม่น่าตื่นเต้นไง (เวลาคำนวณความชื้นเข้าไปแล้วได้ค่าอุณหภูมิต่ำลง)
4. สูตรการคำนวณมันเจตนาสร้างมาให้คนตกใจ อย่างถ้าอุณหภูมิ 35 เซลเซียส ความชื้น 50% มันก็ควรได้ค่าดัชนี 35 ไม่ใช่ 42 เพราะความชื้น 50% คือสภาพ "ปกติ"
ฝ่ายที่คิดดัชนีนี้ขึ้นมาให้เหตุผลว่า: ค่าอุณหภูมิที่มนุษย์รู้สึกจริงๆ ไม่ได้เท่ากับค่าอุณหภูมิที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์
ฝ่ายที่คิดดัชนีนี้บอกว่า: ถ้าจะบอกว่ามนุษย์รู้สึกร้อนเพียงใด ต้องคำนวณความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity) เข้าไปด้วย
เพราะเวลาความชื้นในอากาศสูง เหงื่อจะระเหยยาก ยิ่งถ้าความชื้นในอากาศเต็ม 100% เนี่ยเหงื่อจะระเหยแทบไม่ได้เลย
ทำให้มนุษย์ (และสัตว์) รู้สึกร้อนกว่าปกติ เพราะไม่สามารถระบายความร้อนด้วยเหงื่อได้
ซึ่งโดยหลักการกว้างๆแล้วเห็นด้วยที่ว่าเราควรจะมีค่าดัชนีอะไรสักอย่างมาบ่งชี้ความรู้สึกร้อนของมนุษย์
แต่สูตรคำนวณมันผิด โดยเฉพาะช่วง 35 เซลเซียสขึ้นไปยิ่งบวกหนักอย่างไรเหตุผล
ความชื้นเฉลี่ยทั่วโลก จะเห็นได้ว่ามีสูงต่ำกระจายออกไปตั้งแต่ 0 - 100% เฉลี่ยแล้วก็ราว 50% จึงควรเริ่มตั้งสูตรที่ 50%
ก็คือถ้าอุณหภูมิ 35% ความชื้น50% ก็ควรได้ค่าดัชนี 35

ค่าดัชนีความร้อน
วิธีอ่านตาราง เช่นถ้าตอนนี้ 35 เซลเซียส ความชื้น 50% ก็จะได้ค่าดัชนี 42
ดัชนีความเย็น (Chill factor) ยังมีเหตุผลกว่า (นิดหน่อย) เพราะอันนั้นยังฟังขึ้นว่าความเร็วลมที่ศูนย์กม./ชั่วโมง คือสภาพ "ปกติ"
Heat Index (ดัชนีความร้อน) อีกหนึ่งเทคนิคที่ลัทธิโลกร้อนสร้างขึ้นมาหลอกคน
2. บวกเพิ่มหนักมาก มันควรจะตั้งค่าฐาน (baseline) ที่ความชื้น 50% สิ แล้วถ้าความชื้นน้อยก็ลบ ความชื้นมากกว่า 50% ก็บวกไป แต่นี่อะไรบวกหนักมาก
3. แต่เดิมก็มีระบบอุณหภูมิกระเปาะเปียก-กระเปาะแห้ง อยู่แล้ว แต่เวลาวัดแล้วค่ามันออกมาไม่น่าตื่นเต้นไง (เวลาคำนวณความชื้นเข้าไปแล้วได้ค่าอุณหภูมิต่ำลง)
4. สูตรการคำนวณมันเจตนาสร้างมาให้คนตกใจ อย่างถ้าอุณหภูมิ 35 เซลเซียส ความชื้น 50% มันก็ควรได้ค่าดัชนี 35 ไม่ใช่ 42 เพราะความชื้น 50% คือสภาพ "ปกติ"
ฝ่ายที่คิดดัชนีนี้ขึ้นมาให้เหตุผลว่า: ค่าอุณหภูมิที่มนุษย์รู้สึกจริงๆ ไม่ได้เท่ากับค่าอุณหภูมิที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์
ฝ่ายที่คิดดัชนีนี้บอกว่า: ถ้าจะบอกว่ามนุษย์รู้สึกร้อนเพียงใด ต้องคำนวณความชื้นสัมพัทธ์ (relative humidity) เข้าไปด้วย
เพราะเวลาความชื้นในอากาศสูง เหงื่อจะระเหยยาก ยิ่งถ้าความชื้นในอากาศเต็ม 100% เนี่ยเหงื่อจะระเหยแทบไม่ได้เลย
ทำให้มนุษย์ (และสัตว์) รู้สึกร้อนกว่าปกติ เพราะไม่สามารถระบายความร้อนด้วยเหงื่อได้
ซึ่งโดยหลักการกว้างๆแล้วเห็นด้วยที่ว่าเราควรจะมีค่าดัชนีอะไรสักอย่างมาบ่งชี้ความรู้สึกร้อนของมนุษย์
แต่สูตรคำนวณมันผิด โดยเฉพาะช่วง 35 เซลเซียสขึ้นไปยิ่งบวกหนักอย่างไรเหตุผล
ความชื้นเฉลี่ยทั่วโลก จะเห็นได้ว่ามีสูงต่ำกระจายออกไปตั้งแต่ 0 - 100% เฉลี่ยแล้วก็ราว 50% จึงควรเริ่มตั้งสูตรที่ 50%
ก็คือถ้าอุณหภูมิ 35% ความชื้น50% ก็ควรได้ค่าดัชนี 35
ค่าดัชนีความร้อน
วิธีอ่านตาราง เช่นถ้าตอนนี้ 35 เซลเซียส ความชื้น 50% ก็จะได้ค่าดัชนี 42
ดัชนีความเย็น (Chill factor) ยังมีเหตุผลกว่า (นิดหน่อย) เพราะอันนั้นยังฟังขึ้นว่าความเร็วลมที่ศูนย์กม./ชั่วโมง คือสภาพ "ปกติ"