JJNY : ร้อนจัดผักแห้งตาย ขึ้นฉ่ายพุ่งโลละ 160│เกษตรกรอีสาน บุกทำเนียบฯ│เด็กออกกลางคันทะลุ 1ล.│KNU ถอยจากสะพานไทย-เมียนมา

ร้อนจัดผักแห้งตาย เกษตรโอดเสียหายนับแสน ล่าสุดขึ้นฉ่ายราคาพุ่งโลละ 160 
https://www.matichon.co.th/region/news_4538290

 
ร้อนจัดผักแห้งตาย เกษตรกรโอดเสียหายนับแสน ล่าสุดขึ้นฉ่ายราคาพุ่งโลละ 160 
 
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจสวนผัก บริเวณชุมชนท่าตะโก ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา ซึ่งมีเกษตรกรทำแปลงผักจำนวนมาก โดยมีการปลูกผักหลายชนิด อาทิ ผักชี ผักขึ้นฉ่าย ผักคะน้า โหระพา และกะเพรา เป็นต้น พบว่าเกษตรกรได้ทิ้งให้แปลงผักว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากช่วงนี้สภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลกระทบทำให้ผักหลายชนิดไม่เติบโต และได้รับความเสียหายถูกแดดเผาตายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผักที่มีใบอ่อน เช่น ผักชี และผักขึ้นฉ่าย ซึ่งพบว่าถูกแดดเผาต้นและใบเหี่ยวเฉาตายทุกแปลง จนเกษตรกรหลายรายถอดใจต้องปล่อยทิ้งให้เหี่ยวตายไปหมด เนื่องจากไม่สามารถดูแลรักษาถึงช่วงเก็บเกี่ยวไปขายได้ ยังคงเหลือเพียงผักบางชนิด เช่น กะเพรา และโหระพา ที่มีใบทนแดดได้ดี ที่สามารถเก็บไปขายได้ในช่วงนี้ แม้ว่าโหระพาจะได้ราคาไม่สูงมากนัก ราคาขายกิโลกรัมละ 40 บาทเท่านั้น
 
โดยนางสำรวย โมมขุนทด อายุ 60 ปี เกษตรกรชาวชุมชนท่าตะโก เปิดเผยว่า ปีนี้แดดแรงมาก อากาศร้อนกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้ผักหลายชนิดไม่เติบโต ขณะเดียวกันผักชี และผักขึ้นฉ่าย ซึ่งเป็นผักใบอ่อน ทนแดดไม่ค่อยได้ ตอนนี้เหี่ยวเฉาตายไปเกือบหมด อย่างตนเองนั้นปลูกผักขึ้นฉ่ายไว้ 2 แปลง เก็บผลผลิตไปขายได้เพียง 1 แปลงเท่านั้น ส่วนอีก 1 แปลงต้องปล่อยให้เหี่ยวเฉาตายไปทั้งหมด คิดมูลค่าความเสียหายกว่า 1 แสนบาทเลยทีเดียว เนื่องจากแดดร้อนจัด ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย ถ้าจะป้องกันไม่ให้ถูกแดดเผาก็ต้องใช้สแลนมากั้นแดด ซึ่งก็ต้องใช้เงินลงทุนซื้อสแลนจำนวนมาก ไม่คุ้มทุน ดังนั้นจึงทำให้ปีนี้ผักขึ้นฉ่ายเสียหายจำนวนมาก ราคาจึงพุ่งสูงขึ้น โดยถ้าขายส่ง ถุงละ 5 กิโลกรัม ขายในราคา 300 บาท แต่ถ้าขายปลีกกิโลกรัมละ 160 บาท ทั้งนี้ สำหรับการปลูกผักขึ้นฉ่ายนั้น ต้องใช้เวลาประมาณ 60 วัน ถึงจะเก็บขายได้ และการดูแลรักษาก็ยากมาก ใครที่ไม่เคยทำการปลูกผักชนิดนี้จะไม่เข้าใจเลยว่ายากเพียงใด ดังนั้นจึงอยากให้คนที่บ่นว่าผักขึ้นฉ่ายแพงมากช่วงนี้ รู้สึกเห็นใจ และเข้าใจเกษตรกรบ้าง
 


เกษตรกรอีสาน บุกทำเนียบฯ ทวงถามเงินชดเชยพิเศษที่ดินราษีไศล
https://www.matichon.co.th/politics/news_4538384

สมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน ปิดทำเนียบ ติดตามเงินชดเชยพิเศษ แทนการจัดสรรที่ดินเป็นกรณีพิเศษ ราษีไศล จ.สุรินทร์
 
เมื่อเวลา 08.40 น. วันที่ 23 เมษายน ที่บริเวณประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลมีกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน (สกอ.) และสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน (สพอ.) กว่า 100 คน นำโดยนางบุรี อาจโยธา แกนนำกลุ่มสภาเกษตรกรอีสานได้นำมวลชนเกษตรกรประมาณ 100 คน เดินทาง มาทวงถามความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา กลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสานได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียเรื่องขออนุมัติจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝ่ายราษีไศลในเขตท้องที่ จ.สุรินทร์

นางบุรีกล่าวว่า ตนและกลุ่มเดินทางมาในวันนี้เพื่อทวงถามความชัดเจนจากทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพเป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝ่ายราษีไศลในเขตท้องที่ จ.สุรินทร์ โดยทางสำนักงานเลขาธินายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าได้ยื่นเรื่องดังกล่าวไปให้กระทรวงต่าง ๆ แล้ว

นางบุรีกล่าวต่อว่า อยากทราบเพียงว่าทางกระทรวงต่าง ๆ ที่ได้ยื่นหนังสือไปแล้วนั้นได้ส่งเรื่องกลับมาทางสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้วหรือยัง แต่ไม่มีการตอบรับจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเลย ซึ่งที่มาในวันนี้พวกตนก็อยากจะพบกับเลขาสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อจะสอบถามในเรื่องดังกล่าวว่ามีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนที่มวลชน จะย้ายที่ชุมนุม ซึ่งปิดประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล ไปที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ฝั่งกพ. ในเวลาต่อมา


 
เด็กออกกลางคันทะลุ 1 ล. จี้รัฐผุดนโยบายช่วยครอบครัวยากจนรับเปิดเทอม หวั่นพ่อแม่ดึงลูกหลุดระบบ https://www.matichon.co.th/education/news_4535808

เด็กไทยออกกลางคันสะสมทะลุ 1 ล. จี้รัฐผุดนโยบายช่วยครอบครัวยากจนรับเปิดเทอม หวั่นพ่อแม่ดึงลูกหลุดระบบ ส่งต่อความจนข้ามรุ่น
 
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ขณะนี้มีข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับตัวเลขเด็กออกกลางคัน ตั้งแต่อายุ 3-18 ปี จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2546 มีเด็กออกกลางคัน 238,707 คน ปี 2565 มีเด็กออกกลางคัน 1 แสนคน และในปี 2566 มีเด็กออกกลางคันสะสม 1,0205,514 คน ซึ่งตัวเลขนี้มีการตรวจสอบข้อมูลจากหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษา (กสศ.) จากข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีคนยากจนเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขคนที่ยากจนพิเศษจากเดิม 9.9 แสนคน เพิ่มขึ้นเป็น 1.34 ล้านคน สาเหตุที่ทำให้เด็กออกกลางคัน 70% มาจากความยากจน ไม่มีรายได้ รองลงมา ระบบการศึกษาที่แพ้คัดออก มีการแข่งขัน เด็กเรียนไม่ดีโดนคัดออก เด็กที่มีปัญหาสังคม เช่น ตั้งครรภ์ ติดยาเสพติด มีปัญหาเรื่องความรุนแรง เป็นต้น นอกจากนี้ ระบบการศึกษาในปัจุบันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ยิ่งเรียนสูงยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะมัธยมต้นขึ้นมัธยมปลาย มีค่าใช้จ่าย 3-7 หมื่นบาท ขณะที่รายได้ และหนี้สินของคนยากจน เข้าไม่ถึงนโยบายแก้หนี้ของรัฐบาล ที่สำคัญที่สุด ครอบครัว และตัวเด็กเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารเรื่องแหล่งเงินทุนของรัฐ
 
สิ่งเหล่านี้ ทำให้ขณะนี้เด็กที่อยู่ในระดับอนุบาล 3 ขึ้นชั้น ป.1 หลุดระบบ 1-4% แล้วแต่ลักษณะพื้นที่ ส่วนชั้น ป.6 ขึ้นชั้น ม.1 จะหลุดระบบ 19% ส่วนชั้น ม.3 ขึ้นชั้น ม.4 จะหลุดจากระบบประมาณ 54% เมื่อถึงอุดมศึกษา จะเหลือเด็กอยู่ในระบบไม่ถึง 10% ที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้น จะพบเด็กหลุดจากระบบสะสมถึง 1.02 ล้านคน เป็นจำนวนที่ใหญ่ และน่าตกใจมาก” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า อีกประเด็นที่ต้องพูดคือ เด็กติด 0 ติด ร. และค้างค่าเทอม จะหลุดจากระบบการศึกษาอีกไม่น้อย จากข่าวที่เห็นเรียกค่าไถ่ประกาศนียบัตรมีจำนวนมาก เพราะปัจจุบันค่าใช้จ่ายทางการศึกษามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ขณะที่พ่อแม่เด็กยากจน ไม่มีรายได้เพิ่ม และมีปัญหาหนี้สิน ทำให้พบเด็กออกกลางคันช่วงเปิดเทอมจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลเห็นประเด็นปัญหานี้ จึงมีนโยบาย Thailand Zero Dropout ใน ศธ.ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ตื่นตัว ใน สพฐ.มีโครงการตามน้องกลับมาเรียนระยะที่ 2 ส่วน สกร.ที่มีระเบียบไม่ให้เด็กต่ำกว่า 12 ปีเรียน ขณะนี้ยืดหยุ่นมากขึ้น ดังนั้น ระบบรัฐต้องปรับตัวเองให้เข้ากับปัญหาสังคม ครอบครัว และตัวเด็ก จะจัดการศึกษาแบบมาตรฐานเดียว หรือลู่เดียวไม่ได้แล้ว
 
ปัจจุบันจะเห็นระบบการศึกษายืดหยุ่น ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะนี้ขับเคลื่อนครั้งใหญ่คือ 1 โรงเรียน 3 ระบบ โดยโรงเรียนเปิดสอนได้ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย จึงเห็นหลายโรงเรียนเริ่มจัดการการเรียนการสอนตามสภาพปัญหา เพื่อเอื้อให้เด็กเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ทำให้เห็นเด็กหลังห้องมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่มองเห็นแต่เด็กเก่ง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องทำต่อคือ การศึกษาภาคบังคับที่ให้เด็กเรียนจบชั้น ม.3 ไม่เพียงพอ มีข้อค้นพบ และมีรายงานการวิจัยที่น่าสนใจ ว่ารัฐบาลจะต้องให้เด็กไปต่อถึงระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ดังนั้น อาจต้องทุ่มงบประมาณ และเปลี่ยนภาคบังคับใหม่ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เพราะมีข้อมูลยืนยันว่าถ้าจบ ปวส.เด็กจะมีทักษะพาตัวเอง และครอบครัว หลุดจากความยากจนข้ามรุ่นได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เด็กไปถึงมัธยมปลาย หรืออาชีวศึกษา นอกจากนี้ ยังพบว่าคุณลักษณะสำคัญของเด็กยากจน 3 อย่าง คือ 1.มีความมุมานะต่อสู้กับปัญหา 2.มีพฤติกรรมเชิงบวก ไม่ยุ่งกับความรุนแรง ยาเสพติด และ 3.เด็กมี Growth Mindset ถ้าเด็กมีคุณลักษณะเหล่านี้ จะไปไกลได้ถึง 90% และถ้ามีครูที่เอาใจใส่เด็ก จะทำให้เห็นปัญหา และแนะนำเด็กได้
 
ก่อนเปิดเทอมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ครูต้องไปเยี่ยมบ้านเด็ก จะรู้สภาพปัญหาที่แท้จริง ครูเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเด็กได้มาก สร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ชี้แหล่งทุน หางานให้เด็กทำ จะทำให้เด็กไปรอดได้ ปัจจัยอีกอย่างคือก่อนเปิดภาคเรียน พ่อแม่ต้องไม่รีบเอาลูกออกจากระบบ อย่ามองแค่ให้เด็กออกมาทำงาน ต้องอดทน และสนับสนุนลูก ดังนั้น การร่วมมือระหว่างครู และพ่อแม่ จึงสำคัญ ต่อไปการศึกษาต้องไร้รอยต่อ การส่งต่อระบบข้อมูลโดยสังคมร่วมกันทำงาน โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าไม่ทำอะไร จะมีเด็กออกจากระบบเพิ่มจนน่าตกใจ ปัจจุบันคนที่อายุ 18-60 ปี ที่หลุดจากระบบ และมีวุฒิประถม และมัธยมต้น 20 ล้านคน ไม่สามารถพัฒนาตนเอง หรือมีหนทางหลุดพ้นความยากจน ถ้ายังเพิกเฉย จะเจอปัญหาสังคมที่ขยายเพิ่มขึ้น ส่งต่อความยากจนข้ามรุ่น การอัพสกิลรีสกิลไม่เกิดผล ดังนั้น อยากเห็นนโยบายที่ออกมาช่วยเหลือครอบครัวก่อนเปิดเทอมทันที เพราะเหลือเวลาไม่กี่สัปดาห์ ถ้าไม่เตรียมการ สังคมจะไม่มีความสุข” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่