วันนี้นำรถเก๋งค่อนข้างเก่าจะไปเติมแอร์ที่ร้านที่มีคนแนะนำเพราะไม่ไ่ด้เติมมานานหลายปี ช่างตรวจสอบแล้วบอกว่า
แอร์จริงๆมันไม่รั่วไหล นอกจากมีจุดรั่วซึม ช่างตรวจสักพักบอกคันนี้ไม่ต้องเติมก็ได้ ปกติ ! แกว่าโลกมันร้อนขึ้นแต่แอร์มันคงที่
มันก็เลยรู้สึกร้อนกว่าเดิม และว่าไปเปลี่ยนฟีลม์กรองแสงหน้ารถดีกว่ามันบางมากแล้ว ทำให้รู้สึกว่าร้อนมากได้
ช่างคนนี้ค่อนข้างซื่อตรง เลยไปเอากระบะอีกคันมาตรวจ ผลปรากฏว่า ช่างถามว่าคันนี้น่าจะไปเติมน้ำยาแอร์แบบไม่ต้องถอด
อะไหล่ออก ราคาราว 800 900 บาท ใช่ไหม ก็ใช่ ช่างบอกว่า มันมีข้อเสียนะ เติมน้ำยาแบบนั้น น้ำยาล้างไม่หมดดีมันจะกัด
อะไหล่ และกลิ่นของน้ำยาที่เหลือค้างจะเป็นอันตรายต่อผู้โดยสารในรถ หนึ่ง อีกประการควรเปลี่ยนกรองแอร์ทุกครั้งที่เปลี่ยน
น้ำยาแอร์
มาเล่าให้ฟัง
เพิ่มเติม ช่างแนะนำ วิธีดูว่าน้ำยาแอร์ง่ายๆว่าหมดจริงหรือไม่ เปิดฝาประโปรงหน้า คลำดูท่อแอร์ ถ้าเย็นมีน้ำเกาะแสดงว่าใช้ได้
ถ้าน้ำยาหมดมันจะไม่เย็น
ป.ล.
ขอใช้คำพูดของ คห 9 ที่ว่า ล้างแอร์แบบไม่ต้องถอดตู้น้ำยาแอร์ออก
เติมน้ำยาแอร์ ช่างแนะนำอย่าเติมแบบไม่ถอดเครื่องอะไหล่ออก
แอร์จริงๆมันไม่รั่วไหล นอกจากมีจุดรั่วซึม ช่างตรวจสักพักบอกคันนี้ไม่ต้องเติมก็ได้ ปกติ ! แกว่าโลกมันร้อนขึ้นแต่แอร์มันคงที่
มันก็เลยรู้สึกร้อนกว่าเดิม และว่าไปเปลี่ยนฟีลม์กรองแสงหน้ารถดีกว่ามันบางมากแล้ว ทำให้รู้สึกว่าร้อนมากได้
ช่างคนนี้ค่อนข้างซื่อตรง เลยไปเอากระบะอีกคันมาตรวจ ผลปรากฏว่า ช่างถามว่าคันนี้น่าจะไปเติมน้ำยาแอร์แบบไม่ต้องถอด
อะไหล่ออก ราคาราว 800 900 บาท ใช่ไหม ก็ใช่ ช่างบอกว่า มันมีข้อเสียนะ เติมน้ำยาแบบนั้น น้ำยาล้างไม่หมดดีมันจะกัด
อะไหล่ และกลิ่นของน้ำยาที่เหลือค้างจะเป็นอันตรายต่อผู้โดยสารในรถ หนึ่ง อีกประการควรเปลี่ยนกรองแอร์ทุกครั้งที่เปลี่ยน
น้ำยาแอร์
มาเล่าให้ฟัง
เพิ่มเติม ช่างแนะนำ วิธีดูว่าน้ำยาแอร์ง่ายๆว่าหมดจริงหรือไม่ เปิดฝาประโปรงหน้า คลำดูท่อแอร์ ถ้าเย็นมีน้ำเกาะแสดงว่าใช้ได้
ถ้าน้ำยาหมดมันจะไม่เย็น
ป.ล.
ขอใช้คำพูดของ คห 9 ที่ว่า ล้างแอร์แบบไม่ต้องถอดตู้น้ำยาแอร์ออก