ชายแดนไทย-เมียนมาปะทะเดือด! ผู้บาดเจ็บทะลักเข้าเขตไทย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/222107
ชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ปะทะเดือดมีเสียงปืนใหญ่ดังก้องแต่เช้า ผู้บาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือนทะลักเข้ามารักษาในไทย ต้องระดมทีมแพทย์พยาบาลรับมือภาวะฉุกเฉิน
กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองกำลังของทหารเมียนมาและฝ่ายต่อต้าน ประกอบด้วยทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กองพลน้อยที่ 6 และเคเอ็นยูพีซี รวมทั้งกองกำลัง (พีดีเอฟ) กองกำลังปกป้องประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (เอ็นยูจี) ที่บริเวณบ้านเหย่ปู่ จ.เมียวดี ซึ่งเป็นชายแดนไทย-เมียนมา อยู่ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเช้าวันที่ 21 เม.ย.67
โดยระหว่างที่มีการยิงปะทะกัน มีประชาชนจำนวนหนึ่ง หมอบอยู่ที่เกาะกลางถนน ก่อนที่จะมีคนช่วยส่งสัญญาณให้กลุ่มนี้วิ่งเข้ามาหลบยังจุดที่ปลอดภัย ซึ่งบริเวณนี้มีการสู้รบกันหนักที่สุด ทั้งการใช้โดรนทิ้งระเบิดของฝ่ายต่อต้านทหารเมียนมา และฝ่ายเมียนมาใช้เครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการทางอากาศ
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีการปะทะกันอย่างหนัก ทำให้ทหารเมียนมากองพัน 275 (ค่ายผาซอง) เสียชีวิตจำนวน 50 นาย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ชาวเมียนมาที่อาศัยใกล้พื้นที่การสู้รบ ต่างหนีภัยสงคราม ทะลักเข้ามาเขตไทยหลายจุดตามท่าขนส่งทางธรรมชาติ แต่บางจุด ผู้ประกอบการไม่ยอมให้คนหนีตายข้ามมาที่ท่าขนส่งตัวเองแล้วไล่กลับไป ซึ่งทางพันเอกณัฐกร เรือนติ๊บ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด ได้สั่งการให้ทหาร ฝ่ายปกครองดูแลผู้หนีภัยจากการสู้รบตลอดเหตุการณ์
เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 22 เม.ย.67 มีชาวเมียนมาจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บข้ามมาเขตไทยเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยช่วยนำส่งโรงพยาบาลแม่สอด ทำให้โรงพยาบาลแม่สอด ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือชาวเมียนมาที่ได้รับบาดเจ็บมาจำนวนมาก
ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถแยกแยะผู้ได้รับบาดเจ็บได้ว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายทหารเมียนมา หรือฝ่ายประชาชน ทั้งหมดถือว่าเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลและจะได้รับดูแลตามหลักมนุษยธรรม สำหรับยอดผู้หนีภัยสงครามขณะนี้มีมากกว่า 1,000 คน โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยตามที่ทางฝ่ายความมั่นคงไทยได้จัดเอาไว้ให้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ นาย
นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 19 เม.ย.67 จนถึงขณะนี้ ทำให้มีผู้หลบหนีภัยสงครามข้ามมาชายแดนไทยกว่า 1,000 คน และมีรายงานอีกว่า พบกระสุนจากการต่อสู้ข้ามแดนมายังประเทศไทยอีกเป็นจำนวนหนึ่ง
ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายความมั่นคงของไทยได้เฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างเข้มงวด รวมทั้งดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ และทางกระทรวงฯ ได้มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย เพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาใช้ความระมัดระวังและความยับยั้งชั่งใจ และไม่ให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตยและน่านฟ้าของไทย รวมถึงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน
ด้านผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นาย
นิกรเดชถึงแนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมาว่าจะดีขึ้นใช่หรือไม่ หลังรัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัว นาง
อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ
อูวิน มายิน อดีตประธานาธิบดีเมียนมา ไปกักตัวบ้านพักส่วนตัว
ซึ่งนาย
นิกรเดช เปิดเผยว่า ทั้งสองเหตุการณ์ต้องประเมินแบบแยกออกจากกัน เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเมียวดีก่อนหน้านั้น ขณะนี้มีการเจรจาภายในฝ่ายเมียนมาอยู่ ส่วนการปล่อยตัวนาง
อองซาน ซูจี เป็นเรื่องที่รัฐบาลเมียนมา มีแนวทางการลดโทษ การย้ายมากักบริเวณ ก็อยู่ในบริบทการลดโทษ ทางกระทรวงการต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
นาย
นิกรเดช เปิดเผยอีกว่า ส่วนตัวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และไทยพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดนไทย ซึ่งในสัปดาห์หน้า นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแผนจะเดินทางไป อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา และพบปะให้กำลังใจประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย - เมียนมา
‘วิโรจน์’เห็นด้วย‘สุทิน’ชงแก้พ.ร.บ.กลาโหม
https://www.dailynews.co.th/news/3362078/
ปรับสภากลาโหม-กำหนดคุณสมบัติแต่งตั้งนายพล แนะต้องแก้ให้ถึงแก่น ยืนยันหลักการกองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน หากแก้แบบผิวๆ จะเสียโอกาส ด้าน ‘ธนเดช’ หนุนตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ด
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวถึงกรณีการประชุมสภากลาโหมเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนาย
สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้มีข้อเสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ว่าเห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ เพียงแต่มีจุดที่ขอเสนอแนะเพิ่มเติมให้แก่ รมว.กลาโหม
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า การแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จะต้องแก้ไขให้ตรงจุด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้กองทัพยุติการเป็นรัฐซ้อนรัฐและต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน สภากลาโหมควรมีกรอบอำนาจหน้าที่ในการให้คำแนะนำแก่ รมว.กลาโหมเท่านั้น สิทธิในการทักท้วงควรจะมีเฉพาะในประเด็นสำคัญเท่านั้น ไม่ควรมีอำนาจครอบงำการตัดสินใจของรัฐมนตรี ดังนั้นจำนวนสมาชิกในสภากลาโหม นอกจากจะปรับลดลงแล้ว ยังควรเพิ่มสัดส่วนของพลเรือนในสภากลาโหมให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล สมควรที่จะมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและมีความโปร่งใส
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร หัวใจสำคัญคือการให้บทบาทกับศาลยุติธรรมให้มากขึ้น ศาลทหารควรถูกใช้ในภาวะสงครามเท่านั้น และโครงสร้างของศาลทหาร จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ เพราะหากศาลทหารถูกตั้งข้อสงสัยจากนายทหารว่าไม่มีความเป็นธรรม หรือสามารถวิ่งเต้นใช้อำนาจระดับบังคับบัญชาแทรกแซงได้ ก็เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดความรุนแรงและระบบศาลเตี้ยในแวดวงทหาร เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา ทั้งนี้การแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ จะต้องแก้ไขให้ถึงแก่น ถ้าแก้ไขแบบผิวๆ จะเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก
ด้านร.ท.
ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. เขต 13 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฉบับพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอชื่นชมและสนับสนุนการเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ตนหวังอยากเห็นความกล้าหาญและความจริงใจของ รมว.กลาโหม ในการเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ หรือจะเรียกว่าพัฒนาร่วมกันตามคำของนายกฯ ก็ตาม ทั้งนี้ในร่างของพรรคก้าวไกล เราเสนอแก้ไขมาตรา 25 เช่นกัน ให้การพิจารณาแต่งตั้งนายพลดำเนินการด้วยระบบคุณธรรม คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานของตำแหน่งต่างๆ โดยกำหนดให้คณะกรรมการที่ส่วนราชการตั้งขึ้นพิจารณาในขั้นตอนแรก แล้วส่งต่อให้ รมว.กลาโหมพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของกระทรวง ตัดสิ่งที่เรียกว่า “
ซูเปอร์บอร์ด” ในกฎหมายเดิม ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อลดบทบาทของ รมว.กลาโหม ให้เป็นเหมือนตรายางรับรองเท่านั้น
“
ประเด็นนี้สำคัญตรงที่ว่าหากคุณสุทินไม่ตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ดเพื่อดึงอำนาจกลับมาที่ รมว.กลาโหม อาจแปลได้ว่าสุดท้ายความมุ่งหวังที่อยากเห็นกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนผ่านความพยายามแก้ไขกฎหมาย ก็อาจเลือนราง” ร.ท.
ธนเดชกล่าว
เบรกดีเซลพุ่ง 36 บาท รถทัวร์อ่วม แบกต้นทุนหนัก
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_706332/
“ดีเซล” ขึ้นราคาอีก 50 สต.ต่อลิตร แตะ 30.94 บาทเป็นที่เรียบร้อย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ให้เหตุผลในการปรับขึ้นครั้งนี้ ว่า เนื่องจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทของกระทรวงการคลังได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา รวมถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท จึงต้องมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล และในอนาคตอาจจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาเป็นแบบขั้นบันได เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ มีหนี้คงค้างค่อนข้างสูง อีกทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เริ่มประทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
นอจกากนี้ กระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้น อาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนน้ำมันฯ ได้
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “
ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย หรือ รถเช่าเหมา ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งทะลุ 30 บาทต่อลิตร ว่า วันนี้ต้นทุนค่าน้ำมันของผู้ประกอบการสูงมาก และการที่ราคาน้ำมันดีเซลไม่นิ่ง ย่อมกระทบต่อการวางแผนของธุรกิจ ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจนว่า จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเมื่อไหร่ หรือระยะเวลาของการตรึงราคาน้ำมันดังกล่าว จะตรึงนานแค่ไหนย่างไร เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้คำนวณต้นทุนค่าใช้จ่าย
“
ต้นทุนมันสูงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ในเรื่องของ รถทัวร์นำเที่ยว ค่าน้ำมันก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 70% ของต้นทุนและการรับงานมันเป็นการรับงานล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัวร์ต่างชาติที่จะเข้ามา จะขายกันเป็นซีรี่ย์เข้ามาเลย อย่างตอนนี้ที่บุ๊คกิ้งอาทิตย์หน้า ถึงจะจองเข้ามาที่จะกำหนดราคาให้เขา มันจองข้ามเดือนข้ามปีกันมาแล้ว เพราะฉะนั้นพอต้นทุนขึ้นมาโดยที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะขึ้นไหมขึ้น ขึ้นเท่าไหร่ เราปรับราคาไม่ได้ อย่างวันนี้เราขายที่ราคาน้ำมัน 30 บาท เราก็แบกรับ 50 สตางค์ต่อลิตรอยู่แล้ว และถ้าขึ้นมาอีก 1 บาทหรือ 2 บาทและไม่มีเวลาที่แน่นอนว่าขึ้นเมื่อไหร่ อะไรยังไงมันก็กำหนดค่อนข้างยาก และผู้ประกอบการก็ต้องมานั่งอุ้มแบกรับภาระ เพราะการที่จะไปขึ้นราคาทัวร์กับลูกค้าที่ไปขายต่างประเทศเข้ามา มันก็ทำไม่ได้เพราะว่าเขาซื้อมาแล้วเหมามาแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงเลย”
นอกจากนี้ “
ดร.วสุเชษฐ์” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรถเช่าเหมาด้วยว่า เริ่มดีขึ้นโดยได้รับอานิสงค์จากภาคนักท่องเที่ยวที่ในวันนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
JJNY : เมียนมาปะทะเดือด!│‘วิโรจน์’เห็นด้วย‘สุทิน’ชงแก้พ.ร.บ.กลาโหม│รถทัวร์อ่วม แบกต้นทุนหนัก│ฝรั่งเศสจ่อบังคับติดป้าย
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/222107
ชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ปะทะเดือดมีเสียงปืนใหญ่ดังก้องแต่เช้า ผู้บาดเจ็บทั้งทหารและพลเรือนทะลักเข้ามารักษาในไทย ต้องระดมทีมแพทย์พยาบาลรับมือภาวะฉุกเฉิน
กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองกำลังของทหารเมียนมาและฝ่ายต่อต้าน ประกอบด้วยทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) กองพลน้อยที่ 6 และเคเอ็นยูพีซี รวมทั้งกองกำลัง (พีดีเอฟ) กองกำลังปกป้องประชาชนของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (เอ็นยูจี) ที่บริเวณบ้านเหย่ปู่ จ.เมียวดี ซึ่งเป็นชายแดนไทย-เมียนมา อยู่ตรงข้ามบ้านวังตะเคียนใต้ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อเช้าวันที่ 21 เม.ย.67
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีการปะทะกันอย่างหนัก ทำให้ทหารเมียนมากองพัน 275 (ค่ายผาซอง) เสียชีวิตจำนวน 50 นาย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ชาวเมียนมาที่อาศัยใกล้พื้นที่การสู้รบ ต่างหนีภัยสงคราม ทะลักเข้ามาเขตไทยหลายจุดตามท่าขนส่งทางธรรมชาติ แต่บางจุด ผู้ประกอบการไม่ยอมให้คนหนีตายข้ามมาที่ท่าขนส่งตัวเองแล้วไล่กลับไป ซึ่งทางพันเอกณัฐกร เรือนติ๊บ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด ได้สั่งการให้ทหาร ฝ่ายปกครองดูแลผู้หนีภัยจากการสู้รบตลอดเหตุการณ์
เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 22 เม.ย.67 มีชาวเมียนมาจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บข้ามมาเขตไทยเพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยช่วยนำส่งโรงพยาบาลแม่สอด ทำให้โรงพยาบาลแม่สอด ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือชาวเมียนมาที่ได้รับบาดเจ็บมาจำนวนมาก
ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่สามารถแยกแยะผู้ได้รับบาดเจ็บได้ว่าเป็นฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายทหารเมียนมา หรือฝ่ายประชาชน ทั้งหมดถือว่าเป็นผู้ป่วยโรงพยาบาลและจะได้รับดูแลตามหลักมนุษยธรรม สำหรับยอดผู้หนีภัยสงครามขณะนี้มีมากกว่า 1,000 คน โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยตามที่ทางฝ่ายความมั่นคงไทยได้จัดเอาไว้ให้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบดังกล่าว ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 19 เม.ย.67 จนถึงขณะนี้ ทำให้มีผู้หลบหนีภัยสงครามข้ามมาชายแดนไทยกว่า 1,000 คน และมีรายงานอีกว่า พบกระสุนจากการต่อสู้ข้ามแดนมายังประเทศไทยอีกเป็นจำนวนหนึ่ง
ทางกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายความมั่นคงของไทยได้เฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างเข้มงวด รวมทั้งดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ และทางกระทรวงฯ ได้มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตเมียนมา ประจำประเทศไทย เพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาใช้ความระมัดระวังและความยับยั้งชั่งใจ และไม่ให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตยและน่านฟ้าของไทย รวมถึงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน
ด้านผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง นายนิกรเดชถึงแนวโน้มสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมาว่าจะดีขึ้นใช่หรือไม่ หลังรัฐบาลทหารเมียนมาปล่อยตัว นางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และ อูวิน มายิน อดีตประธานาธิบดีเมียนมา ไปกักตัวบ้านพักส่วนตัว
ซึ่งนายนิกรเดช เปิดเผยว่า ทั้งสองเหตุการณ์ต้องประเมินแบบแยกออกจากกัน เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเมียวดีก่อนหน้านั้น ขณะนี้มีการเจรจาภายในฝ่ายเมียนมาอยู่ ส่วนการปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี เป็นเรื่องที่รัฐบาลเมียนมา มีแนวทางการลดโทษ การย้ายมากักบริเวณ ก็อยู่ในบริบทการลดโทษ ทางกระทรวงการต่างประเทศจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
นายนิกรเดช เปิดเผยอีกว่า ส่วนตัวหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และไทยพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดนไทย ซึ่งในสัปดาห์หน้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแผนจะเดินทางไป อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา และพบปะให้กำลังใจประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย - เมียนมา
‘วิโรจน์’เห็นด้วย‘สุทิน’ชงแก้พ.ร.บ.กลาโหม
https://www.dailynews.co.th/news/3362078/
ปรับสภากลาโหม-กำหนดคุณสมบัติแต่งตั้งนายพล แนะต้องแก้ให้ถึงแก่น ยืนยันหลักการกองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน หากแก้แบบผิวๆ จะเสียโอกาส ด้าน ‘ธนเดช’ หนุนตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ด
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวถึงกรณีการประชุมสภากลาโหมเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภากลาโหม ได้มีข้อเสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ว่าเห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ เพียงแต่มีจุดที่ขอเสนอแนะเพิ่มเติมให้แก่ รมว.กลาโหม
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม จะต้องแก้ไขให้ตรงจุด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้กองทัพยุติการเป็นรัฐซ้อนรัฐและต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน สภากลาโหมควรมีกรอบอำนาจหน้าที่ในการให้คำแนะนำแก่ รมว.กลาโหมเท่านั้น สิทธิในการทักท้วงควรจะมีเฉพาะในประเด็นสำคัญเท่านั้น ไม่ควรมีอำนาจครอบงำการตัดสินใจของรัฐมนตรี ดังนั้นจำนวนสมาชิกในสภากลาโหม นอกจากจะปรับลดลงแล้ว ยังควรเพิ่มสัดส่วนของพลเรือนในสภากลาโหมให้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล สมควรที่จะมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและมีความโปร่งใส
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สำหรับ พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร หัวใจสำคัญคือการให้บทบาทกับศาลยุติธรรมให้มากขึ้น ศาลทหารควรถูกใช้ในภาวะสงครามเท่านั้น และโครงสร้างของศาลทหาร จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ เพราะหากศาลทหารถูกตั้งข้อสงสัยจากนายทหารว่าไม่มีความเป็นธรรม หรือสามารถวิ่งเต้นใช้อำนาจระดับบังคับบัญชาแทรกแซงได้ ก็เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเกิดความรุนแรงและระบบศาลเตี้ยในแวดวงทหาร เหมือนกรณีที่เคยเกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา ทั้งนี้การแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ จะต้องแก้ไขให้ถึงแก่น ถ้าแก้ไขแบบผิวๆ จะเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก
ด้านร.ท.ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. เขต 13 พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฉบับพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอชื่นชมและสนับสนุนการเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ตนหวังอยากเห็นความกล้าหาญและความจริงใจของ รมว.กลาโหม ในการเดินหน้าปฏิรูปกองทัพ หรือจะเรียกว่าพัฒนาร่วมกันตามคำของนายกฯ ก็ตาม ทั้งนี้ในร่างของพรรคก้าวไกล เราเสนอแก้ไขมาตรา 25 เช่นกัน ให้การพิจารณาแต่งตั้งนายพลดำเนินการด้วยระบบคุณธรรม คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานของตำแหน่งต่างๆ โดยกำหนดให้คณะกรรมการที่ส่วนราชการตั้งขึ้นพิจารณาในขั้นตอนแรก แล้วส่งต่อให้ รมว.กลาโหมพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของกระทรวง ตัดสิ่งที่เรียกว่า “ซูเปอร์บอร์ด” ในกฎหมายเดิม ซึ่งถูกตั้งขึ้นเพื่อลดบทบาทของ รมว.กลาโหม ให้เป็นเหมือนตรายางรับรองเท่านั้น
“ประเด็นนี้สำคัญตรงที่ว่าหากคุณสุทินไม่ตัดทิ้งซูเปอร์บอร์ดเพื่อดึงอำนาจกลับมาที่ รมว.กลาโหม อาจแปลได้ว่าสุดท้ายความมุ่งหวังที่อยากเห็นกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนผ่านความพยายามแก้ไขกฎหมาย ก็อาจเลือนราง” ร.ท.ธนเดชกล่าว
เบรกดีเซลพุ่ง 36 บาท รถทัวร์อ่วม แบกต้นทุนหนัก
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_706332/
“ดีเซล” ขึ้นราคาอีก 50 สต.ต่อลิตร แตะ 30.94 บาทเป็นที่เรียบร้อย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ให้เหตุผลในการปรับขึ้นครั้งนี้ ว่า เนื่องจากมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาทของกระทรวงการคลังได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา รวมถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบกว่า 1 แสนล้านบาท จึงต้องมีการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล และในอนาคตอาจจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาเป็นแบบขั้นบันได เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ มีหนี้คงค้างค่อนข้างสูง อีกทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เริ่มประทุขึ้นอีกครั้ง อาจส่งผลทำให้ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
นอจกากนี้ กระทรวงพลังงาน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 4.77 บาทต่อลิตร หรือคิดเป็นเงินประมาณกว่า 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากไม่มีการชดเชย ราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ประมาณ 36 บาทต่อลิตร และหากปล่อยให้มีการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในระดับเดิมต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดหนี้เพิ่มมากขึ้น อาจจะกระทบกับวินัยการเงินและระดับความน่าเชื่อถือของกองทุนน้ำมันฯ ได้
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย หรือ รถเช่าเหมา ถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งทะลุ 30 บาทต่อลิตร ว่า วันนี้ต้นทุนค่าน้ำมันของผู้ประกอบการสูงมาก และการที่ราคาน้ำมันดีเซลไม่นิ่ง ย่อมกระทบต่อการวางแผนของธุรกิจ ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจนว่า จะขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเมื่อไหร่ หรือระยะเวลาของการตรึงราคาน้ำมันดังกล่าว จะตรึงนานแค่ไหนย่างไร เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้คำนวณต้นทุนค่าใช้จ่าย
“ต้นทุนมันสูงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ในเรื่องของ รถทัวร์นำเที่ยว ค่าน้ำมันก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 60 ถึง 70% ของต้นทุนและการรับงานมันเป็นการรับงานล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัวร์ต่างชาติที่จะเข้ามา จะขายกันเป็นซีรี่ย์เข้ามาเลย อย่างตอนนี้ที่บุ๊คกิ้งอาทิตย์หน้า ถึงจะจองเข้ามาที่จะกำหนดราคาให้เขา มันจองข้ามเดือนข้ามปีกันมาแล้ว เพราะฉะนั้นพอต้นทุนขึ้นมาโดยที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะขึ้นไหมขึ้น ขึ้นเท่าไหร่ เราปรับราคาไม่ได้ อย่างวันนี้เราขายที่ราคาน้ำมัน 30 บาท เราก็แบกรับ 50 สตางค์ต่อลิตรอยู่แล้ว และถ้าขึ้นมาอีก 1 บาทหรือ 2 บาทและไม่มีเวลาที่แน่นอนว่าขึ้นเมื่อไหร่ อะไรยังไงมันก็กำหนดค่อนข้างยาก และผู้ประกอบการก็ต้องมานั่งอุ้มแบกรับภาระ เพราะการที่จะไปขึ้นราคาทัวร์กับลูกค้าที่ไปขายต่างประเทศเข้ามา มันก็ทำไม่ได้เพราะว่าเขาซื้อมาแล้วเหมามาแล้ว เพราะฉะนั้นการปรับราคาน้ำมันมีผลกระทบโดยตรงเลย”
นอกจากนี้ “ดร.วสุเชษฐ์” ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจรถเช่าเหมาด้วยว่า เริ่มดีขึ้นโดยได้รับอานิสงค์จากภาคนักท่องเที่ยวที่ในวันนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น