จิฮาดในศาสนาอิสลาม
คำว่า "จิฮาด" หรือ "ญิฮาด" (جِهَاد) เป็นคำภาษาอาหรับซึ่งหมายถึง
การต่อสู้ดิ้นรน และคำนี้มีปรากฏอยู่ในอัลกุรอานหลายครั้ง
คำว่า "จิฮาด" ถูกผู้ก่อการร้ายนำไปใช้ในทางที่ผิด ทำให้ผู้ที่ต่อต้านมุสลิมและต่อต้านศาสนา อิสลามและสื่อต่างๆ นำมาใช้เพื่อดูหมิ่นอัลกุรอานและศาสนาอิสลาม
ไม่มีคำว่า
"Holy War" เพราะว่า ไม่มีอะไรที่ HOLY สำหรับการสงคราม หรือ "ไม่มีสงครามศาสนาเพราะไม่มีศาสนาใดที่สนับสนุนสงคราม"
การต่อสู่ป้องกันตัวจากผู้รุกรานเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่พึงกระทำ ศาสนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ศาสนานั้นๆจะต้องมีระบบการป้องกันตัวจากผู้รุกราน จึงจะเรียกว่าศาสนานั้นๆสอนด้วยเหตุผลสอดคล้องกับธรรมชาติ ถ้าไม่มีชีวิตรอดแล้ว หลักคำสอนจะยืนยงเพื่อลูกเพื่อหลานหรือเผ่าพันธุ์รุ่นหลังๆไม่ได้ ศาสนานั้นก็จะหมดสิ้นไปในที่สุด
ตามธรรมชาติ “สิ่งมีชีวิตและมนุษย์ทุกคนทำจิฮาด ทุกวันในชีวิตประจำวันเพื่อมีชีวิตอยู่และการอยู่รอดของชีวิต…”
มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง อธิบายความหมายของคำว่า "จิฮาด" และชี้แจงความเข้าใจผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกพันทิปทั้งมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม
ในกระทู้นี้ จิฮาดสามารถแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ 3 ประเภท;
1. จิฮาดอัลนาฟส์ การต่อสู้กับใจตนเอง
2. จิฮาดเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวัน
3. จิฮาดต่อต้าน
ความอยุติธรรม
1) จิฮาดอัลนาฟส์หรือ การเอาชนะใจตนเอง
จิฮาดประเภทนี้คือการ ต่อต้านความปรารถนาและตัณหาชั่วร้ายของเราเอง การควบคุมจิตใจของเราจากการทำสิ่งที่ผิดและความชั่วร้าย ถือเป็นญิฮาดที่ยิ่งใหญ่กว่า เนื่องจากเราต้องทำอยู่ทุกๆวัน เพื่อควบคุมจิตใจและตัวเราเองจากการทำสิ่งเลวร้ายจนเกิดเป็นนิสัย เป็นความพยายามทางจิตวิญญาณที่จะทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้
การชนะใจตนเอง หมายถึง การเอาชนะจิตใจฝ่ายต่ำ หรือ กิเลสตัณหา ในตัวของเราเองและ การเอาชนะ จิตใจที่ชั่ว หรือ ผิดศีลธรรม ด้วย คุณงามความดี จรรยาบรรณ หรือ จริยธรรม ที่มีคำสอนอยู่ในศาสนาทั้งหลาย คนที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ ต้องฝึกหัดแก้ไขนิสัย ที่ไม่ดีของตน ให้เกิดนิสัยดีขึ้นมาทดแทน นั่นคือคนที่ ชนะใจตนเอง ต้องสามารถรักษา แนวทาง แหล่งความดีที่พระเจ้าทรงโปรดปราณ นั้นก็คือจะต้องนึกถึงพระเจ้า/อัลลอฮ์ อยู่ในใจเสมอ
ความสำคัญของจิฮาดอัลนาฟส์หรือ การเอาชนะใจตนเอง:
1. ทำให้วิถีชีวิต ของตนเอง เปลี่ยนแปลง
2. ทำให้ตนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
3. ทำให้สามารถดำรงคุณงามความดีของตนไว้ แม้ว่า สังคม หรือ เพื่อนร่วมงานของเราเป็น คนทุจริต หรือมีพฤติกรรมชั่วร้าย เราก็ไม่ตกเป็นผู้คล้อยตาม
กระแสสังคมไปได้
4. ทำให้เราสามารถ สร้างฐานะหลักฐานให้เป็น ที่พึ่งของตนเอง และ ครอบครัวตน และสังคมส่วนรวม อันหมายถึง ประเทศชาติ ของเราด้วย คนเราที่ทำ
ชั่วหรือทำผิดด้วย ประการใด ๆ ก็ดี เป็นเพราะ เขาไม่อาจเอาชนะใจตนเองได้
2) จิฮาดเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน:
คนที่ไปทำงานเพื่อหารายได้และสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิตก็ทำญิฮาดเช่นกัน เพราะพวกเขาได้เลือกวิธีฮาลาลที่ถูกต้องตามหลักอิสลาม เพื่อหารายได้ ซึ่งเรียกว่า การประกอบสัมมาชีพ แทนที่จะไปผิดทางและหาฮารอมในการใช้ชีวิต
การประกอบอาชีพที่ทำด้วยความสุจริต มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร คือมีคุณธรรมในการทำงานเลี้ยงชีพของตน ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ผลตอบแทนจากการทำงาน อาจจะได้รับเงินจำนวนที่ดี มีความพึงพอใจ หรือในบางอาชีพแม้ไม่ได้ทำให้ร่ำรวย หรือไม่ได้เงินมากมาย แต่ว่ามีความสบายใจที่ได้ซื่อสัตย์ในอาชีพของตน
3). จิฮาดต่อต้าน ความอยุติธรรม
อย่างแน่นอนว่า ความยุติธรรมเป็นรากฐานทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่น สร้างความสามัคคีในสังคม สร้างความสงบปลอดภัย และความเสมอภาคของทุกสังคมชนชั้น หากสังคมขาดความยุติธรรมเมื่อใด การละเมิดสิทธิบุคคลในสังคมจะเกิดขึ้นทันที ความสับสนวุ่นวายจะเกิดขึ้นตามมา อิสลามถือว่า ความยุติธรรม เป็นส่วนสำคัญ ที่จะทำให้จริยธรรมอิสลามสมบูรณ์ เพราะความยุติธรรมจะนำมาซึ่งการดำรงมั่น ในความเป็นธรรม และรักในความสัตย์ ผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมจึงถือเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมอันน่าสรรเสริญ
1. หน้าที่ของผู้ศรัทธาจะต้องรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม
การเป็นมุสลิมจะต้องเชื่อว่า "ไม่ใช่การเป็นผู้รุกราน" - ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนและปกป้องคุณค่าของความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันอย่างแข็งขัน
อัลกุรอานบัญญัติว่า:
[5:8] ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเพื่ออัลลอฮฺ เป็นพยานด้วยความเที่ยงธรรมและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงเป็นผู้ยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรง อัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน
2. การรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมเป็นข้อบังคับทางศาสนา
“ พระเจ้าทรงบัญชาความยุติธรรมและการติดต่อที่ยุติธรรม…
”إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُ بِالْعَدْلِ وَالْإِحْسَانِ وَإِيتَاءِ ذِي الْقُرْبَىٰ وَيَنْهَىٰ عَنِ الْفَحْشَاءِ وَالْمُنْكَرِ وَالْبَغْيِ ۚ يَعِظُكُمْ لَعَلَّكُمْ تَذَكَّرُونَ {90}
[อัลกุรอาน, 16:90] แท้จริงอัลลอฮฺบัญชาให้รักษาความยุติธรรม และทำความดี และบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และทรงห้ามปรามให้ละเว้นสิ่งลามกและสิ่งชั่วช้า และการล่วงละเมิด ทรงตักเตือนพวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้รำลึก
ในข้อนี้อัลลอฮ์สั่งให้ชาวมุสลิมทุกๆคนจะต้องรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม - ในฐานะผู้เชื่อเราต้องระวังอย่างสม่ำเสมอว่าค่าแห่งความยุติธรรมเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของศรัทธาของมุสลิม
3. ความยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการคงไว้ซึ่งความสมดุลย์ เราต้องยืนหยัดต่อความถูกต้องถึงแม้ว่าจะยากลำบากก็ตาม
“ และสวรรค์ที่เขายกขึ้นและกำหนดความสมดุล ว่าคุณไม่ละเมิดยอดคงเหลือ และสร้างน้ำหนักในกระบวนการยุติธรรมและไม่ทำให้ดุลไม่เพียงพอ” [อัลกุรอาน, 55: 7-9]
{55:7} และชั้นฟ้านั้นพระองค์ทรงยกมันไว้สูง และทรงวางความสมดุลไว้
{55:8} เพื่อพวกเธอจะได้ไม่ฝ่าฝืนในเรื่องการรักษาความยุติธรรม
{55:9} และพวกเธอจงธํารงไว้ซึ่งความยุติธรรม ด้วยความเที่ยงธรรม และอย่าเอนเอียง
เช่นเดียวกับทุกสิ่งในโลกเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราจะไม่ปล่อยให้ "ความอยุติธรรมชั่วร้าย" มีพลังมากกว่าความดี - เราต้องปกป้องและสนับสนุนผู้ที่ถูกกดขี่หรือทำผิดในการแสวงหาความยุติธรรม
4.. อัลลอฮ์ (พระเจ้า) ทรงเห็นและรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
{4:58} แท้จริงอัลลอฮฺบัญชาพวกเธอให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของ ๆ มัน
และเมื่อพวกเธอตัดสินระหว่างผู้คน พวกเธอก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงชี้นำพวกเธอด้วยสิ่งซึ่งดีแท้ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงเห็น
เมื่อเราต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและปกป้องผู้ถูกกดขี่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงศรัทธาและการอุทิศตนต่ออัลลอฮ.
สงครามและการก่อการร้ายเป็นความล้มเหลวของมนุษยชาติ จะมีมุสลิมบางคนบิดเบือนบางส่วนของบัญญัติในอัลกุรอานที่เกี่ยวกับ สันติภาพ, สงครามและความยุติธรรม เพื่อสนับสนุนการกระทำชั่วของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจำนวนมากที่เข้าใจผิดข้อความบางข้อเกี่ยวกับการกระทำของมุส ลิมที่สถาณการณ์บีบบังคับให้มุสลิมต้องทำสงคราม ผมจึงหวังว่ากระทู้นี้ มีคำอธิบายที่ชัดเจนที่สามารถช่วยชี้แจงความเข้าใจผิดของคนบางคนได้
อัลกุรอานจากบัญญัติที่39-43 บอกให้เรารู้ว่า, “บรรดาผู้ที่ถูกกดขี่อย่างไม่ยุติธรรมนั้น พวกเขาจะต้องช่วยกัน ปกป้องตัวเอง แต่เนื่องจากการตอบแทนสงครามด้วยสงครามน้น ก็คือการตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว ซึ่งไม่ต่างกันเลย, แต่ถ้าผู้ใดให้อภัย และไกล่เกลี่ยคืนดีกันได้ก็จะเป็นการดี แต่ถ้าผู้ใดแก้แค้นตอบแทนหลังจากที่พวกเขาได้รับความอธรรม เขาเหล่านั้น ก็จะไม่มีทางที่จะถูกตำหนิได้ ผู้ที่จะถูกลงโทษนั้นได้แก่บรรดาผู้ที่อธรรมต่อมนุษย์ และบรรดาผู้ที่ก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นในแผ่นดินโดยปราศจากความเป็นธรรม ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวดทีเดียว อย่างแน่ ความอดทนและการให้อภัยนั้น แสดงให้เห็นว่าเป็นการใช้ความกล้าหาญและการแก้ปัญหาในการดำเนินกิจการอย่างแท้จริง"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อัลกุรอานประกอบด้วยการเปิดเผยจากพระเจ้าถึงศาสดามูฮัมหมัดในช่วงเวลายี่สิบสามปี (610 C.E. - 632 C.E. ) 13 ปีแรก ท่านศาสดามูฮัมมัด และสังคมมุสลิม อยู่ในเมืองเกิดของท่านที่นครมักกะห์ ซึ่งท่านและพี่น้องชาวมุสลิมของท่านถูกข่มเหงอย่างรุนแรงโดยพรรคพวกของอรับบูชาเจว็ด เจ้าถิ่นของ นครมักกะห์ (ในที่นี้เรียกว่าผู้ปฏิเสธพระเจ้า/ผู้รุกรานข่มเหงสังคมมุสลิม) ในช่วงเวลานั้นชาวมุสลิมไม่ได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ผู้รุกราน ได้แต่แบกรับการข่มเหง ในที่สุดอัลลอฮ์ทรงบัญญัติสั่งให้ศาสดาและผู้ติดตาม รวมทั้งชาวมุสลิมของท่าน อพยพไปยังเมือง กรุงมะดีนะห์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 400 กิโลเมตร หนีจากการกดขี่ข่มเหงของผู้ปฏิเสธพระเจ้า
การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้รู้จักกันในชื่อฮิจราห์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมอิสลามใน กรุงมะดีนะห์ และท่านศาสดา ได้รับเสียงเรียกร้อง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่นานนักก่อนที่อรับผู้บูชาเจว็ดชาวมักกะห์จะยกทัพไปตี กรุงมะดีนะห์ เพื่อทำสงครามบุกรุกชาวมุสลิมและทำลายรัฐอิสลามแห่งกรุงมะดีนะห์ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม สงครามบาดัร
จากบัญญัติที่ 2:190-2:194 เป็นคำสั่งแรกจากพระเจ้าถึงชาวมุสลิมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสงครามในการป้องกันบ้านเกิดและความศรัทธาของชาวมุสลิมในกรุงมะดินะห์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บัญญัติที่ 2:190 พระเจ้าสั่งให้ชาวมุสลิมต่อสู้ผู้รุกราน
แต่ห้ามมุสลิมไม่ให้ ละเมิดในการต่อสู้เพื่อปกป้องกรุงมะดินะห์ โดยไม่หวังที่จะยึดหรือเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้รุกรานในระหว่างการต่อสู้ "มุสลิมได้รับคำสั่งว่าผลประโยชน์ทางวัตถุไม่ควรเป็นแรงจูงใจสำหรับการต่อสู้ของชาวมุสลิม ห้ามการใช้ อาวุทธ ทำลายล้างผู้ที่ไม่ได้เป็นศัตรูต่อศาสนาอิสลาม
ความศรัทธาที่แท้จริงคือผู้ที่ไม่ควรหันไปใช้วิธีการที่ไร้ยางอาย
การละเมิดในข้อนี้ คือการฝ่าฝืนข้อห้ามในการการจับอาวุธทำร้ายผู้หญิงและเด็ก คนชราและผู้บาดเจ็บ, ห้ามการทำลาย ละเลงศพของศัตรู, ห้ามการ ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และปศุสัตว์ และ ห้ามการกระทำอื่น ๆ ที่คล้ายกันกับความอยุติธรรมและความโหดร้าย ท่านศาสดาห้ามกระการที่ผิดศีลธรรมทั้งหมด
ความตั้งใจที่แท้จริงของบัญญัติ 2:190 คือการเน้นว่าการต่อสู้ควรจะกระทำเฉพาะเหตุการณ์ที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเฉพาะในสถานะการที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสู้เท่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตัวอย่างการทำจิฮาดในการต่อต้านอธรรม:
1, ทนายตั้มฟ้องผบ.ตร. ฐานฟอกเงิน, เก็บส่วย เป็นจิฮาดต่อต้านคอรัปชั่น
2. ตำรวจจับผู้ร้าย, ยาเสพย์ติด เป็นจิฮาดเพื่อรักษาความสงบ
3. ศาลสูงสุดให้ความยุติธรรมแก่ผู้ถูกทำร้าย เป็นจิฮาดเพื่อความยุติธรรม
4. "สายไหมต้องรอด" ช่วยเหยื่ออาชญากรรมเป็นจิฮาดเพื่อความยุติธรรม
5. หมอปลาดูแลความบกพร่องของสงฆ์ เขาทำจิฮาดเพื่อรักษาปกป้องพุทธศาสนา
6. ตำรวจ/ทหารปราบผู้ร้ายชายแดน ทำจิฮาดรักษาความสงบและป้องกันประเทศชาติ
ที่กล่าวมานี้เป็นความหมายของคำว่า "จิฮาด" โดยสังเขป
ตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตและมนุษย์ทุกคนทำ "จิฮาด" ทุกวันในชีวิตประจำวันเพื่อมีชีวิตอยู่และการอยู่รอด
ไม่มีคำว่า "Holy War" เพราะว่า ไม่มีอะไรที่ HOLY สำหรับการสงคราม หรือ "ไม่มีสงครามศาสนาเพราะไม่มีศาสนาใดที่สนับสนุนสงคราม"
การต่อสู่ป้องกันตัวจากผู้รุกรานเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่พึงกระทำ ศาสนาที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ศาสนานั้นๆจะต้องมีระบบการป้องกันตัวจากผู้รุกราน จึงจะเรียกว่าศาสนานั้นๆสอนด้วยเหตุผลสอดคล้องกับธรรมชาติ ถ้าไม่มีชีวิตรอดแล้ว หลักคำสอนจะยืนยงเพื่อลูกเพื่อหลานหรือเผ่าพันธุ์รุ่นหลังๆไม่ได้ ศาสนานั้นก็จะหมดสิ้นไปในที่สุด
ตามธรรมชาติ “สิ่งมีชีวิตและมนุษย์ทุกคนทำจิฮาด ทุกวันในชีวิตประจำวันเพื่อมีชีวิตอยู่และการอยู่รอดของชีวิต…”
มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง อธิบายความหมายของคำว่า "จิฮาด" และชี้แจงความเข้าใจผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาชิกพันทิปทั้งมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม
ในกระทู้นี้ จิฮาดสามารถแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ๆ 3 ประเภท;
1. จิฮาดอัลนาฟส์ การต่อสู้กับใจตนเอง
2. จิฮาดเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวัน
3. จิฮาดต่อต้าน ความอยุติธรรม
1) จิฮาดอัลนาฟส์หรือ การเอาชนะใจตนเอง
จิฮาดประเภทนี้คือการ ต่อต้านความปรารถนาและตัณหาชั่วร้ายของเราเอง การควบคุมจิตใจของเราจากการทำสิ่งที่ผิดและความชั่วร้าย ถือเป็นญิฮาดที่ยิ่งใหญ่กว่า เนื่องจากเราต้องทำอยู่ทุกๆวัน เพื่อควบคุมจิตใจและตัวเราเองจากการทำสิ่งเลวร้ายจนเกิดเป็นนิสัย เป็นความพยายามทางจิตวิญญาณที่จะทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้
การชนะใจตนเอง หมายถึง การเอาชนะจิตใจฝ่ายต่ำ หรือ กิเลสตัณหา ในตัวของเราเองและ การเอาชนะ จิตใจที่ชั่ว หรือ ผิดศีลธรรม ด้วย คุณงามความดี จรรยาบรรณ หรือ จริยธรรม ที่มีคำสอนอยู่ในศาสนาทั้งหลาย คนที่สามารถเอาชนะใจตนเองได้ ต้องฝึกหัดแก้ไขนิสัย ที่ไม่ดีของตน ให้เกิดนิสัยดีขึ้นมาทดแทน นั่นคือคนที่ ชนะใจตนเอง ต้องสามารถรักษา แนวทาง แหล่งความดีที่พระเจ้าทรงโปรดปราณ นั้นก็คือจะต้องนึกถึงพระเจ้า/อัลลอฮ์ อยู่ในใจเสมอ
ความสำคัญของจิฮาดอัลนาฟส์หรือ การเอาชนะใจตนเอง:
1. ทำให้วิถีชีวิต ของตนเอง เปลี่ยนแปลง
2. ทำให้ตนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข
3. ทำให้สามารถดำรงคุณงามความดีของตนไว้ แม้ว่า สังคม หรือ เพื่อนร่วมงานของเราเป็น คนทุจริต หรือมีพฤติกรรมชั่วร้าย เราก็ไม่ตกเป็นผู้คล้อยตาม
กระแสสังคมไปได้
4. ทำให้เราสามารถ สร้างฐานะหลักฐานให้เป็น ที่พึ่งของตนเอง และ ครอบครัวตน และสังคมส่วนรวม อันหมายถึง ประเทศชาติ ของเราด้วย คนเราที่ทำ
ชั่วหรือทำผิดด้วย ประการใด ๆ ก็ดี เป็นเพราะ เขาไม่อาจเอาชนะใจตนเองได้
2) จิฮาดเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน:
คนที่ไปทำงานเพื่อหารายได้และสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิตก็ทำญิฮาดเช่นกัน เพราะพวกเขาได้เลือกวิธีฮาลาลที่ถูกต้องตามหลักอิสลาม เพื่อหารายได้ ซึ่งเรียกว่า การประกอบสัมมาชีพ แทนที่จะไปผิดทางและหาฮารอมในการใช้ชีวิต
การประกอบอาชีพที่ทำด้วยความสุจริต มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร คือมีคุณธรรมในการทำงานเลี้ยงชีพของตน ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ ผลตอบแทนจากการทำงาน อาจจะได้รับเงินจำนวนที่ดี มีความพึงพอใจ หรือในบางอาชีพแม้ไม่ได้ทำให้ร่ำรวย หรือไม่ได้เงินมากมาย แต่ว่ามีความสบายใจที่ได้ซื่อสัตย์ในอาชีพของตน
”إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُ بِالْعَدْلِ وَالْإِحْسَانِ وَإِيتَاءِ ذِي الْقُرْبَىٰ وَيَنْهَىٰ عَنِ الْفَحْشَاءِ وَالْمُنْكَرِ وَالْبَغْيِ ۚ يَعِظُكُمْ لَعَلَّكُمْ تَذَكَّرُونَ {90}
[อัลกุรอาน, 16:90] แท้จริงอัลลอฮฺบัญชาให้รักษาความยุติธรรม และทำความดี และบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และทรงห้ามปรามให้ละเว้นสิ่งลามกและสิ่งชั่วช้า และการล่วงละเมิด ทรงตักเตือนพวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้รำลึก
ในข้อนี้อัลลอฮ์สั่งให้ชาวมุสลิมทุกๆคนจะต้องรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม - ในฐานะผู้เชื่อเราต้องระวังอย่างสม่ำเสมอว่าค่าแห่งความยุติธรรมเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของศรัทธาของมุสลิม
{55:7} และชั้นฟ้านั้นพระองค์ทรงยกมันไว้สูง และทรงวางความสมดุลไว้
{55:8} เพื่อพวกเธอจะได้ไม่ฝ่าฝืนในเรื่องการรักษาความยุติธรรม
{55:9} และพวกเธอจงธํารงไว้ซึ่งความยุติธรรม ด้วยความเที่ยงธรรม และอย่าเอนเอียง
เช่นเดียวกับทุกสิ่งในโลกเราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราจะไม่ปล่อยให้ "ความอยุติธรรมชั่วร้าย" มีพลังมากกว่าความดี - เราต้องปกป้องและสนับสนุนผู้ที่ถูกกดขี่หรือทำผิดในการแสวงหาความยุติธรรม
4.. อัลลอฮ์ (พระเจ้า) ทรงเห็นและรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
{4:58} แท้จริงอัลลอฮฺบัญชาพวกเธอให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของ ๆ มัน และเมื่อพวกเธอตัดสินระหว่างผู้คน พวกเธอก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริงอัลลอฮฺทรงชี้นำพวกเธอด้วยสิ่งซึ่งดีแท้ แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงได้ยิน พระผู้ทรงเห็น
เมื่อเราต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและปกป้องผู้ถูกกดขี่โปรดจำไว้ว่านี่เป็นวิธีหนึ่งในการแสดงศรัทธาและการอุทิศตนต่ออัลลอฮ.
อัลกุรอานประกอบด้วยการเปิดเผยจากพระเจ้าถึงศาสดามูฮัมหมัดในช่วงเวลายี่สิบสามปี (610 C.E. - 632 C.E. ) 13 ปีแรก ท่านศาสดามูฮัมมัด และสังคมมุสลิม อยู่ในเมืองเกิดของท่านที่นครมักกะห์ ซึ่งท่านและพี่น้องชาวมุสลิมของท่านถูกข่มเหงอย่างรุนแรงโดยพรรคพวกของอรับบูชาเจว็ด เจ้าถิ่นของ นครมักกะห์ (ในที่นี้เรียกว่าผู้ปฏิเสธพระเจ้า/ผู้รุกรานข่มเหงสังคมมุสลิม) ในช่วงเวลานั้นชาวมุสลิมไม่ได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ผู้รุกราน ได้แต่แบกรับการข่มเหง ในที่สุดอัลลอฮ์ทรงบัญญัติสั่งให้ศาสดาและผู้ติดตาม รวมทั้งชาวมุสลิมของท่าน อพยพไปยังเมือง กรุงมะดีนะห์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 400 กิโลเมตร หนีจากการกดขี่ข่มเหงของผู้ปฏิเสธพระเจ้า
การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้รู้จักกันในชื่อฮิจราห์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมอิสลามใน กรุงมะดีนะห์ และท่านศาสดา ได้รับเสียงเรียกร้อง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่นานนักก่อนที่อรับผู้บูชาเจว็ดชาวมักกะห์จะยกทัพไปตี กรุงมะดีนะห์ เพื่อทำสงครามบุกรุกชาวมุสลิมและทำลายรัฐอิสลามแห่งกรุงมะดีนะห์ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันในนาม สงครามบาดัร จากบัญญัติที่ 2:190-2:194 เป็นคำสั่งแรกจากพระเจ้าถึงชาวมุสลิมเพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสงครามในการป้องกันบ้านเกิดและความศรัทธาของชาวมุสลิมในกรุงมะดินะห์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บัญญัติที่ 2:190 พระเจ้าสั่งให้ชาวมุสลิมต่อสู้ผู้รุกราน แต่ห้ามมุสลิมไม่ให้ ละเมิดในการต่อสู้เพื่อปกป้องกรุงมะดินะห์ โดยไม่หวังที่จะยึดหรือเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้รุกรานในระหว่างการต่อสู้ "มุสลิมได้รับคำสั่งว่าผลประโยชน์ทางวัตถุไม่ควรเป็นแรงจูงใจสำหรับการต่อสู้ของชาวมุสลิม ห้ามการใช้ อาวุทธ ทำลายล้างผู้ที่ไม่ได้เป็นศัตรูต่อศาสนาอิสลาม ความศรัทธาที่แท้จริงคือผู้ที่ไม่ควรหันไปใช้วิธีการที่ไร้ยางอาย
การละเมิดในข้อนี้ คือการฝ่าฝืนข้อห้ามในการการจับอาวุธทำร้ายผู้หญิงและเด็ก คนชราและผู้บาดเจ็บ, ห้ามการทำลาย ละเลงศพของศัตรู, ห้ามการ ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และปศุสัตว์ และ ห้ามการกระทำอื่น ๆ ที่คล้ายกันกับความอยุติธรรมและความโหดร้าย ท่านศาสดาห้ามกระการที่ผิดศีลธรรมทั้งหมด
ความตั้งใจที่แท้จริงของบัญญัติ 2:190 คือการเน้นว่าการต่อสู้ควรจะกระทำเฉพาะเหตุการณ์ที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเฉพาะในสถานะการที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสู้เท่านั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่กล่าวมานี้เป็นความหมายของคำว่า "จิฮาด" โดยสังเขป