เปลี่ยนเถอะ เชื่อแอด! 4P ไม่ใช่ไม่ดี แต่แค่ "ดีไม่พอ" แล้วในยุคดิจิทัล
ในวงการการตลาด หลายคนคุ้นเคยกับแนวคิดการตลาดแบบ 4P มานาน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์
(Product), ราคา
(Price), สถานที่
(Place) และการส่งเสริมการขาย
(Promotion) ซึ่งใช้เป็นหลักให้กับธุรกิจทั่วโลก แต่ยุคสมัยเปลี่ยน ผู้บริโภคเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน แนวทางดั้งเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
ก้าวสู่ยุคดิจิทัล กับ การตลาดแบบ 7P ที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ความซับซ้อนของธุรกิจยุคใหม่ เพิ่มเติมจาก 4P อีก 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ บุคลากร
(People), กระบวนการ
(Process) และ
(Physical Evidence)
ทำไมต้อง 7P?
👍
เข้าใจลูกค้าลึกซึ้ง: เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า มอบประสบการณ์ส่วนตัว สร้างความภักดีต่อแบรนด์
👍
เพิ่มประสิทธิภาพ: กระบวนการทำงานที่รวดเร็ว ราบรื่น ตอบสนองลูกค้าได้ทันใจ
👍
สร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ: ดีไซน์เว็บไซต์ UI ที่ดี นำเสนอสินค้า/บริการดึงดูดใจ
ลองนึกภาพร้านค้าปลีกออนไลน์แบบ 4P จะเน้นแค่สินค้า ราคา ช่องทางขาย โปรโมชัน ซึ่งอาจมองข้ามแง่มุมสำคัญอย่าง "บริการลูกค้า" และ "ประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์"
แต่ถ้าใช้ 7P จะยกระดับธุรกิจอย่างไร ?
👉
People: พนักงานตอบสนองรวดเร็ว ให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี
👉
Process: จัดส่งสินค้าตรงเวลา ลูกค้าพึงพอใจ กลับมาซื้อซ้ำ
👉
Physical Evidence: เว็บไซต์ดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
แต่ถ้ายังนึกภาพไม่ออกแอดจะชำแหละให้ดูแบบเข้าใจง่ายๆ
ตัวอย่างของร้านค้าแฟชั่นบนโลกออนไลน์ ที่จะช่วยแสดง
ความแตกต่างระหว่างแนวทางการตลาด 4P และ 7P ในยุคดิจิทัลกัน
4P Marketing Mix:
👉สินค้า (Product): ทางร้านเน้นไปที่การนำเสนอเสื้อผ้าและเครื่องประดับตามกระแสนิยมที่หลากหลาย
👉ราคา (Price): ใช้กลยุทธ์ราคาแบบแข่งขันได้ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่คำนึงเรื่องงบประมาณ
👉สถานที่ (Place): การจัดจำหน่ายทำผ่านเว็บไซต์สำหรับซื้อขายสินค้า (e-commerce) ของร้าน และตลาดออนไลน์อื่น ๆ
👉การโปรโมท (Promotion): การทำตลาดจะวนอยู่กับแคมเปญบนโซเชียลมีเดีย จดหมายข่าวทางอีเมล และการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อกระตุ้นยอดขาย
👍 ข้อดี: มุ่งเน้นอย่างชัดเจนที่ตัวสินค้าและกิจกรรมโปรโมท ช่วยให้เข้าถึงตลาดได้อย่างรวดเร็ว
👎 ข้อเสีย: ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า และคุณภาพการบริการในระดับจำกัด ซึ่งอาจนำไปสู่ความพึงพอใจและโอกาสในการรักษาลูกค้าที่ลดลง
7P Marketing Mix:
👉สินค้า (Product): นอกจากความหลากหลายของสินค้าแล้ว ทางร้านยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า ความยั่งยืน และการมี 👉สินค้าที่เหมาะกับลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจประเด็นทางสังคม
👉ราคา (Price): แม้จะคงกลยุทธ์ราคาแบบแข่งขันได้ แต่ทางร้านมีการนำระบบสะสมคะแนน และการปรับราคาตามพฤติกรรมของแต่ละลูกค้าเข้ามาด้วย
👉สถานที่ (Place): ร้านค้าปรับปรุงประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ โดยลงทุนพัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้ง่าย ปลอดภัย และมีระบบการจ่ายเงินที่สะดวก เพื่อให้ลูกค้าซื้อของได้อย่างราบรื่น
👉การโปรโมท (Promotion): นอกเหนือจากช่องทางการตลาดแบบเดิมๆ แล้ว ทางร้านยังใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านเนื้อหา (content marketing) การรีวิวจากผู้ใช้งาน และการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่จริงใจให้กับแบรนด์
👉บุคลากร (People): ทางร้านเน้นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ด้วยระบบแนะนำสินค้าส่วนบุคคล การบริการลูกค้าที่ตอบสนองไว และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำ
👉กระบวนการ (Process): ร้านค้าใช้วิธีการจัดการออเดอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ส่งสินค้าได้ตรงเวลา มีระบบคืนสินค้าสะดวก และการสื่อสารกับลูกค้าที่โปร่งใสตลอดทุกขั้นตอน
👉ด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) :ร้านค้าลงทุนในเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ให้ดึงดูด มีรูปภาพสินค้าคุณภาพสูง และบรรจุภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การชอปปิ้งโดยรวม และเสริมสร้างตัวตนของแบรนด์
👍ข้อดี: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ความภักดีต่อแบรนด์ และการบอกต่อในเชิงบวก ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ส่วนบุคคล กระบวนการที่รวดเร็ว และการนำเสนอแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
👎ข้อเสีย: ต้องใช้ทรัพยากรและการลงทุนเพิ่มเติมในการยกระดับทุกแง่มุมของประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานช่วงแรก
เนื้อหาผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ ส่วนคิดเห็นยังไง Comment ได้เลยครับ
ขอบคุณครับ
เปลี่ยนเถอะ เชื่อแอด! 4P ไม่ใช่ไม่ดี แต่แค่ "ดีไม่พอ" ในยุคดิจิทัล
ในวงการการตลาด หลายคนคุ้นเคยกับแนวคิดการตลาดแบบ 4P มานาน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product), ราคา (Price), สถานที่ (Place) และการส่งเสริมการขาย (Promotion) ซึ่งใช้เป็นหลักให้กับธุรกิจทั่วโลก แต่ยุคสมัยเปลี่ยน ผู้บริโภคเปลี่ยน พฤติกรรมเปลี่ยน แนวทางดั้งเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
ก้าวสู่ยุคดิจิทัล กับ การตลาดแบบ 7P ที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ความซับซ้อนของธุรกิจยุคใหม่ เพิ่มเติมจาก 4P อีก 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ บุคลากร (People), กระบวนการ (Process) และ (Physical Evidence)
ทำไมต้อง 7P?
👍 เข้าใจลูกค้าลึกซึ้ง: เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า มอบประสบการณ์ส่วนตัว สร้างความภักดีต่อแบรนด์
👍 เพิ่มประสิทธิภาพ: กระบวนการทำงานที่รวดเร็ว ราบรื่น ตอบสนองลูกค้าได้ทันใจ
👍 สร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ: ดีไซน์เว็บไซต์ UI ที่ดี นำเสนอสินค้า/บริการดึงดูดใจ
ลองนึกภาพร้านค้าปลีกออนไลน์แบบ 4P จะเน้นแค่สินค้า ราคา ช่องทางขาย โปรโมชัน ซึ่งอาจมองข้ามแง่มุมสำคัญอย่าง "บริการลูกค้า" และ "ประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์"
แต่ถ้าใช้ 7P จะยกระดับธุรกิจอย่างไร ?
👉 People: พนักงานตอบสนองรวดเร็ว ให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี
👉 Process: จัดส่งสินค้าตรงเวลา ลูกค้าพึงพอใจ กลับมาซื้อซ้ำ
👉 Physical Evidence: เว็บไซต์ดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
แต่ถ้ายังนึกภาพไม่ออกแอดจะชำแหละให้ดูแบบเข้าใจง่ายๆ
ตัวอย่างของร้านค้าแฟชั่นบนโลกออนไลน์ ที่จะช่วยแสดงความแตกต่างระหว่างแนวทางการตลาด 4P และ 7P ในยุคดิจิทัลกัน
4P Marketing Mix:
👉สินค้า (Product): ทางร้านเน้นไปที่การนำเสนอเสื้อผ้าและเครื่องประดับตามกระแสนิยมที่หลากหลาย
👉ราคา (Price): ใช้กลยุทธ์ราคาแบบแข่งขันได้ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่คำนึงเรื่องงบประมาณ
👉สถานที่ (Place): การจัดจำหน่ายทำผ่านเว็บไซต์สำหรับซื้อขายสินค้า (e-commerce) ของร้าน และตลาดออนไลน์อื่น ๆ
👉การโปรโมท (Promotion): การทำตลาดจะวนอยู่กับแคมเปญบนโซเชียลมีเดีย จดหมายข่าวทางอีเมล และการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์เพื่อกระตุ้นยอดขาย
👍 ข้อดี: มุ่งเน้นอย่างชัดเจนที่ตัวสินค้าและกิจกรรมโปรโมท ช่วยให้เข้าถึงตลาดได้อย่างรวดเร็ว
👎 ข้อเสีย: ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า และคุณภาพการบริการในระดับจำกัด ซึ่งอาจนำไปสู่ความพึงพอใจและโอกาสในการรักษาลูกค้าที่ลดลง
7P Marketing Mix:
👉สินค้า (Product): นอกจากความหลากหลายของสินค้าแล้ว ทางร้านยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า ความยั่งยืน และการมี 👉สินค้าที่เหมาะกับลูกค้าทุกกลุ่มเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจประเด็นทางสังคม
👉ราคา (Price): แม้จะคงกลยุทธ์ราคาแบบแข่งขันได้ แต่ทางร้านมีการนำระบบสะสมคะแนน และการปรับราคาตามพฤติกรรมของแต่ละลูกค้าเข้ามาด้วย
👉สถานที่ (Place): ร้านค้าปรับปรุงประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ โดยลงทุนพัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้ง่าย ปลอดภัย และมีระบบการจ่ายเงินที่สะดวก เพื่อให้ลูกค้าซื้อของได้อย่างราบรื่น
👉การโปรโมท (Promotion): นอกเหนือจากช่องทางการตลาดแบบเดิมๆ แล้ว ทางร้านยังใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านเนื้อหา (content marketing) การรีวิวจากผู้ใช้งาน และการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อเสริมภาพลักษณ์ที่จริงใจให้กับแบรนด์
👉บุคลากร (People): ทางร้านเน้นเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ด้วยระบบแนะนำสินค้าส่วนบุคคล การบริการลูกค้าที่ตอบสนองไว และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำ
👉กระบวนการ (Process): ร้านค้าใช้วิธีการจัดการออเดอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ส่งสินค้าได้ตรงเวลา มีระบบคืนสินค้าสะดวก และการสื่อสารกับลูกค้าที่โปร่งใสตลอดทุกขั้นตอน
👉ด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence) :ร้านค้าลงทุนในเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ให้ดึงดูด มีรูปภาพสินค้าคุณภาพสูง และบรรจุภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การชอปปิ้งโดยรวม และเสริมสร้างตัวตนของแบรนด์
👍ข้อดี: เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ความภักดีต่อแบรนด์ และการบอกต่อในเชิงบวก ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ส่วนบุคคล กระบวนการที่รวดเร็ว และการนำเสนอแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
👎ข้อเสีย: ต้องใช้ทรัพยากรและการลงทุนเพิ่มเติมในการยกระดับทุกแง่มุมของประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งอาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานช่วงแรก
เนื้อหาผิดพลาดยังไงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ ส่วนคิดเห็นยังไง Comment ได้เลยครับ
ขอบคุณครับ