Civil War: วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด
กำกับและเขียนบทโดย Alex Garland
สวัสดีครับ ! เนื่องมาจากเราก็เป็นแฟนคลับ A24 จนลูกเพจบางคนแซวว่า "ติ่งเกินไปแล้ว 😂" วันนี้เราจึงพลาดไม่ได้ที่จะมารีวิวหนังเรื่องใหม่
Civil War (2024)
ยอมรับว่า เป็นหนังในปีนี้ที่คุณภาพโหดมาก แถมมีโอกาสจองออสการ์ไปหลายรางวัล
Civil war | วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด - Official Trailer
ความรู้สึกหลังชม
- เกริ่นก่อนว่า แอดมินเคยผ่านตางานของ
Alex Garland มาบ้าง อย่าง
Ex Machina (2014) และ
Anihilation (2018)
งานของ Alex เด่นที่การตีความ เล่าแนวคิดต่าง ๆ ด้วยความฉลาดแยบยล และเล่นกับความ Thriller ได้ดีเยี่ยม ใน Civil War ก็มีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ด้วย โดยอารมณ์ Drama Thriller จะเป็นพระเอกอย่างแท้จริงของหนังเรื่องนี้ทีเดียว
- จุดแรกที่น่าชม คือ
"บทภาพยนตร์"
Civil War เป็นหนังที่มีบทเนี้ยบมาก ทั้งในแง่การดีไซน์โลก what-if ในเคสที่สหรัฐ ฯ เกิดสงครามภายในประเทศ และการสร้างบทที่มีความน่าสนใจอัดแน่นด้วยอารมณ์อันเข้มข้นตลอดทั้งเรื่อง
Alex ดีไซน์โลก what-if ได้อย่างสมจริงน่าหวาดหวั่น ผ่านประเด็นหลัก
"โลกที่แตกแยก โลกแห่งความขัดแย้ง และไฟสงคราม"
ภาพที่เกิดขึ้นในเรื่อง คือ
การจำลองภาพที่รัฐบาลกลางของสหรัฐ ฯ ได้กลายเป็นเผด็จการ ส่งผลให้รัฐที่อยู่ในประเทศไม่พอใจ ทำการแยกตัวออกจากรัฐบาลหลัก
ประเทศแตกแยกและประกอบไปด้วยกองกำลังหลายฝ่ายควบคุมพื้นที่ เช่น
ขั้วรัฐบาลกลาง (Loyalist states) ขั้วกองกำลังตะวันตก (Western Forces) ขั้วพันธมิตรฟลอริดา (Florida Alliance) และ
ขั้วกองทัพประชาชนใหม่ (New People's Army - กองกำลังคอมมิวนิสต์)
ขั้วต่าง ๆ ทำสงครามห้ำหั่นกัน มุ่งหมายที่จะล้มรัฐบาลกลาง สหรัฐ ฯ กลายเป็นรัฐล้มเหลว ทุกคนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เหลือความมั่นคงใด ๆ ภายในประเทศ
ดังนั้นประเด็นหลัก จึงชี้ไปยัง
"สภาพสังคมที่เกิดความเห็นต่าง" กันสุดขีด ภาพที่ออกมาน่ากลัวเกินคาดคิด แถมสอดรับกับสถานการณ์โลกตอนนี้ที่กำลังเผชิญกับความสุ่มเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics)
หลายประเทศมีการผงาดขึ้นของผู้นำฝ่ายขวา กลุ่มหัวรุนแรง ขณะที่เกิดสงครามหลายพื้นที่บนโลก เช่น สงครามรัสเซีย - ยูเครน, สงครามอิสราเอล - ปาเลสไตน์, สงครามชาติพันธุ์เมียนมาร์, ความขัดแย้งจีน - ไต้หวัน, ความขัดแย้งเกาหลีเหนือ - ใต้
ต้องชมว่า ไอเดียที่หนังจำลอง "สร้างสรรค์จริง" และเป็นอะไรที่น่าคิดว่า "หากยุคทมิฬเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าที่ใดก็ตาม เราจะอยู่กันอย่างไรในสังคมไร้ขื่อแปแบบนี้"
- หนังเล่าเรื่องต่าง ๆ ผ่านสายตาของ "ลี" ช่างภาพสงครามชื่อดัง ที่เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อทำข่าวบันทึกภาพความขัดแย้ง พร้อมกับ "โจเอล", "แซมมี่" และ"เจสซี่" วัยรุ่นสาวไฟแรงที่อยากตามรอยลีเป็นช่างภาพสงคราม สไตล์ Road Movie
ส่วนตัวรู้สึกชอบพัฒนาการของตัวละคร
"ลี" และ
"เจสซี่" มาก เราได้เห็นพัฒนาการจากของ
"ลี" จากมาดหญิงแกร่ง มีมุมอ่อนโยนมากขึ้นหลังจากได้รู้จักกับเจสซี่ ขณะที่
"เจสซี่" ก็ได้ฝึกปรือฝีมือการถ่ายภาพผ่านคำแนะนำของลีและผองเพื่อน
ว่าไปแล้ว ก็มีฟีลลิ่งเหมือนตอนดู
Logan (2017) ความสัมพันที่เกิดขึ้นของแต่ละตัวละครมีพัฒนาการรวดเร็วจากการผ่านความลำบากในสงคราม
ที่สำคัญยังแนบแน่นยิ่งกว่าสายเลือดอีก
- สำหรับการกำกับองค์ประกอบโดยภาพรวม จัดว่าเป็นงานชั้น
"เยี่ยม" เดือดและสะเทือนใจ
งานภาพสวยระดับ 5 ดาว (ชอบซีนขับรถผ่านไฟป่ามาก สวยสุด ๆ) การโคลสอัพหน้าสุดประณีต เพื่อแสดงการสื่อสารด้วยแววตา งานตัดต่อที่โหด สร้างอารมณ์ระทึกในช่วงปะทะ ผสมกับการผ่อนอารมณ์ลงในช่วงเดินทางปกติ
ส่วน
"เสียงประกอบ" อันนี้แทบอยากจะยกให้ MVP รายละเอียดเต็มไปด้วยความสมจริง ถ้าไม่ได้ตั้งตัว รับรองว่ามี "ตกใจ" แน่นอนกับเสียงปืนและระเบิดที่ลั่นออกมาผ่านลำโพง
ดังนั้น ขอยกนิ้วให้กับ "การสร้างซีนสงคราม" หนังทำได้ระทึกแบบหูดับตับไหม้ ยิ่งถ้าใครชอบความสมจริง ฉากต่อสู้ช่วงท้ายเรื่อง เป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ หนังทำได้เนียนเหมือนเราเดินเกาะติดกับนักข่าวอยู่ในสมรภูมิจริง
- พาร์ทนักแสดง ไม่มีจุดติใด ๆ นักแสดงทั้งสี่ที่รับบท
"ลี" (Kirsten Dunst), "โจเอล" (Wagner Moura), "แซมมี่" (Stephen McKinley Henderson) และ
"เจสซี่" (Cailee Spaeny) แสดงได้เยี่ยม
สรุป
เป็นหนังในปีนี้ที่
"มีโอกาสสูง" ในการชิงออสการ์หลายรางวัล (และอาจจะ
"เต็ง" ในบางสาขาด้วย) ไม่ว่าจะภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทยอดเยี่ยม สาขานักแสดงนำ สมทบ สาขาตัดต่อ สาขางานภาพ งานเสียง
ส่วนตัวมองว่า มีโอกาสไปถึง
"ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" เพราะประเด็นในเรื่องมีอิมแพ็คต่อสังคมสหรัฐ ฯ แถมสหรัฐ ฯ ตอนนี้ก็เผชิญกับความท้าทายหลายอย่างที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความแตกแยกได้ (แม้กระทั่งมีม็อบทรัมป์ที่บุกทำเนียบก็มีมาแล้ว)
ตัวหนังจะโฟกัสผ่านสายตาของ
"นักข่าวสงคราม" เป็นหลัก หากใครที่ตั้งใจมาดูหนังสงครามเต็ม ๆ อาจจะไม่มีอย่างที่คาดหวัง 100% แต่แค่บรรยากาศโดยรวม ก็ทำได้ระดับ 5 ดาวแล้ว
นี่จึงเป็นหนังต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์สงครามชั้นดีที่ไปไกลกว่า "ภาพหนังสงคราม" ทั่วไป นอกจากหนังจะเล่าความโหดร้ายของสงครามกลางเมืองแล้ว ยังเล่าสภาพจิตใจคน ความรุนแรง และภาพของสังคมที่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ถ้าแนะนำระบบที่ควรดู แนะนำให้ดูใน IMAX เพราะ งานภาพและงานเสียงเป็นอีกพระเอกของหนังเรื่องนี้ อย่าพลาดกันนะครับ !
____________________________________
ป.ล. 1 ไม่แนะนำเรื่องนี้กับคนขวัญอ่อน ซึมเศร้า PSTD หรือมีความหลังฝังใจกับความรุนแรง ในหนังมีฉากรุนแรง 18+ กระทบกระเทือนใจพอสมควร บางคนอาจสติแตกได้
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
Civil War (2024) - วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด เมื่อแผ่นดินสหรัฐ ฯ แตกออกเป็นเสี่ยง
ยอมรับว่า เป็นหนังในปีนี้ที่คุณภาพโหดมาก แถมมีโอกาสจองออสการ์ไปหลายรางวัล
งานของ Alex เด่นที่การตีความ เล่าแนวคิดต่าง ๆ ด้วยความฉลาดแยบยล และเล่นกับความ Thriller ได้ดีเยี่ยม ใน Civil War ก็มีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ด้วย โดยอารมณ์ Drama Thriller จะเป็นพระเอกอย่างแท้จริงของหนังเรื่องนี้ทีเดียว
Civil War เป็นหนังที่มีบทเนี้ยบมาก ทั้งในแง่การดีไซน์โลก what-if ในเคสที่สหรัฐ ฯ เกิดสงครามภายในประเทศ และการสร้างบทที่มีความน่าสนใจอัดแน่นด้วยอารมณ์อันเข้มข้นตลอดทั้งเรื่อง
Alex ดีไซน์โลก what-if ได้อย่างสมจริงน่าหวาดหวั่น ผ่านประเด็นหลัก "โลกที่แตกแยก โลกแห่งความขัดแย้ง และไฟสงคราม"
ภาพที่เกิดขึ้นในเรื่อง คือ การจำลองภาพที่รัฐบาลกลางของสหรัฐ ฯ ได้กลายเป็นเผด็จการ ส่งผลให้รัฐที่อยู่ในประเทศไม่พอใจ ทำการแยกตัวออกจากรัฐบาลหลัก
ขั้วต่าง ๆ ทำสงครามห้ำหั่นกัน มุ่งหมายที่จะล้มรัฐบาลกลาง สหรัฐ ฯ กลายเป็นรัฐล้มเหลว ทุกคนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เหลือความมั่นคงใด ๆ ภายในประเทศ
หลายประเทศมีการผงาดขึ้นของผู้นำฝ่ายขวา กลุ่มหัวรุนแรง ขณะที่เกิดสงครามหลายพื้นที่บนโลก เช่น สงครามรัสเซีย - ยูเครน, สงครามอิสราเอล - ปาเลสไตน์, สงครามชาติพันธุ์เมียนมาร์, ความขัดแย้งจีน - ไต้หวัน, ความขัดแย้งเกาหลีเหนือ - ใต้
ต้องชมว่า ไอเดียที่หนังจำลอง "สร้างสรรค์จริง" และเป็นอะไรที่น่าคิดว่า "หากยุคทมิฬเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าที่ใดก็ตาม เราจะอยู่กันอย่างไรในสังคมไร้ขื่อแปแบบนี้"
ว่าไปแล้ว ก็มีฟีลลิ่งเหมือนตอนดู Logan (2017) ความสัมพันที่เกิดขึ้นของแต่ละตัวละครมีพัฒนาการรวดเร็วจากการผ่านความลำบากในสงคราม
ที่สำคัญยังแนบแน่นยิ่งกว่าสายเลือดอีก
งานภาพสวยระดับ 5 ดาว (ชอบซีนขับรถผ่านไฟป่ามาก สวยสุด ๆ) การโคลสอัพหน้าสุดประณีต เพื่อแสดงการสื่อสารด้วยแววตา งานตัดต่อที่โหด สร้างอารมณ์ระทึกในช่วงปะทะ ผสมกับการผ่อนอารมณ์ลงในช่วงเดินทางปกติ
ส่วน "เสียงประกอบ" อันนี้แทบอยากจะยกให้ MVP รายละเอียดเต็มไปด้วยความสมจริง ถ้าไม่ได้ตั้งตัว รับรองว่ามี "ตกใจ" แน่นอนกับเสียงปืนและระเบิดที่ลั่นออกมาผ่านลำโพง
ดังนั้น ขอยกนิ้วให้กับ "การสร้างซีนสงคราม" หนังทำได้ระทึกแบบหูดับตับไหม้ ยิ่งถ้าใครชอบความสมจริง ฉากต่อสู้ช่วงท้ายเรื่อง เป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ หนังทำได้เนียนเหมือนเราเดินเกาะติดกับนักข่าวอยู่ในสมรภูมิจริง
ส่วนตัวมองว่า มีโอกาสไปถึง "ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" เพราะประเด็นในเรื่องมีอิมแพ็คต่อสังคมสหรัฐ ฯ แถมสหรัฐ ฯ ตอนนี้ก็เผชิญกับความท้าทายหลายอย่างที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความแตกแยกได้ (แม้กระทั่งมีม็อบทรัมป์ที่บุกทำเนียบก็มีมาแล้ว)
ตัวหนังจะโฟกัสผ่านสายตาของ "นักข่าวสงคราม" เป็นหลัก หากใครที่ตั้งใจมาดูหนังสงครามเต็ม ๆ อาจจะไม่มีอย่างที่คาดหวัง 100% แต่แค่บรรยากาศโดยรวม ก็ทำได้ระดับ 5 ดาวแล้ว
นี่จึงเป็นหนังต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์สงครามชั้นดีที่ไปไกลกว่า "ภาพหนังสงคราม" ทั่วไป นอกจากหนังจะเล่าความโหดร้ายของสงครามกลางเมืองแล้ว ยังเล่าสภาพจิตใจคน ความรุนแรง และภาพของสังคมที่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ถ้าแนะนำระบบที่ควรดู แนะนำให้ดูใน IMAX เพราะ งานภาพและงานเสียงเป็นอีกพระเอกของหนังเรื่องนี้ อย่าพลาดกันนะครับ !