หลังจากที่ประสบปัญหาเรื่องงานในเมืองใหญ่ แม่ของซังวูตัดสินใจพาลูกชายวัย 7 ขวบ กลับไปให้ยายในชนบทเลี้ยงดูชั่วคราว
โดยหวังว่าถ้าตัวเองหางานใหม่และเริ่มอยู่ตัวได้เมื่อไหร่จะกลับมารับลูกกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...
แน่นอนว่าซังวูไม่พอใจสักนิดกับชีวิตในที่ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
และยิ่งอยู่กับยายแก่ๆที่เป็นใบ้ (แต่หูไม่หนวก) ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์..
บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปา จะทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง..
เด็กชายโกรธแม่ที่ปล่อยทิ้งเขาไว้กับยาย และเริ่มออกฤทธิ์กับหญิงชรา
คุณยายของซังวูพยายามที่จะเลี้ยงดูหลานชายอย่างดี แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างด้วยฐานะที่ยากจน
ประกอบกับการที่ตัวเธอเป็นใบ้ ทำให้การสื่อสารกับเด็กชายเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ
ตรงกันข้ามกับซังวูที่เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปซะทุกอย่าง หาว่ายายเป็นคนปัญญาอ่อน
คอยกลั่นแกล้งคุณยาย รวมทั้งแอบของคุณยายเอาไปซ่อน ทำลายข้าวของ เขียนภาพบนผนังบ้าน..
แต่แน่นอนว่าคุณยายไม่เคยโกรธเคืองหลานชายคนนี้เลย
The Way Home (집으로...) ผลงานการเขียนบทและกำกับของ Lee Jeong-hyang
ภาพยนตร์เกาหลีว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนต่างวัยระหว่างหลานชายวัย 7 ขวบและคุณยายวัย 78
ความต่างเรื่องของวัยไม่พอ ยังแตกต่างเรื่องของความเป็นอยู่ อีกฝ่ายมาจากในเมืองใหญ่อย่างโซลสถานที่ที่มีความเจริญทุกอย่าง
ขณะที่คุณยายอยู่ในชนบท ซึ่งไม่เข้าใจถึงชีวิตคนเมืองเช่นกัน
ย้อนมาดูสังคมไทยบ้านเรา ในต่างจังหวัดเป็นสังคมที่ความสัมพันธ์ของคนเป็นหลานมักจะผูกพันกับปู่ย่าตายายมากกว่าพ่อแม่..
นั่นเพราะว่า พ่อแม่เวลาพอมีลูกเมื่อไหร่ก็มักจะเอาลูกกลับไปให้คนแก่ที่บ้านเลี้ยงดูเสมอๆ
ส่วนตัวเองก็มาทำงานในเมืองและคอยส่งเงินกลับมาให้เป็นครั้งคราว มักจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น
นั่นทำให้ความผูกพันระหว่างตัวเด็กกับปู่ย่าตายายในบ้านเรามีมาก...(ความสัมพันธ์แบบข้าม Gen ไป 1 รุ่น) หนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน
เพียงแต่ซังวูในเรื่องนี้ โดนหลอกให้มา อารมณ์คือพามาทิ้งล่ะครับ
ดังนั้นเด็กในเมืองคนนึงอยู่ดีดีต้องมาจมอยู่ในที่ที่เหมือนเมืองประหลาด
สิ่งอำนวยความสะดวกอะไรก็ไม่มีสักอย่างใครจะไปทนไหว มิหน้ำซ้ำเขายังต้องอยู่กับหญิงแก่ที่ไม่เคยรู้จักอะไรมาก่อน
แม้ว่าเธอผู้นั้นจะเป็นยายของตนก็ตาม...
คุณยายเป็นผู้หญิงใจดีมากครับ แต่ไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองทำไมถึงเป็นคนแบบนั้นไปซะได้
อารมณ์คงเหมือนกับคนที่ไม่ยากจะอยู่ในที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้ และพยายามถีบตัวหวังจะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวลำบากเข้าตาจน ก็หวนกลับมานึกถึงแม่ตัวเอง มีปัญหาก็ให้แม่ช่วยเหลือ นั่นคือการให้ช่วยเลี้ยงหลานให้ที...
หนังช่วยให้เราเห็นถึงช่องว่างต่างๆที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นไปอย่างยากลำบาก
ก่อนที่จะมีจุดเปลี่ยนสำคัญและนั่นทำให้ซังวูได้รับรู้ถึงความรักที่หญิงชรามีให้กับตน
ความรักที่บริสุทธิ์ในแบบที่ตัวซังวูไม่เคยจากผู้เป็นแม่ของตัวเอง
(แม่ซังวูคิดแต่การซื้อของเล่นให้กับลูกชาย แต่ละเลยในเรื่องการแสดงความรู้สึก)
นี่คือภาพยนตร์เรียกน้ำตาระดับตำนานของหลายๆท่าน ชนิดที่ผมดูแค่รอบเดียวแล้วบอกกับตัวเองเลยว่า พอ ..
ตรูจะไม่ดูหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ดีไม่ได้เรื่องแต่อย่างใด ในทางกลับกัน มันสะเทือนใจยิ่งนัก..
หนังเกาหลียุคต้น 2000 ทำหนังดราม่าแต่ละเรื่องนี่น้ำตาไหลเป็นวรรคเป็นเวรดีแท้... ยิ่งกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็มันยิ่งอินหนัก ดูไปร้องไห้ไป
คุณยายต้องลำบากลำบนขนาดไหนเพื่อที่จะมาดูแลหลานชายคนนี้
ขณะเดียวกันไอ้เด็กเวรนี่ก็น่าถีบเหลือเกิน.. เล่นได้เปรตอย่างยิ่ง (ผมเชื่อว่าหลายคนคิดแบบผม)
ขนาดแค่เขียนอยู่นี่ยังน้ำตาจะไหล คิดถึงยาย.. ยายผมเสียไปตอนผมอายุได้ 10 ขวบ
ถึงแม้จะนานแต่ความทรงจำทุกอย่างยังแจ่มชัด เวลายายนอนผมชอบเอานิ้วไปจิ้มใส่อุ้งมือของยาย
แล้วยายก็จะรู้สึกตัวทันที จับนิ้วผมแน่นไม่ปล่อย...
ยายชอบสูบยานัตถ์ ชอบเคี้ยวหมาก ปากจะสีแดงเหมือนเลือดเสมอ แกก็จะชอบอ้าปากร้องแฮร่ๆ แหย่ให้เรากลัว..
ทุกวันนี้แม้ว่าคุณยายจะจากผมไปนานแล้ว แต่ตัวตนของยายก็ปรากฎชัดเจนในตัวของคุณแม่ผมในปัจจุบัน
แม่ผมแก่แล้วในเวลานี้ถึงจะไม่ได้เคี้ยวหมากและสูบยานัตถ์ แต่ก็มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับคุณยาย..
นั่นทำให้ผมเข้าใจในประโยคนึงที่เคยได้ยินว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากไปแต่ตัวตนของเราไม่ได้จากไปไหน ส่วนนึงของเรายังจะคงอยู่ในตัวตนของอีกคนตลอดไป...
จากยายสู่แม่.. และในอนาคตความเป็นตัวตนของแม่ส่วนนึงก็จะมาที่ผม
แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดแต่จริงๆแล้วพวกเราไม่เคยจากกันไปไหนเลย ในหัวใจ... ในความทรงจำเรายังอยู่ด้วยกันเสมอ
ปิดท้ายด้วยคลิปของ Yoo Seung-ho นักแสดงในบทของซังวู หลังเวลาผ่านไปอีก 6 ปี เขาโตขึ้นเป็นวัยรุ่น
และได้กลับมาพบกับ Kim Eul Boon นักแสดงที่รับบทคุณยายอีกครั้ง เป็นภาพที่ประทับใจมาก
แม้ว่าปัจจุบันคุณยายจะจากพวกเราไปแล้วก็ตาม.......
สงกรานต์นี้หากใครมีโอกาส กลับบ้านนะครับ กลับไปหาคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย
ท่านรอเราอยู่ที่บ้าน รอเรากลับไปหา ย้อนเวลาไปเป็นเด็กเล็กๆอีกครั้งในสายตาพวกท่าน...
ช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านี้อยู่กับเราไม่นานหรอกครับ รักษาช่วงเวลาเหล่านั้นไว้
และทำทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันให้มีค่าที่สุดนะครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Way Home (2002) หลาน..ยาย (คุณยายผม..ดีที่สุดในโลก) ==
หลังจากที่ประสบปัญหาเรื่องงานในเมืองใหญ่ แม่ของซังวูตัดสินใจพาลูกชายวัย 7 ขวบ กลับไปให้ยายในชนบทเลี้ยงดูชั่วคราว
โดยหวังว่าถ้าตัวเองหางานใหม่และเริ่มอยู่ตัวได้เมื่อไหร่จะกลับมารับลูกกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...
แน่นอนว่าซังวูไม่พอใจสักนิดกับชีวิตในที่ที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้
และยิ่งอยู่กับยายแก่ๆที่เป็นใบ้ (แต่หูไม่หนวก) ยิ่งทำให้เขาไม่สบอารมณ์..
บ้านที่ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปา จะทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง..
เด็กชายโกรธแม่ที่ปล่อยทิ้งเขาไว้กับยาย และเริ่มออกฤทธิ์กับหญิงชรา
คุณยายของซังวูพยายามที่จะเลี้ยงดูหลานชายอย่างดี แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างด้วยฐานะที่ยากจน
ประกอบกับการที่ตัวเธอเป็นใบ้ ทำให้การสื่อสารกับเด็กชายเป็นไปอย่างยากลำบากยิ่ง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ
ตรงกันข้ามกับซังวูที่เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปซะทุกอย่าง หาว่ายายเป็นคนปัญญาอ่อน
คอยกลั่นแกล้งคุณยาย รวมทั้งแอบของคุณยายเอาไปซ่อน ทำลายข้าวของ เขียนภาพบนผนังบ้าน..
แต่แน่นอนว่าคุณยายไม่เคยโกรธเคืองหลานชายคนนี้เลย
The Way Home (집으로...) ผลงานการเขียนบทและกำกับของ Lee Jeong-hyang
ภาพยนตร์เกาหลีว่าด้วยความสัมพันธ์ของคนต่างวัยระหว่างหลานชายวัย 7 ขวบและคุณยายวัย 78
ความต่างเรื่องของวัยไม่พอ ยังแตกต่างเรื่องของความเป็นอยู่ อีกฝ่ายมาจากในเมืองใหญ่อย่างโซลสถานที่ที่มีความเจริญทุกอย่าง
ขณะที่คุณยายอยู่ในชนบท ซึ่งไม่เข้าใจถึงชีวิตคนเมืองเช่นกัน
ย้อนมาดูสังคมไทยบ้านเรา ในต่างจังหวัดเป็นสังคมที่ความสัมพันธ์ของคนเป็นหลานมักจะผูกพันกับปู่ย่าตายายมากกว่าพ่อแม่..
นั่นเพราะว่า พ่อแม่เวลาพอมีลูกเมื่อไหร่ก็มักจะเอาลูกกลับไปให้คนแก่ที่บ้านเลี้ยงดูเสมอๆ
ส่วนตัวเองก็มาทำงานในเมืองและคอยส่งเงินกลับมาให้เป็นครั้งคราว มักจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น
นั่นทำให้ความผูกพันระหว่างตัวเด็กกับปู่ย่าตายายในบ้านเรามีมาก...(ความสัมพันธ์แบบข้าม Gen ไป 1 รุ่น) หนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน
เพียงแต่ซังวูในเรื่องนี้ โดนหลอกให้มา อารมณ์คือพามาทิ้งล่ะครับ
ดังนั้นเด็กในเมืองคนนึงอยู่ดีดีต้องมาจมอยู่ในที่ที่เหมือนเมืองประหลาด
สิ่งอำนวยความสะดวกอะไรก็ไม่มีสักอย่างใครจะไปทนไหว มิหน้ำซ้ำเขายังต้องอยู่กับหญิงแก่ที่ไม่เคยรู้จักอะไรมาก่อน
แม้ว่าเธอผู้นั้นจะเป็นยายของตนก็ตาม...
คุณยายเป็นผู้หญิงใจดีมากครับ แต่ไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองทำไมถึงเป็นคนแบบนั้นไปซะได้
อารมณ์คงเหมือนกับคนที่ไม่ยากจะอยู่ในที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้ และพยายามถีบตัวหวังจะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
แต่สุดท้ายเมื่อถึงคราวลำบากเข้าตาจน ก็หวนกลับมานึกถึงแม่ตัวเอง มีปัญหาก็ให้แม่ช่วยเหลือ นั่นคือการให้ช่วยเลี้ยงหลานให้ที...
หนังช่วยให้เราเห็นถึงช่องว่างต่างๆที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นไปอย่างยากลำบาก
ก่อนที่จะมีจุดเปลี่ยนสำคัญและนั่นทำให้ซังวูได้รับรู้ถึงความรักที่หญิงชรามีให้กับตน
ความรักที่บริสุทธิ์ในแบบที่ตัวซังวูไม่เคยจากผู้เป็นแม่ของตัวเอง
(แม่ซังวูคิดแต่การซื้อของเล่นให้กับลูกชาย แต่ละเลยในเรื่องการแสดงความรู้สึก)
นี่คือภาพยนตร์เรียกน้ำตาระดับตำนานของหลายๆท่าน ชนิดที่ผมดูแค่รอบเดียวแล้วบอกกับตัวเองเลยว่า พอ ..
ตรูจะไม่ดูหนังเรื่องนี้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ดีไม่ได้เรื่องแต่อย่างใด ในทางกลับกัน มันสะเทือนใจยิ่งนัก..
หนังเกาหลียุคต้น 2000 ทำหนังดราม่าแต่ละเรื่องนี่น้ำตาไหลเป็นวรรคเป็นเวรดีแท้... ยิ่งกับเรื่องนี้แล้วล่ะก็มันยิ่งอินหนัก ดูไปร้องไห้ไป
คุณยายต้องลำบากลำบนขนาดไหนเพื่อที่จะมาดูแลหลานชายคนนี้
ขณะเดียวกันไอ้เด็กเวรนี่ก็น่าถีบเหลือเกิน.. เล่นได้เปรตอย่างยิ่ง (ผมเชื่อว่าหลายคนคิดแบบผม)
ขนาดแค่เขียนอยู่นี่ยังน้ำตาจะไหล คิดถึงยาย.. ยายผมเสียไปตอนผมอายุได้ 10 ขวบ
ถึงแม้จะนานแต่ความทรงจำทุกอย่างยังแจ่มชัด เวลายายนอนผมชอบเอานิ้วไปจิ้มใส่อุ้งมือของยาย
แล้วยายก็จะรู้สึกตัวทันที จับนิ้วผมแน่นไม่ปล่อย...
ยายชอบสูบยานัตถ์ ชอบเคี้ยวหมาก ปากจะสีแดงเหมือนเลือดเสมอ แกก็จะชอบอ้าปากร้องแฮร่ๆ แหย่ให้เรากลัว..
ทุกวันนี้แม้ว่าคุณยายจะจากผมไปนานแล้ว แต่ตัวตนของยายก็ปรากฎชัดเจนในตัวของคุณแม่ผมในปัจจุบัน
แม่ผมแก่แล้วในเวลานี้ถึงจะไม่ได้เคี้ยวหมากและสูบยานัตถ์ แต่ก็มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกับคุณยาย..
นั่นทำให้ผมเข้าใจในประโยคนึงที่เคยได้ยินว่า
ถึงแม้ว่าเราจะจากไปแต่ตัวตนของเราไม่ได้จากไปไหน ส่วนนึงของเรายังจะคงอยู่ในตัวตนของอีกคนตลอดไป...
จากยายสู่แม่.. และในอนาคตความเป็นตัวตนของแม่ส่วนนึงก็จะมาที่ผม
แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดแต่จริงๆแล้วพวกเราไม่เคยจากกันไปไหนเลย ในหัวใจ... ในความทรงจำเรายังอยู่ด้วยกันเสมอ
ปิดท้ายด้วยคลิปของ Yoo Seung-ho นักแสดงในบทของซังวู หลังเวลาผ่านไปอีก 6 ปี เขาโตขึ้นเป็นวัยรุ่น
และได้กลับมาพบกับ Kim Eul Boon นักแสดงที่รับบทคุณยายอีกครั้ง เป็นภาพที่ประทับใจมาก
แม้ว่าปัจจุบันคุณยายจะจากพวกเราไปแล้วก็ตาม.......
สงกรานต์นี้หากใครมีโอกาส กลับบ้านนะครับ กลับไปหาคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย
ท่านรอเราอยู่ที่บ้าน รอเรากลับไปหา ย้อนเวลาไปเป็นเด็กเล็กๆอีกครั้งในสายตาพวกท่าน...
ช่วงเวลาแห่งความสุขเหล่านี้อยู่กับเราไม่นานหรอกครับ รักษาช่วงเวลาเหล่านั้นไว้
และทำทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันให้มีค่าที่สุดนะครับ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===