JJNY : “วรภพ”ถามมติครม.ลดค่าจด│ก้าวไกลยันอาหารทะเลมหาชัยปลอดภัย│แบงก์เข้มปล่อยกู้ “ล้งทุเรียน”│ศาลสิทธิฯยุโรป ประณามสวิต

“วรภพ” ถามมติ ครม.ลดค่าจดทะเบียนจำนอง0.01%
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_702180/
 
 
“วรภพ” ตั้งคำถามมติ ครม. ลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% ขยายให้รวมถึงบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้าน เป็นมาตรการเพื่อคนไทยมีบ้าน หรือเพื่อช่วยบริษัทอสังหาโล๊ะสต็อกบ้านกันแน่
 
นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (9 เม.ย.) ที่เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ 5 ข้อว่า มี 2 ประเด็นใหญ่ ที่สะท้อนแนวนโยบายที่น่ากังวลไปจนถึงเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของรัฐบาลเศรษฐา
 
โดยข้อที่ตนเห็นด้วยว่าเป็นประโยชน์และส่งเสริมให้คนไทยมีบ้านคือ โครงการสินเชื่อบ้าน ไม่เกิน 3 ล้านบาท/ราย, โครงการบ้าน BOI ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท/หลัง แต่มาตรการที่น่ากังวล คือการลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาฯ จาก 2% เป็น 0.01% และค่าจดทะเบียนจำนอง จาก 1% เป็น 0.01% จากมาตรการเดิม ที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ปรับเป็นรวมไปถึงบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท
 
ประเด็นแรกคือ ที่มาของการทบทวนมาตรการลดค่าธรรมเนียมรอบนี้ รัฐบาลอ้างว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา และ ข้อมูลจากภาคอสังหาพบว่า บ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่เหลือขายมีจำนวนไม่มาก แต่บ้านราคา 3-7 ล้านบาท ที่ยังเหลือขาย มีจำนวนสูงถึง 46% หรืออีกในความหมายหนึ่ง บ้านค้างสต็อกของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ราคา 3-7 ล้านบาท/หลัง ไม่ใช่ที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท/หลัง ซึ่งข้อมูลนี้มาจากการแถลงข่าวของรัฐบาลเอง
ซึ่งมาตรการเดิม ที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังพอเข้าใจได้ว่า วัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นนโยบายที่เอื้อให้ผู้ที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น กลับกลายเป็นว่าในครั้งนี้วัตถุประสงค์หลักของการเปลี่ยนเงื่อนไข เอาผู้มีรายได้น้อยมาบังหน้า แต่เนื้อแท้กลับเอื้อให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีสต็อกบ้านเหลือ ขายไม่ออก สามารถเร่งขายบ้านออกได้ง่ายขึ้น
 
ประเด็นที่สองคือ การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหากระทบงานบริการสาธารณะของท้องถิ่นโดยตรง เพราะค่าธรรมเนียมโอนเป็นแหล่งรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล, อบต. และ กทม.
 
ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้รายได้ท้องถิ่นลดลงไปถึง 23,822 ล้านบาท/ปี จากเดิมที่รายได้ท้องถิ่นมีน้อยนิดอยู่แล้ว รัฐบาลออกมาตรการนี้มาเป็นการซ้ำเติมเพราะกระทบรายได้ของท้องถิ่นโดยตรง แต่กลับไม่มาพร้อมกับการชดเชยรายได้ให้ท้องถิ่น สะท้อนแนวนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น ถ้าจะให้พูดตรงๆ วิธีคิดคล้ายกับรัฐบาลของ พล.อ. ประยุทธ์ อย่างกับลอกมาใช้
 
แทนที่ท้องถิ่น จะมีรายได้มาพัฒนาสิ่งที่เป็นบริการอยู่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด กลับถูกเอาไปให้รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือ เอาทรัพยากรที่รีดมาจากรายได้ของท้องถิ่นให้กลายไปเป็นรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เอาเงินที่จะใช้เพื่อทำบริการสาธารณะไปช่วยโละสต็อกบ้านนายทุนอสังหาเสียอย่างนั้น
สุดท้าย จะมีอะไรเหมาะเจาะไปกว่านี้ เพราะช่างเป็นเหตุบังเอิญที่ว่า นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ก็ดันเคยเป็นอดีตผู้บริหารและเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์จากมาตรการเช่นนี้ จึงขอตั้งคำถามตัวโตๆ กับมาตรการของรัฐบาลนี้ว่า เป็นมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ช่วยให้คนรายได้น้อยมีบ้าน หรือ เพื่อกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ให้โละบ้านค้างสต็อกให้หมด



ก้าวไกล ยันอาหารทะเลมหาชัยปลอดภัย ไร้แคดเมียมเจือปน จี้ตรวจโรงงานปล่อยควันดึกๆ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4518944

‘เด็กก้าวไกล’ ยันอาหารทะเลมหาชัยปลอดภัย ไร้แคดเมียมเจือปน เผยพื้นที่ห่างกัน-ยังไม่แพร่ออกไปสู่สภาพแวดล้อม จี้หน่วยงานรัฐตรวจสอบโรงงาน ปล่อยควันส่งกลิ่นเหม็นช่วงเวลากลางคืนเป็นสารอันตรายหรือไม่ ชี้เป็นปัญหาเรื้อรังของ ปชช.สมุทรสาครมานาน
 
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ ต.บางน้ำจืด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นายณัฐพงษ์ สุมโนธรรม ส.ส.สมุทรสาคร เขต 1 พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ร่วมสังเกตการณ์การตรวจคัดกรองประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงโรงงานที่พบกากแคดเมียม นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ขณะนี้พบกากแคดเมียมใน จ.สมุทรสาคร ทั้งหมด 3 จุด ที่ ต.บางน้ำจืด อ.เมือง 2 จุด และ ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน 1 จุด จำนวนรวมกว่า 4,474 ตัน จากหลักฐานในขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการหลอมแคดเมียมที่ จ.สมุทรสาคร และไม่พบการปนเปื้อนออกไปภายนอกโรงงาน แต่ข่าวสารที่เผยแพร่ออกไปกำลังก่อให้เกิดความไม่สบายใจของประชาชนเป็นอย่างมาก ถึงกับมีการพูดว่าจะไม่กินอาหารทะเลจากมหาชัยเนื่องจากกลัวสารแคดเมียมตกค้าง ซึ่งขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะพื้นที่เกิดเหตุกับพื้นที่มหาชัยอยู่ห่างกันมาก
 
ผมขอยืนยันว่าอาหารทะเลยังทานได้ปกติ เพราะพื้นที่อ่าวไทยและแหล่งอาหารทะเล กับพื้นที่ที่พบกากแคดเมียมอยู่ห่างกันมาก คือแคดเมียมถูกพบที่ ต.บางน้ำจืด 2 จุด และพบที่ ต.คลองมะเดื่อ ล่าสุดอีก 1 จุด ซึ่งข้อมูลที่ได้รับมาจากหน่วยงานรัฐยืนยันว่าแคดเมียมไม่ได้มีการแพร่ออกไปสู่สภาพแวดล้อมนอกโรงงาน ทั้งในดิน น้ำ และอากาศ แม้ว่าล่าสุดจะมีการตรวจพบปริมาณสารตกค้างในร่างกายของพนักงานโรงงานที่ซอยกองพนันพล แต่คาดว่าเกิดจากการทำงานที่สัมผัสโดยตรงและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทางสาธารณสุขก็ได้มีการตรวจหาสารแคดเมียมจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยรอบใกล้กับสถานที่ที่พบแคดเมียมด้วยแล้ว” นายณัฐพงษ์กล่าว
 
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องแคดเมียมแล้ว ประชาชนในพื้นที่มีความกังวลกันมานานว่าโรงหลอมในพื้นที่มักดำเนินการหลอมสารต่างๆ ในช่วงเวลากลางคืน มีการปล่อยควันส่งกลิ่นเหม็นรบกวนประชาชน ซึ่งประชาชนไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่หลอมเป็นสารอันตรายหรือไม่ นี่เป็นปัญหาเรื้อรังและเป็นปัญหาใหญ่ของ จ.สมุทรสาคร มานาน หากเป็นสารอันตรายก็ย่อมส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้น ภาครัฐจึงควรใช้โอกาสนี้ตรวจสอบการดำเนินการของโรงงานต่างๆ ทั่วประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐาน
  
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า มีหลายโรงงานที่ไม่สนใจและไม่รับผิดชอบในการประกอบธุรกิจ แต่ก็มีหลายโรงงานที่ต้องการจะปรับตัว แต่อาจติดเรื่องเงินทุนหรือพื้นที่ในการทำระบบบำบัด สิ่งเหล่านี้ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามารับฟังและหาทางแก้ปัญหา รวมถึงคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะมีแนวนโยบายต่อเรื่องนี้อย่างไร จะหาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนอย่างไร
 
ถึงที่สุดแล้วธุรกิจบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่อนุญาตให้ทำ หรือหากจะทำต้องมีระบบที่ดี รับผิดชอบต่อสังคม หากทำไม่ได้ก็ต้องถูกสั่งปิดและเลิกกิจการไป สิ่งเหล่านี้รัฐในฐานะผู้กำกับดูแลต้องเข้ามาจัดการ ขอให้รัฐบาลใช้โอกาสนี้ในการสังคายนาทั้งระบบด้วย” นายณัฐพงษ์กล่าว



แบงก์เข้มปล่อยกู้ “ล้งทุเรียน” ผวาเจอ “นอมินีทุนจีน” เบี้ยวหนี้
https://www.prachachat.net/finance/news-1540462

ธุรกิจส่งออกทุเรียนแสนล้าน ผู้ประกอบการล้งจีน-ไทยหน้าใหม่แข่งเดือด แบงก์ผวา “นอมินีทุนจีน” เบี้ยวหนี้ เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เช็กประวัติธุรกิจย้อนหลัง 2-3 ปี เผยวงเงินปล่อยกู้เฉลี่ย 10-60 ล้านบาท รับมีหนี้เสียเป็นปกติ ยันไม่หยุดปล่อยกู้กลุ่มล้งทุเรียน ชี้โอกาสเติบโตสูง มูลค่าส่งออกกว่าแสนล้านบาท ด้านผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ แนะชาวสวนปิดความเสี่ยง รับ “เงินสด” เท่านั้น

BBL ตรวจเข้มล้งจีน

นายศิริเดช เอื้องอุดมสิน รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่าสถาบันการเงิน คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ทำโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ทุเรียน เนื่องจากมีผู้ประกอบการล้งเกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งล้งจีนและล้งไทย

โดยที่ผ่านมาก็มีบางรายเกิดปัญหาไม่ชำระหนี้ได้ โดยยอมรับว่า ที่ผ่านมามีลูกค้าไทยที่เป็นตัวแทน (นอมินี) ให้กับคนจีนจริง ซึ่งพบได้ในทุกภาคไม่เฉพาะภาคใต้ ซึ่งธนาคารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หรือทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น
 
อย่างไรก็ดี ธนาคารกรุงเทพไม่ได้หยุดปล่อยสินเชื่อในเซ็กเตอร์ผู้ประกอบการล้งทุเรียน เนื่องจากมองว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง โดยมีมูลค่าตลาดส่งออกถึงราว 1.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นผลผลิตราวล้านตัน แม้ว่าจะเจอภัยแล้ง แต่จะเห็นว่ามีเกษตรกรปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะตลาดยังคงมีความต้องการสูง
 
นายศิริเดชกล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อในกลุ่มนี้ ธนาคารจะพิจารณาเข้มงวดและระมัดระวัง โดยลูกค้าที่จะได้รับสินเชื่อ ต้องดำเนินธุรกิจอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อธนาคารจะได้เห็นธุรกรรมในช่วงที่ผ่านมา เพราะกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นการทำธุรกิจด้วยเงินทุนตัวเอง และค่อยขยายธุรกิจ จึงเข้ามาขอใช้วงเงินสินเชื่อกับธนาคาร โดยธนาคารจะพิจารณาจากประวัติการส่งออกสินค้า มูลค่าหลักประกัน ซึ่งวงเงินการปล่อยสินเชื่อจะพิจารณาตามปริมาณธุรกิจที่เกิดขึ้น
 
เราไม่ได้หยุดปล่อยกลุ่มล้งทุเรียน เพราะเป็นตลาดที่เติบโตสูง แต่ยอมรับว่ามีกรณีที่เจ้าของเป็นคนจีน ซึ่งมีทั้งไทยผสมทุนจีน หรือจีน 100% เราเองก็ต้องพิจารณาให้ดีและระมัดระวัง เพราะมีบางรายบางคนตั้งใจสร้างตัวเลข Transaction ปลอมมา ซึ่งแบงก์เคยเจอบ้าง แต่ไม่เยอะ ดังนั้น เราต้องดูว่าธุรกิจทำมานานแค่ไหน หลักประกันที่มี และให้วงเงินตามปริมาณธุรกิจจริง” นายศิริเดชกล่าว
 
หนี้เสียล้งทุเรียนระดับปกติ
 
ด้านนายชัยยศ ตันติพิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การปล่อยสินเชื่อกลุ่มล้งทุเรียน โดยหลักการหากเป็นนอมินีมาขอสินเชื่อธนาคาร ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้ได้อยู่แล้ว แต่ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยยังคงปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการล้งทุเรียนเป็นปกติอยู่ ไม่ได้ชะลอหรือหยุดปล่อยแต่อย่างใด
 
ทั้งนี้ กรณีเป็นตัวแทนมาขอสินเชื่อ ธนาคารจะพิจารณาจากธุรกรรมของธุรกิจลูกค้า เพื่อดูกระแสเงินสดและหลักประกันที่มีอยู่ ซึ่งบางรายอาจจะมีเงินทุนส่วนตัวด้วย และขอวงเงินสินเชื่อบางส่วน โดยวงเงินปล่อยกู้ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจเฉลี่ยจะมีตั้งแต่ 10 ล้านบาท จนถึง 50-60 ล้านบาทต่อราย อย่างไรก็ดี ยอมรับว่า กลุ่มล้งทุเรียนมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นปกติของการปล่อยสินเชื่อ ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
 
เราเห็นการให้คนไทยมาเป็นตัวแทนในการขอสินเชื่อ หรือนอมินี ในล้งทุเรียนมีมานานแล้ว ซึ่งก็มีที่คนจีนเปิดล้งเอง หรือคนไทยเปิด แต่ให้จีนบริหาร มีหลากหลายรูปแบบ ปกติเราก็ระมัดระวังอยู่แล้ว เราดู Transaction การบริหารกระแสเงินของเขา และหลักประกัน ถ้าดูแล้วมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบ เราก็ปล่อยสินเชื่อปกติ เป็นเงินทุนหมุนเวียน หนี้เสียก็มีเป็นปกติ แต่ไม่ได้ผิดปกติ
 
แนะสวนทุเรียนรับเงินสด

ด้านนายณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด ผู้ส่งออกทุเรียนและผลไม้รายใหญ่ของไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เนื่องจากทุเรียนเป็นผลไม้ส่งออกที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะตลาดส่งออกจีน ทำให้ปัจจุบันมีล้ง (โรงคัดบรรจุผลไม้) หน้าใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก ทั้งล้งคนไทยและล้งจีน
 
โดยในส่วนล้งคนไทย ที่ไม่ได้ส่งออกเองก็จะรับงานจากพ่อค้าคนจีน เช่นตกลงกันว่าจะมีออร์เดอร์ซื้อทุเรียนวันละ 3-5 ตู้คอนเทนเนอร์ คนไทยก็จะสร้างโรงงานหรือเช่าล้ง เพื่อรับงานของพ่อค้าจีน แต่หลายโรงงานที่ไปเช่าไว้แล้ว ถึงที่สุดนายทุนจีนที่ตกลงกันไว้มีปัญหาหายไป ทำให้ไม่มีงานเข้ามาแบบนี้ก็มี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่