JJNY : พิธาไม่เสียใจหากถูกยุบพรรค│กัณวีร์ตัดเกรดรบ.สอบตก│น้ำมันขึ้นไม่พัก! เบนซินใกล้แตะ50บ.│รัสเซียชี้โอกาสเจรจากับนาโต

พิธา อภิปราย อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ไม่เสียใจหาก ก้าวไกลถูกยุบพรรค เชื่อทำให้เข้าเส้นชัยเร็วขึ้น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4510745

‘พิธา’ อภิปราย อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ไม่ค้างคาใจจะจากไปอย่างผู้ชนะ ย้ำไม่เสียใจหาก กก.ถูกยุบพรรค เชื่อทำพรรคเข้าเส้นชัยเร็วขึ้น สับ รบ.ไร้วาระทำ ปชช.มืด 8 ด้าน ติง “เศรษฐา” เน้นแต่ตัวเลขเป็นบวกกับ รบ. ยก 3 ข้อแนะปรับครม.ทันที วางโรดแม็ปให้ชัด ฟังเพื่อตอบสนอง ไม่ใช่ตอบโต้
 
เมื่อวันที่ 5 เมษายน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นวันที่สอง
 
เวลา 01.18 น.นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวสรุปญัตติว่า ขอพูดความในใจเล็กน้อย ตลอดเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ตนจะชนะการเลือกตั้งสามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องมาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนเชื่อว่าการเป็นฝ่ายค้านนั้นก็มีความสำคัญกับระบบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านสามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่ว่ารัฐบาลนั้นมีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านแอคทีฟแค่ไหน ทำงานให้กับประชาชนมากน้อยเพียงใด
 
แล้วก็ไม่เคยเสียใจว่าการอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของตน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร ชีวิตทางการเมืองของตนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ตนพร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป ยิ่งได้เห็นเพื่อนส.ส.รุ่นหนึ่ง รุ่นสองก็รู้สึกเบาใจ ไม่มีอะไรที่ต้องค้างคาอีกต่อไป และมั่นใจว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพรรคของตน ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคหรือการทำลายพรรคก้าวไกล ก็ไม่ทำให้การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงของประเทศหายไป
 
เผลอๆ ยิ่งยุบพรรคจะยิ่งทำให้เราถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำไป ตนจึงไม่เสียใจ แต่ตนเสียดาย ยิ่งได้ฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีในช่วงสองวันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาประเทศไทยที่เสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายส่วนตัวที่เคยให้คะแนนพรรคท่านตั้งแต่ปี 43 แต่วันนี้ความสะเปะสะปะความล่องลอย ฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ทำ ที่ทำไว้ก็ไม่ได้หาเสียง ทำให้ตนรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ รัฐบาลชุดนี้ไม่มีวาระเป็นของตัวเอง พอไร้วาระก็ไร้วิสัยทัศน์ พอไร้วิสัยทัศน์ก็ไร้ผลงาน นี่เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องมาตลอดทำให้ตนเสียดายในช่วงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ของรัฐบาลคือความมืดแปดด้านของพี่น้องประชาชน โดยมืดที่หนึ่ง คือเรื่องปากท้อง 2.มืดแก้ส่วย 3.มืดผูกขาด สามมืดนี้ท่านล้มเหลวโดยสิ้นเชิง 4.มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้า ส่วน 6.มืดปฏิรูปกองทัพ 7.มืดมนคุณภาพชีวิต และ 8.มืดกระบวนการยุติธรรม อันนี้ท่านละเลย
 
ตนรู้สึกว่ามีอย่างเดียวที่ถกกันไม่ตกผลึก คือเรื่องมืดปฏิรูปกองทัพ ท่านนายกฯ บอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ท่านนายกฯ บอกว่างงฝ่ายค้าน พูดแต่เรื่องเดิมๆ พูดแต่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งตนก็งงท่านเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้งก็พูดอย่าง หลังเลือกตั้งก็พูดอีกอย่าง ทั้งนี้ จุดยืนปฏิรูปกองทัพของก้าวไกล คือเพื่อป้องกันการแทรกแซง ให้ทหารเป็นมืออาชีพ ต่อต้านการรัฐประหาร ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยเกณฑ์ทหารสมัครใจ ฝ่ายค้านเลยงงว่าตอนเป็นฝ่ายค้านเหมือนกันก็คิดเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้งหลังเลือกตั้งตนพูดเหมือนเดิม แต่หลังเลือกตั้งท่านกลับไม่เหมือนเดิม
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ที่ท่านบอกว่างงเรื่องจุดยืนอาวุธที่บอกว่าจะเอาเรือประมงไปรบ ซึ่งตนเดาเอาว่าท่านคงหมายถึงตนเพราะตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ตอนช่วงเลือกตั้ง มันมีอยู่จริง เรื่องนี้มีอยู่จริง ตนมีสามหลักฐานข้อมูลที่อยากให้เข้าใจกัน โดยข้อมูลที่ได้มาจากทหารเรือและเพื่อนทหารเรือหลายๆ ชาติ เพราะภัยความมั่นคงเปลี่ยนไป โดยสงครามผสมที่ผ่านมามีการใช้เรือประมงปลอมให้เป็นส่วนหนึ่งของอาวุธกองทัพในการทำลายขวัญและเรื่องของจิตวิทยา ซึ่งก็เป็นข้อมูลจากสื่อระดับโลก หลักปฏิรูปกองทัพของเราเพื่อให้มีหลักสิทธิมนุษยชน มีความเป็นมืออาชีพ มีอาวุธที่เหมาะสมโดยสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ไม่เบียดเบียนภาษีของพี่น้องประชาชนมากเกินไป ไม่ใช่ว่าไม่ให้ซื้ออาวุธอะไรเลย
 
นายพิธา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนขอสะสางข้อเท็จจริงที่ใช้ในการอภิปรายครั้งนี้ทั้งหมด ตนพอจะจับทางท่านนายกฯ ได้แล้ว ในเรื่องของเศรษฐกิจตนจับคำพูดท่านได้คำนึงว่าอยากจะเน้นเรื่องบวกๆ ให้มันเป็นแสงสว่างท่านอยากจะเน้นที่โอกาสของประเทศ แต่ในข้อเท็จจริงเราไม่ได้มีแค่บวกๆ เรามีจุดแข็ง มีความท้าทายและมีโอกาสที่เข้ามา ถ้าผู้นำโฟกัสแต่เรื่องบวกๆ อย่างเดียว ท่านก็จะเกาไม่ถูกที่คัน ท่านก็จะวินิจฉัยผิดตลอดเวลาเวลาที่นายกฯ เลือกเอาตัวเลขมาพูดในสภา ท่านเน้นแต่ตัวเลขที่เป็นบวกที่เป็นผลดีกับรัฐบาล แต่เป็นเพียงเหรียญด้านเดียวที่ไม่เห็นปัญหาของพี่น้องประชาชน
 
นายพิธา กล่าวว่า ท่านนายกฯ เน้นตัวเลขที่เป็นประโยชน์แต่ไม่ได้ดูบริบท เน้นราคามากกว่าคุณภาพชีวิตประชาชน เน้นที่จะพึ่งปัจจัยต่างประเทศโดยไม่ได้เน้นพลังจากภายในมากนัก เช่น เรื่องราคายางที่ท่านบอกว่าดีที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งก็จริงแล้วก็ถูก แต่ถูกไม่หมดเพราะจริงๆ แล้วราคายางในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีขึ้นมีลงตามฤดูกาล ท่านควรเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตประชาชน กลับไปภูมิใจเรื่องของปริมาณและราคา ขณะที่รายได้ของเกษตรกรลดลง 8% ข้อมูลมาจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดังนั้นเวลาที่จะโฟกัสอะไรต้องโฟกัสให้รอบด้าน อะไรที่ราคาสูงมากแต่รายได้เกษตรกรลดน้อยลง ทั้งนี้ ตนแปลกใจที่รมว.เกษตรฯ พูดว่าข้อมูลตนผิด ซึ่งท่านทราบข้อมูลก่อนที่ตนจะอภิปรายได้อย่างไร มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ข้อมูล แต่มีรัฐมนตรีรู้ข้อมูลตนก่อนการอภิปราย ถือเป็นเรื่องความเชื่อมั่นเชื่อถือของสภานี้
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ในส่วนของการผลิต ท่านนายกฯ ใช้คำว่าสึนามิแห่งการลงทุน ตนรู้สึกดีใจแต่ก็ต้องอธิบายให้นายกฯ เข้าใจ ตนกังวลว่าจะเป็นสึนามิทางการลงทุนจริงๆ เพราะไตรมาสที่สี่ในการที่ท่านมาเป็นรัฐบาล การลงทุนเยอะมากขึ้น 2.5 เท่าก็เป็นเรื่องจริง แต่ไทยอยู่ที่อันดับหก นำแค่กัมพูชา ลาวและเมียนมาสองปีซ้อน เราเป็นประเทศเดียวหากดูในรีพอร์ตของเวิลด์แบงก์นำแค่เมียนมา ยังไม่รวมการขาดดุลทางบัญชีการค้า การทำงบประมาณ ก็ต้องฝากรัฐบาลว่าให้ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งว่าสึนามีทางเศรษฐกิจของท่านภายในสองปี ถ้ามาจริงๆ ภาคธุรกิจไทยจะไปอย่างไรต่อ

นายพิธา กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องข้อเสนอแนะมี 3 ข้อ 1.ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวะความเป็นผู้นำของรัฐบาล ตนว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องปรับ ครม.ได้แล้ว นำผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องเข้ามาทำงาน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะ 7 เดือนพอจะเห็นภาพว่าใครที่มีประสิทธิภาพ ใครที่รู้จริงกับเรื่องที่ทำ

2. ถึงเวลาที่นายกฯ จะมีโรดแม็ปได้แล้ว ไม่ได้สำคัญว่าทำอะไร what to do แต่สำคัญที่ why when and how แล้วขอให้วางโรดแม็ปว่าไตรมาสนี้ ในช่วงนี้จะทำอะไร เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้จริง มีองคาพยพมาช่วยท่าน แต่หากพูดลอยๆ ไปเรื่อยๆ ก็ยากจะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้จริงๆ สุดท้ายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนที่จะเป็นผู้นำ คือการฟัง อยากขอแนะนำท่านว่าฟังเพื่อให้ตอบสนอง ไม่ได้ฟังเพื่อตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่ได้อยากได้ยินที่สุด คือเสียงที่ประเสริฐที่สุดอย่างที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้


 
กัณวีร์ตัดเกรด รบ.สอบตก ทำการทูต 3 หลง แนะประกาศจุดยืน แทรกแซงแบบสร้างสรรค์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4510578

‘กัณวีร์’ ตัดเกรด ‘รัฐบาล’ สอบตกทุกเรื่อง ทำการทูต 3 หลง ลั่นไทยต้องเปลี่ยนเป็นการแทรกแซงแบบสร้างสรรค์ จะทำให้มีจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศสามารถยืนอย่างเปิดเผยไม่อายใคร
 
เมื่อวันที่ 4 เมษายน ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นวันที่สอง
 
จากนั้นเวลา 18.00 น. นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายว่า รู้สึกเศร้าใจและผิดหวังในการดำเนินงานด้านการทูตของรัฐบาลชุดนี้ ที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยพูดว่ารัฐบาลมองไปข้างหน้า แต่การดำเนินนโยบายต่างประเทศยังไม่ก้าวข้ามสิ่งในอดีต และยังใช้นโยบายการต่างประเทศตั้งแต่สมัยสงครามเย็น
 
นายกัณวีร์กล่าวว่า วันที่นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตนพยายามจับคำแถลงนโยบายด้านการต่างประเทศ แต่กลับมองไม่เห็น พบว่าแอบอยู่ในทุกส่วน รัฐบาลชุดนี้ยังมองไปข้างหลัง เนื่องจากนโยบายการต่างประเทศของนายเศรษฐาเน้นแต่เรื่องการค้า การลงทุน ความมั่นคง ซึ่งใช้มาแล้วกว่า 100 ปี โดยนโยบายการต่างประเทศที่จำเป็นในปี 2567 คือนโยบายจุดยืนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม และการส่งเสริมสันติภาพ
 
นายกัณวีร์กล่าวอีกว่า การจะพัฒนาบริการทุกขั้นตอนเพื่อสร้างประตูสู่ประเทศไทย เศรษฐกิจการค้าชายแดน การสร้างเงิน สร้างงาน สร้างรายได้ สนับสนุนตลาดทุนเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน เศรษฐกิจเชิงรุกเป็นเซลส์แมนไปเรื่อยๆ แต่ทุกเรื่องแอบซ่อนอยู่ จึงมองไม่เห็นว่าเดินข้างหน้าไปอย่างไร
 
นอกจากนี้ นายกัณวีร์ได้อภิปรายขยายความ การทูต 3 หลง หลงแรกคือ หลงผิด (เวลา) เมื่อวันที่ 20 พ.ย.66 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรียกเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกมาประชุม มอบโอวาทแจ้งนโยบาย บอกว่าต่อไปประเทศไทยต้องดำเนินนโยบายดังนี้ “นโยบายต่างประเทศเป็นส่วนต่อขยายของนโยบายภายในประเทศ” ซึ่ง ชาร์ล เดอ โกล ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เคยพูดไว้ตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว ท่านบอกว่าประเทศไทยอยู่แค่ตรงกลาง เรามองไปที่การทูตเชิงรุก มองไปข้างหน้า แต่ไม่ยอมมองว่าข้างนอกเป็นอย่างไร
 
หลงทาง” การกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ผิดพลาดมองว่านโยบายภายในประเทศต้องออกไปข้างนอก จึงสร้างบันได 5 ขั้นของการทูตปานปรีย์ ประกอบด้วยเชิงรุกมองไปข้างหน้าแต่แท้ที่จริงยังย่ำอยู่ข้างหลัง, ตอบสนองผลประโยชน์ภายใน, มีเกียรติภูมิที่มีความหมาย, บทบาทโดดเด่นยกระดับเศรษฐกิจและตอบสนองผลประโยชน์ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี แต่ยังไม่พอ เพราะรัฐบาลเศรษฐามองจากวงแคบไปสู่วงกว้าง เน้นแต่เรื่องการค้า การลงทุน ตอบโจทย์ไม่ได้
 
หลงตนเอง” ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เรียกว่าการทูตเน้นตนเองพื้นที่ปลอดภัย (Self-Focused Diplomacy) เน้นแต่ความมั่นคงของตนเอง มองแค่ว่าเราจะอยู่ตรงไหน เราจะขายของอย่างไร เดินไปประเทศอื่นแล้วจะขายของได้เท่าไร เราจำเป็นต้องมองนโยบายการต่างประเทศที่ถูกต้อง ทั้งการทูตสาธารณะ และการทูตสองด้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ ทั้งยังต้องมองความคาดหวังของเวทีระหว่างประเทศว่าต้องการอะไร
 
นายกัณวีร์กล่าวว่า ตนขอตัดเกรดรัฐบาลให้สอบตกทุกเรื่อง ระยะเวลาเดือนกว่าที่ผ่านมานายกฯเดินทางไปประเทศจีน เป็นเซลส์แมน ขอให้พิจารณาโครงการแลนด์บริดจ์ให้อยู่ใน BRI หรือเส้นทางสายไหม ซึ่งเส้นทางดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีระหว่างประเทศ มีปัญหาตั้งแต่เรื่องเงินกู้ ทำถนนโรงไฟฟ้า ท่าเรือ สะพาน รางรถไฟ อินเตอร์เน็ต 5G Fibre Optic และการวางท่อก๊าซ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการทูตแบบขุดหลุมติดกับดักด้วยหนี้ เกิดการคอร์รัปชั่น การแทรกแซงภายในประเทศ เงินกู้ดอกเบี้ยสูง และการสูญเสียอธิปไตยอำนาจทางเศรษฐกิจในประเทศ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่