นักวิชาการ มช.ร่อนแถลงการณ์ ประกาศเอง ‘เชียงใหม่’ เมืองมลพิษทางอากาศ จี้รบ.เร่งแก้
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4509141
นักวิชาการ มช. เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น แถลงการณ์ประกาศ เชียงใหม่เมืองมลพิษทางอากาศ
นักวิชาการ มช. เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น แถลงการณ์ประกาศ เชียงใหม่เมืองมลพิษทางอากาศ พร้อมเรียกร้องประชาชนในภาคเหนือที่เผชิญฝุ่น PM 2.5 ร่วมกันประกาศเขตมลพิษ หลังรัฐบาลเมินอ้างกลัวกระทบท่องเที่ยว
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 4 เมษายน ที่หน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น นำโดย ดร.
กฤษณ์พชร โสมณวัตร รักษาการแทนผู้ช่วยฝ่ายคุณภาพนักศึกษา และศิษย์เก่าสัมพันธ์ รศ.
สมชาย ปรีชาศิลปกุล รักษาการแทนหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนากฏหมาย และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ร่วมแถลงข่าวการประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเขตมลพิษ
โดย ดร.
กฤษณ์พชร เป็นผู้อ่านแถลงการณ์เรื่อง ‘
เชียงใหม่ คือเขตมลพิษทางอากาศ’ เนื้อหาในแถลงการณ์ระบุถึง นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2567 ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ผู้คนจำนวนมากต้องเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจ ดังสามารถพบเห็นได้จาก ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนภาคเหนือได้ดำเนินการฟ้องคดีนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำตัดสินเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เพื่อจัดทำแผนในการรับมือกับปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้น แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ก็ได้อุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาลปกครองเชียงใหม่ อันทำให้การแก้ไขปัญหาด้วยมาตรการทางกฎหมายต้องทอดเวลาออกไป
ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศที่รุนแรงในห้วงเวลาปัจจุบัน ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ยังไม่มีการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าบัดนี้เชียงใหม่อยู่ภายใต้สถานการณ์มลพิษทางอากาศ ทั้งที่ควรต้องมีการแจ้งเตือน การแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันตัวพื้นฐานให้กับประชาชน การรับมือกับไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในห้วงเวลาก่อนหน้า ความเพิกเฉยของรัฐในการไม่จัดการและไม่ประกาศแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือเพราะห่วงผลกระทบที่จะมีต่อระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพียงด้านเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและสุขภาพของประชาชน ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างร้ายแรง ละเลยต่อสุขภาพชีวิต อนามัย และความเป็นอยู่ของประชาชนที่ไม่ได้หายใจในอากาศที่สะอาด
ทั้งหมดนี้เป็นภาระหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฎให้เห็น แม้นายกรัฐมนตรีจะมีการเยือนเชียงใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการจัดการปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใดในสถานการณ์เฉพาะหน้า มีข้อมูลทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องประสบกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา ในสถานการณ์ระยะยาว มีรายงานการศึกษาที่ขี้ให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือเกือบทุกจังหวัดมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหอบหืด มะเร็งปอด และปอดอุดกั้นเรื้อรังสูงกว่า
ข้อมูลเหล่านี้ย่อม เป็นการยืนยันได้ว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชีวิตของประชาชน จึงจำเป็นที่จะต้องประกาศให้เป็นที่รับทราบกันว่าเชียงใหม่คือเมืองมลพิษทางอากาสในระดับรุนแรง โดยไม่จำเป็นต้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นผู้ประกาศ เพราะชัดเจนว่ายากจะฝากความหวังไว้ได้ การร่วมกันประกาศว่าเรากำลังอยู่ในเมืองที่เผชิญกับมลพิษทางอากาศ มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความตระหนักว่า สภาพแวดล้อมขณะนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรุนแรง และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนป้องกันตนเองเท่าที่จะกระทำได้ การปล่อยให้เด็ก ๆ คนแก่ ผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้าคนทำงานต้องอยู่ในพื้นที่โล่งโดยไม่มีการแจ้งเตือน เพื่อให้เกิดการป้องกันตัว ถือเป็นความอำหิตอย่างยากจะปฏิเสธ รวมถึงการกระตุ้นเตือนบรรดานักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ป้องกันตัวเองจากมลพิษทางอากาศ
“
ในนามของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่จึงขอประกาศว่าเชียงใหม่ในห้วงเวลานี้ คือเขตมลพิษทางอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนอย่างรุนแรง เพื่อเป็นสร้างความตระหนักต่อความรุนแรงของปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งใคร่ขอเรียกร้องให้ประชาชนในจังหวัดอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศได้ร่วมกันประกาศว่าจังหวัดของตนก็เป็นเขตมลพิษทางอากาศเช่นเดียวกันกับจังหวัดเชียงใหม่ การร่วมกันประกาศเขตมลพิษทางอากาศโดยประชาชนในทุกพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหานี้ นอกจากจะเป็น การส่งเสียงเตือนถึงภัยอันตรายจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ระหว่างประชาชนด้วยกันแล้ว ก็จะยังเป็นการร่วมกันกดดันให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในการรับมือกับปัญหาฝุ่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ด้าน รศ.
สมชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายภาคประชาชนและนักวิชาการได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจประกาศเขตภัยพิบัติ หรือเขตควบคุมมลพิษ แต่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับไม่ทำอะไรเลยหลังจากมาปั่นจักรยานและพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆนี้ เมื่อรัฐบาลไม่ทำอะไรเราจึงออกมาประกาศเขตมลพิษทางอากาศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเสียงของประชาชน และนอกจากชาวเชียงใหม่ก็อยากให้ประชาชนในพื้นที่อื่นๆที่เผชิญกับฝุ่น PM 2.5 ร่วมกันประกาศเขตมลพิษให้ทั่วกัน
ส่วนที่ นายกรัฐมนตรี อ้างว่าการไม่ประกาศเขตมลพิษทางอากาศเพราะเกรงจะกระทบท่องเที่ยว รศ.
สมชาย บอกว่า นักท่องเที่ยวไม่ได้โง่และใช้อินเทอร์เนตเข้าถึงข่าวสารได้จึงรู้อยู่แล้ว สิ่งที่นายเศรษฐาและรัฐบาลควรทำ คือการประกาศและควรแสดงเจตนาที่ดี เช่น หากมีนักท่องเที่ยวยืนยันมาเชียงใหม่ ก็ควรแจ้งเตือนให้นักท่องเที่ยวป้องกันตัวเอง เพราะเราคงไม่ปราถนาจะเห็นนักท่องเที่ยวมาเชียงใหม่แล้วกลับไปล้มป่วย
“
การประกาศเขตมลพิษคือการแจ้งเตือนว่านี่คือสภาวะที่เป็นอันตรายแล้ว ข้อมูลทางการแพทย์ก็ยอมรับว่า ภาคเหนือ คือพื้นที่ที่มีคนป่วยด้วยโรคมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะเชียงใหม่เป็นพื้นที่เสี่ยงเรื่องมะเร็งปอด แม้แต่อาจารย์ใน มช.ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ล้มป่วยเป็นมะเร็วปอดเสียชีวิตไปแล้วหลายคน” รศ.
สมชาย กล่าว
รศ.
สมชาย กล่าวต่อไปถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะแบนไม่นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านว่า
เกรงว่านายเศรษฐาอาจอยู่ไม่ถึงปีหน้า และเรื่องนี้ไม่ควรรอถึงปีหน้า เราเผชิญปัญหานี้มานานกว่า 10 ปี ทำไมจึงต้องรอปีหน้า ในฐานะรัฐบาลหากไม่มีน้ำยาก็ประกาศออกมาให้ประชาชนรู้ จะได้ชัดเจนเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะได้ลงโทษพรรคการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่อย่างไร”
นายกฯ
เศรษฐา ยกให้เชียงใหม่เป็นโมเดลในการแก้ปัญหา PM 2.5 รศ.
สมชาย มองว่า เชียงใหม่โมเดลไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะช่วงแรกๆ เป็นต้นฤดูฝุ่นปัญหายังไม่รุนแรง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า เชียงใหม่โมเดลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เมื่อล้มเหลวนายเศรษฐาควรออกมาพูดเรื่องนี้อีกรอบ จึงฝากไปถามนายเศรษฐาว่า เชียงใหม่โมเดลเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมฝากบอกให้นายเศรษฐา กลับมาปั่นจักรยานที่จังหวัดเชียงใหม่อีกสักรอบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 11.00 น. วันเดียวกันนี้ เว็บไซต์ IQ Air ซึ่งรายงานดัชนีคุณภาพอากาศทั่วโลกแบบเรียลไทม์ ได้จัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง (AQI) พบว่า เชียงใหม่ เป็นอันดับ 1 ของโลก
พริษฐ์ แซะ รัฐบาลตลกหกฉาก ทำนายไพ่ไม้ตาย ล็อกสเปกแก้รธน. กินรวบอำนาจ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8172395
“พริษฐ์” แซะ รัฐบาล ตลกหกฉาก ทำนาย เตรียมไพ่ไม้ตาย ผลิตนวัตกรรมล็อกสเปก แก้รัฐธรรมนูญ กินรวบอำนาจ จี้ รักษาสัจจะต่อประชาชน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 เม.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันที่ 2 มีนาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
โดยนาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทวงถามถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลสัญญาไว้กับประชาชนว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นเหมือนตลกหกฉาก โดยฉากสุดท้ายที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตัดสินเกี่ยวกับการทำประชามติ ไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเมื่อใด
ซึ่ง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทั้งที่ย้ำว่ามีวิกฤตความเห็นต่างที่จะแก้ไข ข้อสรุปไตรมาสแรก ของปี 67 แต่เลยเวลาแล้ว 3-4 วัน แต่ในมิติของรัฐธรรมนูญอยู่จุดเดิม และให้อำนาจตุลาการเป็นผู้ตัดสินเรื่องดังกล่าว
นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังล่าช้าต่อไป อาจสร้างความเสียหายที่ประเทศไทยสูญโอกาสมีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ก่อนการเลือกตั้ง เพราะตามกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ หากรัฐบาลดำเนินการตั้งแต่แรกจะใช้เวลาตามเทอมของรัฐบาล และก่อนการเลือกตั้ง
แต่หากต้องรอฟังศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผลอาจออกมาได้ 2 ทาง คือ ทำประชามติ 2 ครั้ง เป็นไปได้ที่จะจัดรัฐธรรมนูญใหม่ และกฎหมายประกอบได้ทันกรอบ 4 ปี แต่หากทำประชามติ 3 ครั้ง เสี่ยงต้องกลับมาเริ่มต้นกระบวนการใหม่ ไม่ได้รัฐธรรมนูญใหม่ และกฎหมายประกอบก่อนการเลือกตั้ง
นาย
พริษฐ์ อภิปรายต่อว่า แม้มีรัฐธรรมนูญใหม่ในรัฐบาลนาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง แต่รัฐบาลของนายเศรษฐาที่ตั้งได้ และอยู่ได้ จากใบบุญอำนาจเดิม จึงไม่ไว้ใจให้ประชาชนออกแบบการเมือง และจัดทำกติกาสูงสุดตามที่ประชาชนคาดหวัง
ทั้งนี้ ตนขอทำนายว่า รัฐบาลจะมีไพ่ไม้ตายที่เตรียมมาใช้ คือ
1. สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สูตรผสม จากการเลือกตั้ง และแต่งตั้ง เพื่อให้โหวตแข่งในประเด็นที่ต้องการผลักดัน
2. กินรวบคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่หมกเม็ดไว้ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ซึ่งยื่นเมื่อต้นปี 67 ผ่านกลไกของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีสัดส่วนจากรัฐบาล และสส.ฝ่ายรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน
และ 3. ด่านทางผ่านวุฒิสภา ที่ได้สิทธิเห็นชอบเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่ สสร.ยกร่าง ก่อนนำไปทำประชามติ แม้ว่าจะมีสว.ชุดใหม่ เชื่อว่ายังยึดโยงกับเครือข่ายอำนาจเดิม
“
ผมทำนายว่ารัฐบาลคิดค้น และทยอยใช้เพื่อควบคุมรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งนี้ หากคำทำนายเป็นจริง คือ รัฐบาลเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่มากกว่าประชาชน เพราะรัฐบาลผลิตนวัตกรรมล็อกสเปกรัฐธรรมนูญ แบบนี้คือประชาธิปไตยที่ขอใบอนุญาต
ผมเห็นท่าทีของพรรคเพื่อไทยพยายามออกแบบกลไกให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแทรกแซง ขอถามนายกฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทยว่า เชื่อในอำนาจประชาชนหรือไม่ หากการพ่ายในสนามเลือกตั้งครั้งแรก จึงมองว่าไม่ได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง จึงต้องหากระบวนการ” นาย
พริษฐ์ กล่าว
นาย
พริษฐ์ อภิปรายว่า ตนขอให้รัฐบาลยืนยันว่าไม่ต้องการกินรวบ และไม่ต้องขอใบอนุญาตจากสว. ก่อนการทำประชามติ เพื่อให้ความหวังประชาชนที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยเต็มใบไม่แตกสลาย ดังนั้น ตนขอเสนอแนะต่อการทำประชามติ ว่าให้ปฏิเสธคำถามยัดไส้
ต้องตั้งคำถามเปิดกว้าง และสนับสนุน สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% สนับสนุนการแก้ไขรายมาตราให้เป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนเร่งแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ที่รออยู่ในระเบียบวาระประชุม
“
ความสำเร็จหรือล้มเหลวของรัฐบาล ต่อการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นประชาชน ในความจริงใจและรักษาคำพูดและสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน” นาย
พริษฐ์ กล่าว
JJNY : นักวิชาการมช.ประกาศเอง│พริษฐ์แซะ รบ.ตลกหกฉาก│"วิโรจน์"ฉะนโยบายปฏิรูปกองทัพ│นาโต้กางแผนแสนล้านดอลลาร์ช่วยยูเครน
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4509141
นักวิชาการ มช. เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น แถลงการณ์ประกาศ เชียงใหม่เมืองมลพิษทางอากาศ
นักวิชาการ มช. เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น แถลงการณ์ประกาศ เชียงใหม่เมืองมลพิษทางอากาศ พร้อมเรียกร้องประชาชนในภาคเหนือที่เผชิญฝุ่น PM 2.5 ร่วมกันประกาศเขตมลพิษ หลังรัฐบาลเมินอ้างกลัวกระทบท่องเที่ยว
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 4 เมษายน ที่หน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เครือข่ายผู้ฟ้องคดีฝุ่น นำโดย ดร.กฤษณ์พชร โสมณวัตร รักษาการแทนผู้ช่วยฝ่ายคุณภาพนักศึกษา และศิษย์เก่าสัมพันธ์ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล รักษาการแทนหัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนากฏหมาย และนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ร่วมแถลงข่าวการประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นเขตมลพิษ
โดย ดร.กฤษณ์พชร เป็นผู้อ่านแถลงการณ์เรื่อง ‘เชียงใหม่ คือเขตมลพิษทางอากาศ’ เนื้อหาในแถลงการณ์ระบุถึง นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2567 ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ผู้คนจำนวนมากต้องเจ็บป่วยจากโรคทางเดินหายใจ ดังสามารถพบเห็นได้จาก ที่ผ่านมา เครือข่ายประชาชนภาคเหนือได้ดำเนินการฟ้องคดีนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และศาลปกครองเชียงใหม่ได้มีคำตัดสินเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เพื่อจัดทำแผนในการรับมือกับปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้น แต่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ก็ได้อุทธรณ์ต่อคำตัดสินของศาลปกครองเชียงใหม่ อันทำให้การแก้ไขปัญหาด้วยมาตรการทางกฎหมายต้องทอดเวลาออกไป
ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับมลพิษทางอากาศที่รุนแรงในห้วงเวลาปัจจุบัน ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ยังไม่มีการใช้อำนาจตามกฎหมายที่จะแสดงให้เห็นว่าบัดนี้เชียงใหม่อยู่ภายใต้สถานการณ์มลพิษทางอากาศ ทั้งที่ควรต้องมีการแจ้งเตือน การแจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกันตัวพื้นฐานให้กับประชาชน การรับมือกับไฟป่าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในห้วงเวลาก่อนหน้า ความเพิกเฉยของรัฐในการไม่จัดการและไม่ประกาศแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือเพราะห่วงผลกระทบที่จะมีต่อระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพียงด้านเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและสุขภาพของประชาชน ย่อมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างร้ายแรง ละเลยต่อสุขภาพชีวิต อนามัย และความเป็นอยู่ของประชาชนที่ไม่ได้หายใจในอากาศที่สะอาด
ทั้งหมดนี้เป็นภาระหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฎให้เห็น แม้นายกรัฐมนตรีจะมีการเยือนเชียงใหม่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการจัดการปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใดในสถานการณ์เฉพาะหน้า มีข้อมูลทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องประสบกับโรคทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา ในสถานการณ์ระยะยาว มีรายงานการศึกษาที่ขี้ให้เห็นว่าประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือเกือบทุกจังหวัดมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหอบหืด มะเร็งปอด และปอดอุดกั้นเรื้อรังสูงกว่า
ข้อมูลเหล่านี้ย่อม เป็นการยืนยันได้ว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อชีวิตของประชาชน จึงจำเป็นที่จะต้องประกาศให้เป็นที่รับทราบกันว่าเชียงใหม่คือเมืองมลพิษทางอากาสในระดับรุนแรง โดยไม่จำเป็นต้องให้รัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐเป็นผู้ประกาศ เพราะชัดเจนว่ายากจะฝากความหวังไว้ได้ การร่วมกันประกาศว่าเรากำลังอยู่ในเมืองที่เผชิญกับมลพิษทางอากาศ มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความตระหนักว่า สภาพแวดล้อมขณะนี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรุนแรง และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนป้องกันตนเองเท่าที่จะกระทำได้ การปล่อยให้เด็ก ๆ คนแก่ ผู้ใช้แรงงาน พ่อค้าแม่ค้าคนทำงานต้องอยู่ในพื้นที่โล่งโดยไม่มีการแจ้งเตือน เพื่อให้เกิดการป้องกันตัว ถือเป็นความอำหิตอย่างยากจะปฏิเสธ รวมถึงการกระตุ้นเตือนบรรดานักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ป้องกันตัวเองจากมลพิษทางอากาศ
“ในนามของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่จึงขอประกาศว่าเชียงใหม่ในห้วงเวลานี้ คือเขตมลพิษทางอากาศที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนอย่างรุนแรง เพื่อเป็นสร้างความตระหนักต่อความรุนแรงของปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งใคร่ขอเรียกร้องให้ประชาชนในจังหวัดอื่น ๆ ที่กำลังเผชิญกับมลพิษทางอากาศได้ร่วมกันประกาศว่าจังหวัดของตนก็เป็นเขตมลพิษทางอากาศเช่นเดียวกันกับจังหวัดเชียงใหม่ การร่วมกันประกาศเขตมลพิษทางอากาศโดยประชาชนในทุกพื้นที่ที่เผชิญกับปัญหานี้ นอกจากจะเป็น การส่งเสียงเตือนถึงภัยอันตรายจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ระหว่างประชาชนด้วยกันแล้ว ก็จะยังเป็นการร่วมกันกดดันให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการในการรับมือกับปัญหาฝุ่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ด้าน รศ.สมชาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครือข่ายภาคประชาชนและนักวิชาการได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจประกาศเขตภัยพิบัติ หรือเขตควบคุมมลพิษ แต่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับไม่ทำอะไรเลยหลังจากมาปั่นจักรยานและพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆนี้ เมื่อรัฐบาลไม่ทำอะไรเราจึงออกมาประกาศเขตมลพิษทางอากาศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเสียงของประชาชน และนอกจากชาวเชียงใหม่ก็อยากให้ประชาชนในพื้นที่อื่นๆที่เผชิญกับฝุ่น PM 2.5 ร่วมกันประกาศเขตมลพิษให้ทั่วกัน
ส่วนที่ นายกรัฐมนตรี อ้างว่าการไม่ประกาศเขตมลพิษทางอากาศเพราะเกรงจะกระทบท่องเที่ยว รศ.สมชาย บอกว่า นักท่องเที่ยวไม่ได้โง่และใช้อินเทอร์เนตเข้าถึงข่าวสารได้จึงรู้อยู่แล้ว สิ่งที่นายเศรษฐาและรัฐบาลควรทำ คือการประกาศและควรแสดงเจตนาที่ดี เช่น หากมีนักท่องเที่ยวยืนยันมาเชียงใหม่ ก็ควรแจ้งเตือนให้นักท่องเที่ยวป้องกันตัวเอง เพราะเราคงไม่ปราถนาจะเห็นนักท่องเที่ยวมาเชียงใหม่แล้วกลับไปล้มป่วย
“การประกาศเขตมลพิษคือการแจ้งเตือนว่านี่คือสภาวะที่เป็นอันตรายแล้ว ข้อมูลทางการแพทย์ก็ยอมรับว่า ภาคเหนือ คือพื้นที่ที่มีคนป่วยด้วยโรคมะเร็งสูงมาก โดยเฉพาะเชียงใหม่เป็นพื้นที่เสี่ยงเรื่องมะเร็งปอด แม้แต่อาจารย์ใน มช.ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ล้มป่วยเป็นมะเร็วปอดเสียชีวิตไปแล้วหลายคน” รศ.สมชาย กล่าว
รศ.สมชาย กล่าวต่อไปถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะแบนไม่นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านว่า เกรงว่านายเศรษฐาอาจอยู่ไม่ถึงปีหน้า และเรื่องนี้ไม่ควรรอถึงปีหน้า เราเผชิญปัญหานี้มานานกว่า 10 ปี ทำไมจึงต้องรอปีหน้า ในฐานะรัฐบาลหากไม่มีน้ำยาก็ประกาศออกมาให้ประชาชนรู้ จะได้ชัดเจนเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะได้ลงโทษพรรคการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่อย่างไร”
นายกฯ เศรษฐา ยกให้เชียงใหม่เป็นโมเดลในการแก้ปัญหา PM 2.5 รศ.สมชาย มองว่า เชียงใหม่โมเดลไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะช่วงแรกๆ เป็นต้นฤดูฝุ่นปัญหายังไม่รุนแรง แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า เชียงใหม่โมเดลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เมื่อล้มเหลวนายเศรษฐาควรออกมาพูดเรื่องนี้อีกรอบ จึงฝากไปถามนายเศรษฐาว่า เชียงใหม่โมเดลเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมฝากบอกให้นายเศรษฐา กลับมาปั่นจักรยานที่จังหวัดเชียงใหม่อีกสักรอบ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 11.00 น. วันเดียวกันนี้ เว็บไซต์ IQ Air ซึ่งรายงานดัชนีคุณภาพอากาศทั่วโลกแบบเรียลไทม์ ได้จัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง (AQI) พบว่า เชียงใหม่ เป็นอันดับ 1 ของโลก
พริษฐ์ แซะ รัฐบาลตลกหกฉาก ทำนายไพ่ไม้ตาย ล็อกสเปกแก้รธน. กินรวบอำนาจ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8172395
“พริษฐ์” แซะ รัฐบาล ตลกหกฉาก ทำนาย เตรียมไพ่ไม้ตาย ผลิตนวัตกรรมล็อกสเปก แก้รัฐธรรมนูญ กินรวบอำนาจ จี้ รักษาสัจจะต่อประชาชน
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 เม.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เป็นวันที่ 2 มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
โดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายทวงถามถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลสัญญาไว้กับประชาชนว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นเหมือนตลกหกฉาก โดยฉากสุดท้ายที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตัดสินเกี่ยวกับการทำประชามติ ไม่ทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเมื่อใด
ซึ่ง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทั้งที่ย้ำว่ามีวิกฤตความเห็นต่างที่จะแก้ไข ข้อสรุปไตรมาสแรก ของปี 67 แต่เลยเวลาแล้ว 3-4 วัน แต่ในมิติของรัฐธรรมนูญอยู่จุดเดิม และให้อำนาจตุลาการเป็นผู้ตัดสินเรื่องดังกล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวว่า หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังล่าช้าต่อไป อาจสร้างความเสียหายที่ประเทศไทยสูญโอกาสมีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ก่อนการเลือกตั้ง เพราะตามกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ หากรัฐบาลดำเนินการตั้งแต่แรกจะใช้เวลาตามเทอมของรัฐบาล และก่อนการเลือกตั้ง
แต่หากต้องรอฟังศาลรัฐธรรมนูญ ที่ผลอาจออกมาได้ 2 ทาง คือ ทำประชามติ 2 ครั้ง เป็นไปได้ที่จะจัดรัฐธรรมนูญใหม่ และกฎหมายประกอบได้ทันกรอบ 4 ปี แต่หากทำประชามติ 3 ครั้ง เสี่ยงต้องกลับมาเริ่มต้นกระบวนการใหม่ ไม่ได้รัฐธรรมนูญใหม่ และกฎหมายประกอบก่อนการเลือกตั้ง
นายพริษฐ์ อภิปรายต่อว่า แม้มีรัฐธรรมนูญใหม่ในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง แต่รัฐบาลของนายเศรษฐาที่ตั้งได้ และอยู่ได้ จากใบบุญอำนาจเดิม จึงไม่ไว้ใจให้ประชาชนออกแบบการเมือง และจัดทำกติกาสูงสุดตามที่ประชาชนคาดหวัง
ทั้งนี้ ตนขอทำนายว่า รัฐบาลจะมีไพ่ไม้ตายที่เตรียมมาใช้ คือ
1. สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สูตรผสม จากการเลือกตั้ง และแต่งตั้ง เพื่อให้โหวตแข่งในประเด็นที่ต้องการผลักดัน
2. กินรวบคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่หมกเม็ดไว้ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ซึ่งยื่นเมื่อต้นปี 67 ผ่านกลไกของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีสัดส่วนจากรัฐบาล และสส.ฝ่ายรัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน
และ 3. ด่านทางผ่านวุฒิสภา ที่ได้สิทธิเห็นชอบเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญที่ สสร.ยกร่าง ก่อนนำไปทำประชามติ แม้ว่าจะมีสว.ชุดใหม่ เชื่อว่ายังยึดโยงกับเครือข่ายอำนาจเดิม
“ผมทำนายว่ารัฐบาลคิดค้น และทยอยใช้เพื่อควบคุมรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งนี้ หากคำทำนายเป็นจริง คือ รัฐบาลเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่มากกว่าประชาชน เพราะรัฐบาลผลิตนวัตกรรมล็อกสเปกรัฐธรรมนูญ แบบนี้คือประชาธิปไตยที่ขอใบอนุญาต
ผมเห็นท่าทีของพรรคเพื่อไทยพยายามออกแบบกลไกให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแทรกแซง ขอถามนายกฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทยว่า เชื่อในอำนาจประชาชนหรือไม่ หากการพ่ายในสนามเลือกตั้งครั้งแรก จึงมองว่าไม่ได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง จึงต้องหากระบวนการ” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ อภิปรายว่า ตนขอให้รัฐบาลยืนยันว่าไม่ต้องการกินรวบ และไม่ต้องขอใบอนุญาตจากสว. ก่อนการทำประชามติ เพื่อให้ความหวังประชาชนที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยเต็มใบไม่แตกสลาย ดังนั้น ตนขอเสนอแนะต่อการทำประชามติ ว่าให้ปฏิเสธคำถามยัดไส้
ต้องตั้งคำถามเปิดกว้าง และสนับสนุน สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100% สนับสนุนการแก้ไขรายมาตราให้เป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนเร่งแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ที่รออยู่ในระเบียบวาระประชุม
“ความสำเร็จหรือล้มเหลวของรัฐบาล ต่อการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นประชาชน ในความจริงใจและรักษาคำพูดและสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน” นายพริษฐ์ กล่าว