...จะทำให้ ตีความหมายผิด เกิดความเข้าใจผิด แล้วจะเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมีตัวอย่างมากมายในสังคมไทย
......อย่าไปสนใจคำแปลไทยนัก ค่อนข้างอันตราย หลายๆแห่งใช้คำแปลมั่วๆ เกิดความเข้าใจผิดหลงเตลิดเปิดเปิงกันมากมาย เกิดมิจฉาทิฏฐิไปหนักๆก็มี ควรยึดหลักพระอภิธรรมไว้ จึงจะปลอดภัย
...ตัวอย่างที่อันตรายมากตัวอย่างหนึ่งคือ การแปลความหมายของ "จิตประภัสสร" ...แปลๆไปกลายเป็นจิตบริสุทธิ์ไปซะงั้น ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ เพราะจิตบริสุทธิ์หมายถึงจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ...แต่ จิตประภัสสรหมายถึงจิตที่ส่องแสงเหลื่อมพรายออกมา เมื่อมันสงบนิ่ง กิเลสหลบลงลึกไปกบดานอยู่ข้างล่าง ไม่ฟุ้งกระจายออกมา รู้สึกเผินๆเหมือนคล้ายจะหมดกิเลสไปแล้ว อาการของจิตประภัสสร คือ อาการของจิตที่ได้สมาธิดีๆนั่นเอง เช่น พวกฌานฤาษี ทั้งหลาย ซึ่งอาจจะสงบมากๆจนมีอภิญญาฤทธิ์เดชได้ แต่เมื่อใดกิเลสจากส่วนลึก(อนุสัยกิเลส) กระจายฟุ้งขึ้นมา ความเป็นประภัสสรจะหายไปทันที ฌานแตก มีกิเลสแบบคนธรรมดาอีก อาการประภัสสร ควรแปลว่า เหลื่อมพราย ไม่ใช่แปลว่าบริสุทธิ์ แต่ในพระไตรปิฏก หรือ ในอรรถกถาแปลไทย ดันแปลว่า บริสุทธิ์ เฉยเลย ซะงั้น...ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันมากมาย ... ลองนึกภาพ น้ำครำที่ดพมือสกปรก ต่อมา น้ำนั้นสงบนิ่ง ตะกอนตกลงไปอยู่ข้างล่าง น้ำส่วนบนก็เป็นน้ำใสขึ้นมา ส่องแสงออกมาได้ ...ก็ทำนองเดียวกัน
...หรือ อีกตัวอย่าง เช่น การแปล จากสำนวนว่า เย ธมฺมา เหตุ ฯ...( ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ..ฯ) ซึ่งในพระไตรปิฏก็แปลถูกแล้ว.. แต่เวลามีใครเอามาอ้างหรืออธิบาย หลายๆคนมักจะเติมคำว่า "เพราะความดับแห่งเหตุ" เติมเข้าไปเอง ทั้งๆที่ในตำรา ไม่มีสำนวนนั้น คือ ไม่ได้ระบุว่าเหตุดับ
...(( คำแปลไทย ที่ใช้คำแปลผิดๆ หรือคลาดเคลื่อน มีมากมาย ในพระไตรปิฏกแปลไทย หรือ อรรถกถาแปลไทย ระวังมากๆๆ ))
&&& ระวังการอ่าน พระไตรปิฏกหรืออรรถกถาที่แปลเป็นภาษาไทย ..เพราะมีความคลาดเคลื่อนบ่อยๆหลายๆแห่ง..&&&
......อย่าไปสนใจคำแปลไทยนัก ค่อนข้างอันตราย หลายๆแห่งใช้คำแปลมั่วๆ เกิดความเข้าใจผิดหลงเตลิดเปิดเปิงกันมากมาย เกิดมิจฉาทิฏฐิไปหนักๆก็มี ควรยึดหลักพระอภิธรรมไว้ จึงจะปลอดภัย
...ตัวอย่างที่อันตรายมากตัวอย่างหนึ่งคือ การแปลความหมายของ "จิตประภัสสร" ...แปลๆไปกลายเป็นจิตบริสุทธิ์ไปซะงั้น ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ เพราะจิตบริสุทธิ์หมายถึงจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ...แต่ จิตประภัสสรหมายถึงจิตที่ส่องแสงเหลื่อมพรายออกมา เมื่อมันสงบนิ่ง กิเลสหลบลงลึกไปกบดานอยู่ข้างล่าง ไม่ฟุ้งกระจายออกมา รู้สึกเผินๆเหมือนคล้ายจะหมดกิเลสไปแล้ว อาการของจิตประภัสสร คือ อาการของจิตที่ได้สมาธิดีๆนั่นเอง เช่น พวกฌานฤาษี ทั้งหลาย ซึ่งอาจจะสงบมากๆจนมีอภิญญาฤทธิ์เดชได้ แต่เมื่อใดกิเลสจากส่วนลึก(อนุสัยกิเลส) กระจายฟุ้งขึ้นมา ความเป็นประภัสสรจะหายไปทันที ฌานแตก มีกิเลสแบบคนธรรมดาอีก อาการประภัสสร ควรแปลว่า เหลื่อมพราย ไม่ใช่แปลว่าบริสุทธิ์ แต่ในพระไตรปิฏก หรือ ในอรรถกถาแปลไทย ดันแปลว่า บริสุทธิ์ เฉยเลย ซะงั้น...ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันมากมาย ... ลองนึกภาพ น้ำครำที่ดพมือสกปรก ต่อมา น้ำนั้นสงบนิ่ง ตะกอนตกลงไปอยู่ข้างล่าง น้ำส่วนบนก็เป็นน้ำใสขึ้นมา ส่องแสงออกมาได้ ...ก็ทำนองเดียวกัน
...หรือ อีกตัวอย่าง เช่น การแปล จากสำนวนว่า เย ธมฺมา เหตุ ฯ...( ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ..ฯ) ซึ่งในพระไตรปิฏก็แปลถูกแล้ว.. แต่เวลามีใครเอามาอ้างหรืออธิบาย หลายๆคนมักจะเติมคำว่า "เพราะความดับแห่งเหตุ" เติมเข้าไปเอง ทั้งๆที่ในตำรา ไม่มีสำนวนนั้น คือ ไม่ได้ระบุว่าเหตุดับ
...(( คำแปลไทย ที่ใช้คำแปลผิดๆ หรือคลาดเคลื่อน มีมากมาย ในพระไตรปิฏกแปลไทย หรือ อรรถกถาแปลไทย ระวังมากๆๆ ))