รายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ
*เราขอแทนเขาว่าผู้ทวงและเราคือผู้ถูกทวงค่ะ
1.ระยะเวลาที่คบกันมากกว่า3ปี
2.มีการให้และรับเหมือนคนรักทั่วไป
3.เป็นเพศเดียวกัน
4.ไม่มีสัญญาเงินกู้ หลักๆมีเพียงสลิปโอนเงิน,ข้อความแชทในทำนองทวงหรือให้รับสภาพหนี้
5.เมื่อความรักสิ้นสุดลง ฝ่ายที่ถูกทวงได้มีโอนให้ไปหลายครั้ง เพื่อตัดความรำคาญ และอยากให้รับรู้ว่า ไม่ได้มาหลอกลวงใดๆตามที่โดนกล่าวหา
6.ยังมีการส่งข้อความมาคุกคามและทวงอยู่เรื่อยมา ฝ่ายถูกทวงจึงหยุดอ่านข้อความและไม่ตอบโต้
7.ฝ่ายทวงได้ติดต่อไปยังแม่และพี่สาวผู้ถูกทวงเพื่อพยายามติดต่อผู้ถูกทวง พร้อมกับได้มีการพูดจาว่าร้ายผู้ถูกทวงให้เสียหายให้มารดาผู้ถูกทวงฟัง จนมารดาผู้ถูกทวงเป็นกังวลและไม่สบายใจ
8.จากเหตุการณ์ข้อ5 ผู้ถูกทวงตัดสินใจตัดทุกช่องทางด้วยการบล็อค เพราะการกระทำดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพจิต และสุขภาพกายของผู้ถูกทวงเป็นอย่างยิ่ง
9.ผ่านไปเกือบเดือนผู้ทวงได้ใช้อำนาจของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากผู้ถูกทวงไป 200 กม.ในการพยายามเรียกผู้ถูกทวงไปพบ โดยระบุว่าเชิญไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ว่าด้วยต้องการทวงเงิน 30000 บาท และขอเรียกคืนทองน้ำหนัก 2 สลึงคืน โดยกำหนดวันเวลา ตามเวลาราชการมา (*ผู้ทวงเป็นข้าราชการตำแหน่งประมาณนึง)
10.ผู้ถูกทวงรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงได้ทำการปรึกษาทางทนายอาสาที่มีให้บริการทั่วไป ได้รับคำแนะนำว่า อย่าไปสนใจ และสำนักดังกล่าวไม่ใช่ศาล ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ใครไปพบโดยไม่ยินยอมได้ ผู้ถูกทวงจึงไม่ได้ตอบโต้อะไร และไม่ได้ไปตามวันและเวลาที่ระบุมา
(*ผู้ทวงเคยบอกเล่าตอนยังคบหากันว่า มีคุณอาที่เคารพนับถือกับพ่อเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาในจังหวัดนั้น ผู้ถูกทวงจำตำแหน่งไม่แม่นยำรัก ยิ่งทำให้ผู้ถูกทวงหวาดกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะไป)
11.ผ่านมาอีกราวๆ 1 เดือน ได้มีหนังสือจากสำนักทนายความแห่งหนึ่งของจังหวัดเดียวกันกับที่กล่าวมา ส่งมาขอให้ชำระหนี้เป็นเงิน 3 หมื่น ทองมูลค่า 1 บาทคิดเป็นเงิน 35000 บาท รวมเป็นเงิน 65000 บาท และเร่งรัดให้ชำระภายใน 15 วัน มิเช่นนั้นจะดำเนินคดี
*จุดสังเกตุจากข้อ9 คือ ยอดทวงเปลี่ยนแปลงจากยอดทวงข้อ 7 โดยน้ำหนักทองเพิ่มขึ้น
และนี่คือเหตุผลหลักที่ผู้ถูกทวงยุติการโอนเงินไปให้ผู้ถูกทวง เพราะไม่มั่นใจว่า ผู้ทวงจะพอใจที่จุดไหน ต้องให้อีกเท่าไหร่
คำถามคือ ทางผู้ทวงฟ้องได้หรือไม่ เนื่องจากในส่วนมากจะเป็นการให้โดยเต็มใจจากผู้ให้ แต่มาเปลี่ยนไปหลังจากความสัมพันธ์จบลง
โดยเท่าที่พอจะเห็นว่าสลิปถูกบันทึกว่ายืมเป็นยอดเงิน 8000 บาทแต่ผู้ถูกทวงโอนไปกว่า 30000 แล้ว แต่ไม่เป็นที่พอใจสักที
หมายเหตุ ดังที่กล่าวมาว่ามีช่วงที่ผู้ถูกทวงเลี่ยงการตอบโต้สนทนา ทำให้ในช่วงนั้นไม่เปิดอ่านข้อความจากผู้ทวงเลย จนกระทั่งล่าสุด ไปปลดบล็อคและเปิดดูเพื่อตรวจสอบรวบรวมหลักฐาน พบข้อความบางประการที่ดูเหมือนข่มขู่หรืออาฆาตมาดร้าย เช่น "ไม่ยอมให้ใครมาเชยชมเธอหรอก" " ต้องคืนของที่เคยให้ไปมาให้หมด ฉันไม่ยอมให้เธอสบายหรอก" รวมถึงผู้ทวงเคยกล่าวว่า ตนนั้นมีญาติเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา ที่จะช่วยได้ทุกอย่าง ประมาณนี้ค่ะ
...ตอนนี้ผู้ถูกทวงมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับ และมีภาวะกัดฟันแบบไม่รู้ตัวจนกรามอักเสบจากความเครียดแล้วค่ะ...เห้ออออ
เลิกกันไปแล้ว ทวงข้าวของเงินทองที่เคยให้กันตามกฏหมายได้หรือไม่?
*เราขอแทนเขาว่าผู้ทวงและเราคือผู้ถูกทวงค่ะ
1.ระยะเวลาที่คบกันมากกว่า3ปี
2.มีการให้และรับเหมือนคนรักทั่วไป
3.เป็นเพศเดียวกัน
4.ไม่มีสัญญาเงินกู้ หลักๆมีเพียงสลิปโอนเงิน,ข้อความแชทในทำนองทวงหรือให้รับสภาพหนี้
5.เมื่อความรักสิ้นสุดลง ฝ่ายที่ถูกทวงได้มีโอนให้ไปหลายครั้ง เพื่อตัดความรำคาญ และอยากให้รับรู้ว่า ไม่ได้มาหลอกลวงใดๆตามที่โดนกล่าวหา
6.ยังมีการส่งข้อความมาคุกคามและทวงอยู่เรื่อยมา ฝ่ายถูกทวงจึงหยุดอ่านข้อความและไม่ตอบโต้
7.ฝ่ายทวงได้ติดต่อไปยังแม่และพี่สาวผู้ถูกทวงเพื่อพยายามติดต่อผู้ถูกทวง พร้อมกับได้มีการพูดจาว่าร้ายผู้ถูกทวงให้เสียหายให้มารดาผู้ถูกทวงฟัง จนมารดาผู้ถูกทวงเป็นกังวลและไม่สบายใจ
8.จากเหตุการณ์ข้อ5 ผู้ถูกทวงตัดสินใจตัดทุกช่องทางด้วยการบล็อค เพราะการกระทำดังกล่าวส่งผลต่อสุขภาพจิต และสุขภาพกายของผู้ถูกทวงเป็นอย่างยิ่ง
9.ผ่านไปเกือบเดือนผู้ทวงได้ใช้อำนาจของสำนักงานยุติธรรมจังหวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลจากผู้ถูกทวงไป 200 กม.ในการพยายามเรียกผู้ถูกทวงไปพบ โดยระบุว่าเชิญไปไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ว่าด้วยต้องการทวงเงิน 30000 บาท และขอเรียกคืนทองน้ำหนัก 2 สลึงคืน โดยกำหนดวันเวลา ตามเวลาราชการมา (*ผู้ทวงเป็นข้าราชการตำแหน่งประมาณนึง)
10.ผู้ถูกทวงรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงได้ทำการปรึกษาทางทนายอาสาที่มีให้บริการทั่วไป ได้รับคำแนะนำว่า อย่าไปสนใจ และสำนักดังกล่าวไม่ใช่ศาล ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ใครไปพบโดยไม่ยินยอมได้ ผู้ถูกทวงจึงไม่ได้ตอบโต้อะไร และไม่ได้ไปตามวันและเวลาที่ระบุมา
(*ผู้ทวงเคยบอกเล่าตอนยังคบหากันว่า มีคุณอาที่เคารพนับถือกับพ่อเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาในจังหวัดนั้น ผู้ถูกทวงจำตำแหน่งไม่แม่นยำรัก ยิ่งทำให้ผู้ถูกทวงหวาดกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะไป)
11.ผ่านมาอีกราวๆ 1 เดือน ได้มีหนังสือจากสำนักทนายความแห่งหนึ่งของจังหวัดเดียวกันกับที่กล่าวมา ส่งมาขอให้ชำระหนี้เป็นเงิน 3 หมื่น ทองมูลค่า 1 บาทคิดเป็นเงิน 35000 บาท รวมเป็นเงิน 65000 บาท และเร่งรัดให้ชำระภายใน 15 วัน มิเช่นนั้นจะดำเนินคดี
*จุดสังเกตุจากข้อ9 คือ ยอดทวงเปลี่ยนแปลงจากยอดทวงข้อ 7 โดยน้ำหนักทองเพิ่มขึ้น
และนี่คือเหตุผลหลักที่ผู้ถูกทวงยุติการโอนเงินไปให้ผู้ถูกทวง เพราะไม่มั่นใจว่า ผู้ทวงจะพอใจที่จุดไหน ต้องให้อีกเท่าไหร่
คำถามคือ ทางผู้ทวงฟ้องได้หรือไม่ เนื่องจากในส่วนมากจะเป็นการให้โดยเต็มใจจากผู้ให้ แต่มาเปลี่ยนไปหลังจากความสัมพันธ์จบลง
โดยเท่าที่พอจะเห็นว่าสลิปถูกบันทึกว่ายืมเป็นยอดเงิน 8000 บาทแต่ผู้ถูกทวงโอนไปกว่า 30000 แล้ว แต่ไม่เป็นที่พอใจสักที
หมายเหตุ ดังที่กล่าวมาว่ามีช่วงที่ผู้ถูกทวงเลี่ยงการตอบโต้สนทนา ทำให้ในช่วงนั้นไม่เปิดอ่านข้อความจากผู้ทวงเลย จนกระทั่งล่าสุด ไปปลดบล็อคและเปิดดูเพื่อตรวจสอบรวบรวมหลักฐาน พบข้อความบางประการที่ดูเหมือนข่มขู่หรืออาฆาตมาดร้าย เช่น "ไม่ยอมให้ใครมาเชยชมเธอหรอก" " ต้องคืนของที่เคยให้ไปมาให้หมด ฉันไม่ยอมให้เธอสบายหรอก" รวมถึงผู้ทวงเคยกล่าวว่า ตนนั้นมีญาติเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา ที่จะช่วยได้ทุกอย่าง ประมาณนี้ค่ะ
...ตอนนี้ผู้ถูกทวงมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับ และมีภาวะกัดฟันแบบไม่รู้ตัวจนกรามอักเสบจากความเครียดแล้วค่ะ...เห้ออออ