ประสบการณ์กินยาฆ่าตัวตาย จากโรคซึมเศร้า

มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลางเดือนที่แล้ว จากความผิดหวังและความตั้งใจที่คาดหวังไว้มากกว่านี้ เกิดเป็นความกดดันให้กับตนเอง กาลเวลาปล่อยให้ผ่านไปโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นกำลังป่วย หรือมีเคมีในสมองที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นในตอนนั้น โดยเฉพาะความผิดหวังที่ตั้งใจไว้แล้วทำมันไม่ได้ มันมาคอยตอกย้ำ คอยซ้ำเติมตนเอง เป็นอยู่แบบนี้หลายสัปดาห์

กระทั่ง มีความคิดอยากจะจบชีวิตตัวเอง แต่ขอเป็นวิธีที่สบายที่สุด อยากแค่นอนหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย

#ครั้งที่1 ตัดสินใจกินยาแก้แพ้ (CPM) ชนิดที่ทานแล้วง่วงนอน ตัดสินใจกินไปทั้งหมด 130 เม็ด ในครั้งเดียว ไม่เกิน 1 ชั่วโมงจากนั้นมีคนรู้เรื่อง ตัดสินใจนำส่งโรงพยาบาล ทันทีที่ถึงห้องฉุกเฉิน หมอสวนสายยางจากจมูกลงไปถึงกระเพาะอาหาร เพื่อทำการล้างท้อง และเติมคาร์บอนเข้าไปดูดสารพิษที่กินเข้าไป หลังจากนั้นก็แอดมิดอยู่ที่โรงพยาบาล 3 วัน 
วันที่ 3 มีอาการคลุมคลั่ง ต้องการขอออกจากโรงพยาบาล พยายามเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องพักพยาบาลเพื่อขอร้อง แต่ไม่เป็นผลจึงตัดสินใจ ดึงสายน้ำเกลือที่แขนซึ่งยังมีเข็มปักคาเส้นเลือดดำอยู่ (เนื่องจากต้องให้ยาทางเส้นเลือดดำ) ทำให้เลือดพุ่งออกมาจากเข็มที่ปักอยู่เส้นเลือดดำนั้น ตั้งแต่ชั้น 4 ไหลตามบันไดลงมาจนถึงชั้นที่ 1 มีหมอและพยาบาลคอยวิ่งไล่จับ ผ่านหน้าคนไข้คนอื่นๆพร้อมกับเสียงตะโกนมาตามหลังว่า "ช่วยจับคนไข้ด้วย คนไข้กำลังหนี!!" สุดท้ายก็ถูกยามดักไว้ได้ที่หน้าโรงพยาบาลก่อนประตูทางออก ทำให้ต้องกลับเข้าห้องพักโดยที่มี รปภ. เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าจะทำเรื่องขอปฏิเสธการรักษาเสร็จ สรุปเหตุการณ์ในวันนั้นได้ทำเรื่องปฏิเสธการรักษาและออกมาในที่สุด

#ครั้งที่2 เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คาดว่าเป็นผลข้างเคียงจากครั้งแรกที่ไม่ยอมรับการรักษาให้เสร็จสิ้น เกิดอาการชัก ตัวเกร็ง เกือบหมดสติไป ทำให้คนที่อยู่ด้วยในตอนนั้นช่วยเรียกรถพยาบาล เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล และต้องรักษาตัวต่ออีก 2 วัน เหตุการณ์นี้ไม่น่ามีอะไรต้องกังวล เพราะยอมเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยตนเอง

#ครั้งที่3 ตั้งใจแล้วว่าจะจบชีวิตตัวเองให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จ ครั้งนี้ใช้วิธี ทานยานอนหลับทั้งหมด 30 เม็ด ยากล่อมประสาทชนิดที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจอีก 38 เม็ด รวมทั้งสิ้น 68 เม็ด ใช้มีดโกนกรีดข้อมือทั้งหมด 15 แผล ใช้มีดปอกผลไม้เสียบเข้าไปที่ท้อง 1 แผล(แต่ไม่ลึกมาก) และสุดท้ายใช้จานชามกระเบื้องทุบตีหัวตัวเองให้สลบ เหตุการณ์นี้แอบทำเพียงลำพัง หลังจากนั้นหมดสติไป 2 ชั่วโมง โดยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่าหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยมบาลท่านคงยังเลือกหลุมให้ไปชดใช้กรรมที่สุดแสนจะยากลำเค็ญยังไม่ได้ 2 ชั่วโมงผ่านมารู้สึกตัว พยายามกระยิ้มกระสน คลานลงลิฟท์จากชั้น 20 เพื่อลงไปยังหน้าล็อบบี้ชั้นล่าง เรียกรถแท็กซี่ ไปยังโรงพยาบาลด้วยตนเอง ทันทีที่ไปถึงห้องฉุกเฉิน (ER) หมอกับพยาบาลต่างมึนงงพร้อมกับถามว่าทำไมถึงเดินเข้ามาคนเดียวได้ ตอนนั้นก็บอกมาตามตรงว่ากินยา overdose มา และเป็นยาตัวไหนบ้างทั้งหมดกี่ตัว และมีแผลตรงไหน ทั้งหมอและพยาบาลต่างรุมพาขึ้นเตียง ต่างคนต่างแยกกันรักษาในจุดที่บาดเจ็บ หนึ่งในนั้นรีบปรึกษาศูนย์พิษวิทยา แต่ได้คำตอบกลับมาว่าระยะเวลาที่ได้รับยาเข้าไปนั้นนานเกินไปแล้ว แล้วมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจหยุดเต้น จำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด ทำให้ครั้งนี้ต้องอยู่ห้อง ICU เป็นเวลาทั้งหมด 3 วัน เนื่องจากต้องฉีดยา Omeplazo เข้าเส้นเลือดดำทุก 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 วัน และบังคับให้กินน้ำผสมผงคาร์บอนด้วยตนเอง ผลข้างเคียงหลังจากนั้นคือมีอาการนอนไม่หลับ สองคืนแรกไม่สามารถนอนหลับได้เลย (นั่งเป็นเพื่อนพยาบาลทั้งคืน) หลังจากนั้น 3 วัน คุณหมออนุญาตให้ย้ายออกจากห้อง ICU ไปยังห้องพิเศษได้ แต่ตนขอเลือกที่จะกลับออกจากโรงพยาบาลแทน โดยมีข้อแม้ว่าอีก 1 วันจะต้องกลับเข้ามาโรงพยาบาลเหมือนเดิม เนื่องจากจะต้องพบกับจิตแพทย์ควบคู่กับการรักษาทางกาย จึงตกลงกับหมอตามนั้น ทั้ง 3 เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์

วันแรกของการออกมาลองใช้ชีวิต คืนนั้นได้รับกำลังใจที่ดีจากคนที่อยู่ไกลกันคนละซีกโลก จากคนที่เคยรักและเคยเข้าใจกันที่สุด ทำให้สิ่งแย่ๆที่เข้ามา กลายเป็นพลังบวกให้กับชีวิต ทำให้วันนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี และตื่นไปพบหมอในตอนเช้า ตามที่สัญญาไว้

อยากขอบคุณครอบครัว เพื่อนๆ และคนใกล้ชิดทุกคน ขาดไม่ได้เลยคือพี่ๆหมอ และพยาบาลโรงพยาบาลวิภาราม ที่คอยดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด คนอื่นอาจไม่ได้รับกำลังใจแบบนี้ด้วยซ้ำ ถือว่าตนเองโชคดี อย่างน้อยก็ยังมีคนรอบข้างคอยเข้าใจกัน แล้วหวังว่าเหตุการณ์แบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเองอีก

ตอนนี้เข้าสู่กระบวนการรักษาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่างฟื้นกลับมาในทิศทางที่ดี โดยแพทย์วินิจฉัยว่า เป็น #โรคซึมเศร้า, #โรคเครียด, #โรคแพนิค, #โรคไบโพล่า (ที่อารมณ์ดีและร้องไห้ได้) และสุดท้ายโรค #ปัญหาการนอนหลับ ที่ยังไม่สามารถจัดการได้

หมายเหตุเพิ่มเติม : หลังจากมีอาการอยากทำร้ายตัวเองในขั้นสุดท้าย จะไม่สามารถควบคุมและยับยั้งชั่งใจตนเองได้ จนอยากทำร้ายตนเองแต่ไม่เคยคิดจะทำร้ายคนอื่น

หมั่นดูแลคนใกล้ชิดกันด้วยนะครับ เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ หรือเรื่องราวแบบนี้จะเกิดขึ้นกับใครอาจจะเป็นคนใกล้ตัวเรา หรือเป็นคนที่เราคาดหวังในสิ่งที่เขาอยากจะเห็นเขาเป็นมากเกินไป แม้แต่คนที่อารมณ์ดีอย่างผม ก็ยังผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว...

#แชร์ประสบการณ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่