เป็นบทความที่จะเล่าถึงตัวผมเองตอนที่ทุกอย่างพังพินาศ แล้วจะเฉลยให้อ่านทีหลังว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
ทั้งนี้หลักการและเหตุผลทั้งหมดภายในเรื่อง เป็นเพียงสิ่งที่เกิดในชีวิตผมเท่านั้น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สรุปได้จากบทความ อาจใช้ไม่ได้กับชีวิตคนอื่น หรือให้ผลตรงกันข้ามกับที่ตัวบทความต้องการจะสื่อ คนเราอาจเกิดเป็นคนเหมือนกัน บนโลกใบเดียวกัน แต่มีชีวิตเหมือนอยู่คนละจักรวาลก็ได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าควรมีเพื่อนหรือคนสนิทอยู่เคียงข้างขณะอ่านบทความ
จากเด็กมัธยมที่ไม่เคยแตะงานบ้าน และไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากท่องหนังสือ หลังจบม.6 ก็วุ่นกับการวิ่งรอกหาสนามสอบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของเด็กยุคนั้น
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย หลังฝ่าฟันสนามสอบมาอย่างยาวนาน ทั้งช่วง ม.6 และตอนซิ่ว ในที่สุดก็สอบติดหมออย่างที่ฝันไว้ ผมดีใจอยู่พักใหญ่ราวกับว่าชีวิตมาถึงเส้นชัยแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล แวดวงสังคมของผมในตอนนั้น ต่างก็บอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้ามาถึงจุดนี้ได้
ชีวิตปี 1 เป็นอะไรที่เจริญหูเจริญตามาก ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามนุษย์จะมีความสุขได้ขนาดนี้ ไม่ต้องนั่งท่องหนังสืออยู่แต่ในบ้านอีกต่อไปแล้ว เงินก็ไม่ต้องหา งานก็ไม่ต้องทำ เรียนก็ไม่ต้องเรียน ขอแค่เข้าสอบให้ครบก็พอ ตกเย็นเอาแต่ถามเพื่อนว่าคืนนี้ร้านไหนดี แล้วก็ตะลอนกันไปทั้งคืน แม้ว่าจะขึ้นปี 2 ผมก็ยังทำตัวแบบนี้ เพิ่มเติมคือไม่เข้ากิจกรรม ไม่เข้างานกลุ่ม ถ้าไม่เข้าร้านเหล้าก็เอาแต่เขียนนิยาย มิหนำซ้ำยังเขียนบทความไลฟ์โค้ชสอนคนอื่น ทั้งที่ยังเอาตัวไม่รอด จากเด็กดี(แต่สอบ)ในวัยมัธยม กลายเป็นคนไม่เอาไหนที่ไม่มีอะไรดีเลย
จนกระทั่งพ่อผมเสียตอนปลายปี 2 ถ้านี่เป็นบทความไลฟ์โค้ชโลกสวย ผมคงเขียนว่านี่แหละ เป็นจุดที่ทำให้ผมคิดได้
แต่เปล่าเลย ผมยังทำตัวเหมือนเดิม แถมยังกล้าฝันหน้าด้าน ๆ ว่าจะจบชั้นพรีคลินิกพร้อมเพื่อน จนกระทั่งจบปี 3 ถึงได้รู้ตัวว่ายังไงก็ต้องซ้ำชั้น
เชื่อว่าคนที่กำลังอ่านบทความนี้ ไม่มีใครเคยทำตัวเหลวแหลกเท่าผมอีกแล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ แม้แต่ตัวผมเอง ก็ยังรู้สึกว่ากำลังอ่านเรื่องราวของคนอื่น แบบที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี่แหละครับ
จนกระทั่งขึ้นชั้นคลินิก ผมก็ทนสภาพการทำงานแบบนั้นไม่ไหว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง การสอบแข่งขันที่เคยเป็นความภาคภูมิใจในสมัยมัธยมก็หายไปนานแล้ว สุดท้ายโรคซึมเศร้าก็กำเริบอีกครั้ง จนต้องเปลี่ยนสาขา
หลังเรียนจบในสาขาใหม่ ผมก็ต้องทำงานสอนพิเศษ และช่วยที่บ้านขายของไปด้วย ช่วงนี้ไม่ได้กลับไปแตะงานเขียนนิยายอีกแล้ว เวลาว่างก็ได้แต่วาดการ์ตูน แถมยังด่าตัวเองอยู่ทุกวัน เกลียดเด็กคิดไม่เป็นในวันนั้น ที่เอาแต่หลอกตัวเองว่ามีทัศนคติสูงส่ง และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย จนกระทั่งทุกอย่างพังเละ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าคนที่ล้มเหลวและเลือกจบชีวิตตัวเอ อาจคิดถูกแล้วก็ได้ เพราะต่อให้รอดมาได้ ก็ต้องติดอยู่ในวังวนการด่าตัวเอง รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จะไม่หายไปในทันที
ผมยังโชคดีที่วันหนึ่งได้รับโอกาสให้ตระหนักถึงการให้อภัยตัวเอง และผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ถึงจะหลุดจากวังวนการด่าตัวเองมาได้ แต่บททดสอบด่านต่อไปก็ยังรออยู่ไม่ไกล เพราะหลังจากล้มเหลวครั้งนั้น ก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างมาตลอด จนกระทั่งได้รับโอกาสที่สอง ตัวตนผมในตอนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ผ่านความพังพินาศ และการฝึกตนทั้งในงานของตัวเอง งานของที่บ้าน และงานอดิเรก ตัวตนที่ผมควรเป็นตั้งแต่อายุ 17 เพิ่งจะเกิดขึ้นจริงตอน 27 เวลาของมนุษย์คนหนึ่งที่ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ หายไปถึงหนึ่งทศวรรษเต็ม ๆ ทั้งที่เราก็ไม่ได้อายุยืนถึงขั้นจะเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมเพิ่งตระหนักว่าเพื่อนที่เชื่อฟังพ่อแม่ตั้งแต่แรกนี่สุดยอดจริง ๆ ที่รู้ว่านั่นเป็นหนทางที่ถูกต้อง แถมยังรู้ตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก
แต่ถึงอย่างนั้น สิบปีที่หายไปก็ยังมีเพื่อนที่ช่วยสะท้อนข้อเสียของผมในเชิงบวก และมิตรภาพดี ๆ อีกมาก ที่สำคัญคือเรื่องราวที่สร้างตัวตนของผมในวันนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายแม้ว่าเราจะท่องตำราจนสอบเข้าคณะในฝันได้ แต่ถ้าไม่ได้ฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบตามวัย ผลของมันอาจร้ายแรงได้มากกว่าความสูญเปล่าของสิ่งที่สอบได้ แต่มันร้ายแรงได้ถึงขั้นทำให้มนุษย์คนหนึ่งฆ่าตัวตาย หรืออาจร้ายแรงกว่านั้นได้อีกหลายเท่าตัว เพราะการล้มของใครสักคน ย่อมส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างไม่มากก็น้อย
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ ใครอยากอ่านการ์ตูนเชิญต่อที่ลิงก์ข้างล่างได้เลยครับ
https://www.webtoons.com/th/canvas/blood-credit-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/list?title_no=945530
จุบของเด็กที่ถูกตามใจ และบทเรียนที่(เกือบ)ต้องแลกด้วยชีวิต
ทั้งนี้หลักการและเหตุผลทั้งหมดภายในเรื่อง เป็นเพียงสิ่งที่เกิดในชีวิตผมเท่านั้น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สรุปได้จากบทความ อาจใช้ไม่ได้กับชีวิตคนอื่น หรือให้ผลตรงกันข้ามกับที่ตัวบทความต้องการจะสื่อ คนเราอาจเกิดเป็นคนเหมือนกัน บนโลกใบเดียวกัน แต่มีชีวิตเหมือนอยู่คนละจักรวาลก็ได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน สำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าควรมีเพื่อนหรือคนสนิทอยู่เคียงข้างขณะอ่านบทความ
จากเด็กมัธยมที่ไม่เคยแตะงานบ้าน และไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากท่องหนังสือ หลังจบม.6 ก็วุ่นกับการวิ่งรอกหาสนามสอบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของเด็กยุคนั้น
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย หลังฝ่าฟันสนามสอบมาอย่างยาวนาน ทั้งช่วง ม.6 และตอนซิ่ว ในที่สุดก็สอบติดหมออย่างที่ฝันไว้ ผมดีใจอยู่พักใหญ่ราวกับว่าชีวิตมาถึงเส้นชัยแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล แวดวงสังคมของผมในตอนนั้น ต่างก็บอกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้ามาถึงจุดนี้ได้
ชีวิตปี 1 เป็นอะไรที่เจริญหูเจริญตามาก ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามนุษย์จะมีความสุขได้ขนาดนี้ ไม่ต้องนั่งท่องหนังสืออยู่แต่ในบ้านอีกต่อไปแล้ว เงินก็ไม่ต้องหา งานก็ไม่ต้องทำ เรียนก็ไม่ต้องเรียน ขอแค่เข้าสอบให้ครบก็พอ ตกเย็นเอาแต่ถามเพื่อนว่าคืนนี้ร้านไหนดี แล้วก็ตะลอนกันไปทั้งคืน แม้ว่าจะขึ้นปี 2 ผมก็ยังทำตัวแบบนี้ เพิ่มเติมคือไม่เข้ากิจกรรม ไม่เข้างานกลุ่ม ถ้าไม่เข้าร้านเหล้าก็เอาแต่เขียนนิยาย มิหนำซ้ำยังเขียนบทความไลฟ์โค้ชสอนคนอื่น ทั้งที่ยังเอาตัวไม่รอด จากเด็กดี(แต่สอบ)ในวัยมัธยม กลายเป็นคนไม่เอาไหนที่ไม่มีอะไรดีเลย
จนกระทั่งพ่อผมเสียตอนปลายปี 2 ถ้านี่เป็นบทความไลฟ์โค้ชโลกสวย ผมคงเขียนว่านี่แหละ เป็นจุดที่ทำให้ผมคิดได้
แต่เปล่าเลย ผมยังทำตัวเหมือนเดิม แถมยังกล้าฝันหน้าด้าน ๆ ว่าจะจบชั้นพรีคลินิกพร้อมเพื่อน จนกระทั่งจบปี 3 ถึงได้รู้ตัวว่ายังไงก็ต้องซ้ำชั้น
เชื่อว่าคนที่กำลังอ่านบทความนี้ ไม่มีใครเคยทำตัวเหลวแหลกเท่าผมอีกแล้ว
เขียนมาถึงตรงนี้ แม้แต่ตัวผมเอง ก็ยังรู้สึกว่ากำลังอ่านเรื่องราวของคนอื่น แบบที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี่แหละครับ
จนกระทั่งขึ้นชั้นคลินิก ผมก็ทนสภาพการทำงานแบบนั้นไม่ไหว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง การสอบแข่งขันที่เคยเป็นความภาคภูมิใจในสมัยมัธยมก็หายไปนานแล้ว สุดท้ายโรคซึมเศร้าก็กำเริบอีกครั้ง จนต้องเปลี่ยนสาขา
หลังเรียนจบในสาขาใหม่ ผมก็ต้องทำงานสอนพิเศษ และช่วยที่บ้านขายของไปด้วย ช่วงนี้ไม่ได้กลับไปแตะงานเขียนนิยายอีกแล้ว เวลาว่างก็ได้แต่วาดการ์ตูน แถมยังด่าตัวเองอยู่ทุกวัน เกลียดเด็กคิดไม่เป็นในวันนั้น ที่เอาแต่หลอกตัวเองว่ามีทัศนคติสูงส่ง และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลย จนกระทั่งทุกอย่างพังเละ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมคิดว่าคนที่ล้มเหลวและเลือกจบชีวิตตัวเอ อาจคิดถูกแล้วก็ได้ เพราะต่อให้รอดมาได้ ก็ต้องติดอยู่ในวังวนการด่าตัวเอง รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จะไม่หายไปในทันที
ผมยังโชคดีที่วันหนึ่งได้รับโอกาสให้ตระหนักถึงการให้อภัยตัวเอง และผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ถึงจะหลุดจากวังวนการด่าตัวเองมาได้ แต่บททดสอบด่านต่อไปก็ยังรออยู่ไม่ไกล เพราะหลังจากล้มเหลวครั้งนั้น ก็ตั้งใจทำงานทุกอย่างมาตลอด จนกระทั่งได้รับโอกาสที่สอง ตัวตนผมในตอนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ผ่านความพังพินาศ และการฝึกตนทั้งในงานของตัวเอง งานของที่บ้าน และงานอดิเรก ตัวตนที่ผมควรเป็นตั้งแต่อายุ 17 เพิ่งจะเกิดขึ้นจริงตอน 27 เวลาของมนุษย์คนหนึ่งที่ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ หายไปถึงหนึ่งทศวรรษเต็ม ๆ ทั้งที่เราก็ไม่ได้อายุยืนถึงขั้นจะเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมเพิ่งตระหนักว่าเพื่อนที่เชื่อฟังพ่อแม่ตั้งแต่แรกนี่สุดยอดจริง ๆ ที่รู้ว่านั่นเป็นหนทางที่ถูกต้อง แถมยังรู้ตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก
แต่ถึงอย่างนั้น สิบปีที่หายไปก็ยังมีเพื่อนที่ช่วยสะท้อนข้อเสียของผมในเชิงบวก และมิตรภาพดี ๆ อีกมาก ที่สำคัญคือเรื่องราวที่สร้างตัวตนของผมในวันนี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมก็ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น
สุดท้ายแม้ว่าเราจะท่องตำราจนสอบเข้าคณะในฝันได้ แต่ถ้าไม่ได้ฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบตามวัย ผลของมันอาจร้ายแรงได้มากกว่าความสูญเปล่าของสิ่งที่สอบได้ แต่มันร้ายแรงได้ถึงขั้นทำให้มนุษย์คนหนึ่งฆ่าตัวตาย หรืออาจร้ายแรงกว่านั้นได้อีกหลายเท่าตัว เพราะการล้มของใครสักคน ย่อมส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างไม่มากก็น้อย
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบ ใครอยากอ่านการ์ตูนเชิญต่อที่ลิงก์ข้างล่างได้เลยครับ
https://www.webtoons.com/th/canvas/blood-credit-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2/list?title_no=945530