ก้าวไกลทิ้งทวนชนแหลก เพื่อไทยปะทะฝายซิเมนต์อย่าเ-ือก ถึงดิ้นหมั่นไส้ สส.ดูบอลเว็บเถื่อน
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4487585
The Politics ข่าวบ้าน การเมือง X
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ฉายภาพความขัดแย้งในสภาศึกอภิปรายงบประมาณ 2567 วาระ 2-3 ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เดินบนเส้นทางคู่ขนาน ก้าวไกลทิ้งทวนเกมในสภา ปะฉะดะบู๊แหลก
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.ก้าวไกล เต้นยั่ว
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พรรคเพื่อไทย หลุดด่า
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.พรรคก้าวไกล ไม่รู้อย่าเ-ือก ปมฝายแกนดินซีเมนต์ โลกโซเชียลวิจารณ์สนั่น สส.ดูฟุตบอล ไทย-เกาหลีใต้ ในสภา แต่เป็นเว็บเถื่อน เว็บพนัน ละเมิดลิขสิทธิ์
สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ลั่นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
“นพดล” จี้รัฐบาลทบทวนการแจกเงินดิจิทัล 10,000
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_693828/
“นพดล” จี้รัฐบาลทบทวนการแจกเงินดิจิทัล ร่อนแถลงการณ์ย้ำข้อเสนอแจกเครดิตให้ประชาชน แทนการแจก 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังโครงการเรือธงที่หาเสียงถูกโรคเลื่อนเล่นงานใกล้ถึงทางตัน
นายนพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่าพรรคไทยสร้างไทย ได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการเสนอแจกเครดิตให้ประชาชนแทนการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทุนตั้งตัวแก่ประชาชนเพราะถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล10,000 บาท ใกล้จะถึงทางตัน ขณะที่คนในรัฐบาลยังคงยืนยันจะเดินหน้านโยบายนี้ต่อไปท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากผู้คนมากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และนักกฎหมายการคลัง ส่วนใหญ่มองว่าโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ได้ไม่คุ้มเสีย
การเสนอนโยบายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กับการแถลงข่าวของคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้องหลายคน ดูเหมือนยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จนมีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าเป็นการนำเสนอและชี้แจงที่ไม่ตรงปก มีข้อบ่งชี้ในหลายประเด็นว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่ไม่มีความพร้อมไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบทั้งในด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย จึงเกิดปัญหาในทางปฏิบัติจนล่าช้าออกไปอย่างมาก
ตนและพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าโครงการนี้เป็นเพียงนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น และจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการกำหนดเงื่อนไขในการขึ้นเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างแน่นอน มีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องชี้แจงให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ใช่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย
พร้อมกับต้องมีขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนให้โครงการสามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ขอเสนอให้มีการถอดบทเรียนจากการแจกเงินที่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่แล้วมาพิจารณาประกอบด้วย เนื่องจากได้เคยมีการสำรวจความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าร้านค้ามากกว่าร้อยละ 60 กลับมีความรู้สึกและประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อโครงการลักษณะนี้ และเห็นพ้องเป็นทางเดียวกันว่า ไม่แน่ใจที่จะเข้าร่วม
ทั้งยังกังวลว่าจะได้รับเงินล่าช้ากว่าการขายปกติ โดยพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่า การจัดลำดับความสำคัญในการบริหารงบประมาณ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคตของประเทศ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องปากท้องของคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนตัวเล็กที่ไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอยและลงทุนทำมาหากินตามฐานานุรูปของตน คนตัวเล็กที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ มีจำนวนมากกว่า 36 ล้านคน คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสเข้าสู่ระบบธนาคารที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้เลย พวกเขาต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงมากคือ 10 – 20% ต่อเดือน หรือ 120 – 240% ต่อปี
จึงไม่มีทางจะมีชีวิตที่ดีและมั่นคงได้ รัฐมีหน้าที่ในการจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือคนเหล่านี้ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้เสนอให้แก้ปัญหาที่กล่าวมาด้วยการออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากคนที่มีเงินในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.5 – 4% ต่อปี เพื่อมาปล่อยเครดิตให้กับคนตัวเล็กประมาณ 20 ล้านคน ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี หรือไม่เกิน 1% ต่อเดือน วิธีการนี้คือ การแจกเครดิตให้ประชาชน เริ่มต้นที่คนประมาณ 20 ล้านคน คนละ 10,000 บาท เพื่อนำร่อง ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท
การแจกเครดิตให้ประชาชน ไม่ใช่แจกเงินแบบให้เปล่า ผู้รับเงินไปยังคงมีหน้าที่ที่จะใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย ตามตารางเวลาที่กำหนด วิธีการนี้ไม่ต้องวุ่นวายกับร้านค้าที่จะรับเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอยู่ในระบบ VAT ดังนั้น สินค้าและบริการระดับบ้าน ๆ เช่น ตลาดรถกระบะเปิดท้าย ตลาดนัดชุมชนในรูปแบบอื่น ๆ ก็สามารถได้รับประโยชน์โดยถ้วนหน้า กลไกของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการจะมีลักษณะเป็น REVOLVING FUND ที่จะสามารถดูแลตนเองจากรายได้ที่ได้รับ สำหรับคนที่รักษาเครดิตไว้ได้อย่างดี ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มีสิทธิขอเครดิตเพิ่มเติมจากรัฐได้ แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งรัฐจะพิจารณาประวัติ ความมุ่งหมายในการขอเครดิตเพิ่ม และความสามารถในการใช้คืน
รัฐไม่ต้องสร้างกลไกอะไรใหม่ สามารถใช้ระบบในแอปเป๋าตังที่มีอยู่โดยปรับปรุงบางส่วน ไม่ต้องไปเสียเวลาเขียนโปรแกรมใหม่เพื่อมารองรับเทคโนโลยี BLOCK CHAIN รัฐเพียงทำตัวเป็นคนกลางกู้เงินคนรวยในอัตราดอกเบี้ยต่ำมาปล่อยเป็นเครดิตให้ประชาชน
ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้นอกระบบ 10 – 20 เท่า โดยมอบให้ธนาคารของรัฐเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการดูแลระบบปฏิบัติการ และกระบวนการสินเชื่อ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายไม่มาก เพราะเป็นระบบที่มีและใช้อยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว
นายนพดล ระบุด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชน ก็ควรมุ่งช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน กลุ่มคนเปราะบางที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การแจกเครดิตให้ประชาชนโดยอาศัยแหล่งเงินจากการออกพันธบัตรรัฐบาล เป็นระบบการพึ่งพาตนเองจากแหล่งเงินภายในประเทศ มิใช่เงินกู้ที่จะทำให้ส่งผลกระทบกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว เป็นการช่วยพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน ด้วยวิธีการการกระจายการจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวดผ่านท่อน้ำเลี้ยงที่ช่วยอัดฉีดเงินให้ประชาชนเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นเพื่อการทำมาหากินแบบหมุนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้เขาเข้าสู่ระบบเสมือนธนาคารโดยไม่ต้องมีหลักประกันอะไร
ทั้งจะเกิด MULTIPLIER EFFECTS ไปตลอด ซึ่งแตกต่างจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นก้อนมหาศาลเพียงครั้งเดียว ที่เงินทั้งก้อนจะไหลไปสู่เจ้าสัว ทุนใหญ่ และทุนพรรคพวกเหมือนเดิม ถ้าขนาดของเงินหมุนเวียนมีถึง 560,000 ล้านบาท ในอนาคต ลองนึกภาพว่าจะสร้างการบริโภคภายใน (LOCAL CONSUMPTION) ขนาดไหน
พรรคไทยสร้างไทยขอย้ำว่าเจตนารมณ์ของการเสนอให้แจกเครดิตให้ประชาชน แทนการแจกเงินดิจิทัล ก็เพื่อให้ประชาชนคนตัวเล็กเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำโดยเน้นการสร้างความรับผิดชอบและวินัยให้แก่พวกเขา เพื่อให้มีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ไม่ใช่มองเขาแบบคนรอรับการแจกเงิน ถ้าประชาชนราว 36 ล้านคน มีเครดิตดอกเบี้ยต่ำใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาจะเป็นพลังการผลิต และพลังบริโภคที่มหาศาลให้แก่ประเทศไทย
Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
https://www.prachachat.net/finance/news-1527804
โบรกฯจับตาผลกระทบ ITD ปมขาดสภาพคล่อง สะเทือน 4 แบงก์เจ้าหนี้ บล.กสิกรไทย คาดแบงก์เจ้าหนี้เดินหน้าตั้งสำรองเพิ่ม จับตาฉุดกำไรลด แต่มั่นใจไม่ถึงขั้นกระทบเงินกองทุนแบงก์ ฟาก บล.พาย หวั่นสถานะหนี้ยักษ์รับเหมาตกชั้นเป็นเอ็นพีแอล แบงก์เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เปิดทางรอด ขายทรัพย์สิน-ยืดหนี้-ต้องเพิ่มทุน หรือหาพาร์ตเนอร์ใหม่ แปลงหนี้เป็นทุน
นาย
กรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ขาดสภาพคล่อง และลามไปถึงผู้รับเหมารายย่อย เนื่องจากธนาคารเริ่มเบรกปล่อยกู้เพื่อลดและป้องกันความเสี่ยงว่า เบื้องต้น บล.กสิกรไทยมองว่า จากตัวเลขหนี้ของ 4 แบงก์ใหญ่ที่ปรากฏเป็นข่าว คือ 1.ธนาคารกรุงเทพ 8,000 ล้านบาท 2.กสิกรไทย 6,000 ล้านบาท 3.ไทยพาณิชย์ 6,000 ล้านบาท และ 4.กรุงไทย 4,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้รับการยืนยันทางการ แต่ก็เชื่อว่าแบงก์ดังกล่าวซึ่งมีฐานะการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ได้มีการสำรองหนี้ไว้ในระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าต้องใส่สำรองเพิ่มก็ไม่ได้กระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจธนาคาร
จับตาแบงก์เจ้าหนี้ตั้งสำรองเพิ่ม
นาย
กรกชยังระบุด้วยว่า
อย่างไรก็ตาม หากคิดจากตัวเลขดังกล่าว กรณีแบงก์ต้องตั้งสำรองเต็มจำนวน บล.กสิกรไทย ประเมินผลกระทบต่อกำไร โดยธนาคารกรุงเทพจะกระทบกำไรในกรอบ 19%, ไทยพาณิชย์ประมาณ 15% และกรุงไทยประมาณ 10% ซึ่งผลกระทบอาจจะไม่มากขนาดนี้ เนื่องจากแบงก์ได้มีการตั้งสำรองไว้แล้ว และอาจจะไม่ต้องตั้งสำรองเต็ม 100% เพราะว่ามีหลักประกันอยู่บ้าง แต่ตัวเลขที่คาดการณ์ดังกล่าวเป็น Maximum ที่อาจจะเกิดขึ้น
หากย้อนไปดูงบฯไตรมาส 4/2566 ทั้งไทยพาณิชย์และกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งแล้ว แม้ไม่รู้ว่าใช่รายเดียวกันหรือไม่ แต่ก็แปลว่าน่าจะมีสำรองไว้บ้าง ส่วนผลกระทบต่อเงินกองทุนของแบงก์ ต้องบอกว่าเล็กน้อยมาก เพราะถ้าคิดมูลหนี้ตรงนี้จะกระทบเงินกองทุนของแบงก์แค่ประมาณ 20-30 Basis Point (BSP) ปัจจุบันแบงก์ใหญ่จะมีเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งอยู่ที่ 16-17% เกณฑ์ขั้นต่ำคือ 9.5% ดังนั้นหายไป 0.2-0.3% ไม่ได้ทำให้ไปแตะเกณฑ์ขั้นต่ำจนต้องเพิ่มทุน ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องนี้ที่ต้องกังวล”
ส่วนอีกจุดคือ เรื่องเงินปันผล ถ้าแบงก์คงอัตราจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมในปีนี้ และมีสำรองเข้าไป ก็อาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่ก็จะเป็นแค่ปีนี้ปีเดียว ทั้งนี้ ผลกระทบโดยรวมน่าจะเป็นเชิงจิตวิทยาพอสมควรต่อการลงทุน และน่าจะเป็น Overhang เป็นปัจจัยที่เข้ามาอยู่ตลอดในช่วง 1-2 เดือนนี้ จนกว่าจะเห็นความชัดเจน ว่าแต่ละแบงก์ต้องใส่เงินกันเท่าไหร่ และคิดว่างบฯไตรมาส 1/2567 น่าจะพอเห็นการสำรองเพิ่มของแต่ละแบงก์”
นายกรกชกล่าวว่า ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยยังคงให้มุมมองเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะนอกจากประเด็นนี้ที่เป็น Overhang แล้ว ในด้านการเติบโตปีนี้อาจจะชะลอตัวลงราว 2-3% เทียบกับปีที่แล้วที่โตถึง 16%
ตั้งสำรองกระทบกำไร
นาย
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า มีโอกาสสูงที่ 4 แบงก์เจ้าหนี้ จะเดินหน้าตั้งสำรองต่อในไตรมาส 1/2567 จากที่บางแบงก์ได้ตั้งสำรองแล้วในไตรมาส 4/2566 เนื่องจากคาดว่าการแก้ปัญหาจะไม่มีความคืบหน้ามากนัก หรืออาจจะแย่ลง จากข่าวที่เริ่มไม่จ่ายเงินพนักงาน พนักงานเริ่มไม่ได้ทำงาน รวมทั้งบริษัทก็ยอมรับด้วยว่า พัฒนาการเชิงไตรมาสต่อไตรมาส เหมือนจะเริ่มแย่ลง ดังนั้นในไตรมาส 1/2567 นี้ บางแบงก์จะต้องตั้งสำรองเพิ่ม หรือบางแบงก์ที่ไม่ได้ตั้งสำรองเลยก็อาจจะตั้งในครั้งเดียวหรือไม่
JJNY : ก้าวไกลทิ้งทวนชนแหลก│จี้ทบทวนแจกเงินดิจิทัล│Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ │ISIS รับ เป็นผู้ก่อเหตุกราดยิงรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4487585
“นพดล” จี้รัฐบาลทบทวนการแจกเงินดิจิทัล 10,000
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_693828/
“นพดล” จี้รัฐบาลทบทวนการแจกเงินดิจิทัล ร่อนแถลงการณ์ย้ำข้อเสนอแจกเครดิตให้ประชาชน แทนการแจก 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังโครงการเรือธงที่หาเสียงถูกโรคเลื่อนเล่นงานใกล้ถึงทางตัน
นายนพดล มังกรชัย รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่าพรรคไทยสร้างไทย ได้ออกแถลงการณ์ เรื่องการเสนอแจกเครดิตให้ประชาชนแทนการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทุนตั้งตัวแก่ประชาชนเพราะถึงวันนี้ ดูเหมือนว่าโครงการแจกเงินดิจิทัล10,000 บาท ใกล้จะถึงทางตัน ขณะที่คนในรัฐบาลยังคงยืนยันจะเดินหน้านโยบายนี้ต่อไปท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากผู้คนมากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และนักกฎหมายการคลัง ส่วนใหญ่มองว่าโครงการนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ได้ไม่คุ้มเสีย
การเสนอนโยบายในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กับการแถลงข่าวของคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้องหลายคน ดูเหมือนยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จนมีผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าเป็นการนำเสนอและชี้แจงที่ไม่ตรงปก มีข้อบ่งชี้ในหลายประเด็นว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่ไม่มีความพร้อมไม่ได้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบทั้งในด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย จึงเกิดปัญหาในทางปฏิบัติจนล่าช้าออกไปอย่างมาก
ตนและพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่าโครงการนี้เป็นเพียงนโยบายที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเท่านั้น และจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการกำหนดเงื่อนไขในการขึ้นเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างแน่นอน มีความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องชี้แจงให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการจะไม่ใช่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย
พร้อมกับต้องมีขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนให้โครงการสามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ขอเสนอให้มีการถอดบทเรียนจากการแจกเงินที่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่แล้วมาพิจารณาประกอบด้วย เนื่องจากได้เคยมีการสำรวจความพึงพอใจของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ พบว่าร้านค้ามากกว่าร้อยละ 60 กลับมีความรู้สึกและประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อโครงการลักษณะนี้ และเห็นพ้องเป็นทางเดียวกันว่า ไม่แน่ใจที่จะเข้าร่วม
ทั้งยังกังวลว่าจะได้รับเงินล่าช้ากว่าการขายปกติ โดยพรรคไทยสร้างไทย เห็นว่า การจัดลำดับความสำคัญในการบริหารงบประมาณ และการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคตของประเทศ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องปากท้องของคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนตัวเล็กที่ไม่มีเงินจะจับจ่ายใช้สอยและลงทุนทำมาหากินตามฐานานุรูปของตน คนตัวเล็กที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ มีจำนวนมากกว่า 36 ล้านคน คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสเข้าสู่ระบบธนาคารที่ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำได้เลย พวกเขาต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบที่อัตราดอกเบี้ยสูงมากคือ 10 – 20% ต่อเดือน หรือ 120 – 240% ต่อปี
จึงไม่มีทางจะมีชีวิตที่ดีและมั่นคงได้ รัฐมีหน้าที่ในการจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำมาช่วยเหลือคนเหล่านี้ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้เสนอให้แก้ปัญหาที่กล่าวมาด้วยการออกพันธบัตรกู้ยืมเงินจากคนที่มีเงินในอัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.5 – 4% ต่อปี เพื่อมาปล่อยเครดิตให้กับคนตัวเล็กประมาณ 20 ล้านคน ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี หรือไม่เกิน 1% ต่อเดือน วิธีการนี้คือ การแจกเครดิตให้ประชาชน เริ่มต้นที่คนประมาณ 20 ล้านคน คนละ 10,000 บาท เพื่อนำร่อง ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท
การแจกเครดิตให้ประชาชน ไม่ใช่แจกเงินแบบให้เปล่า ผู้รับเงินไปยังคงมีหน้าที่ที่จะใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย ตามตารางเวลาที่กำหนด วิธีการนี้ไม่ต้องวุ่นวายกับร้านค้าที่จะรับเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอยู่ในระบบ VAT ดังนั้น สินค้าและบริการระดับบ้าน ๆ เช่น ตลาดรถกระบะเปิดท้าย ตลาดนัดชุมชนในรูปแบบอื่น ๆ ก็สามารถได้รับประโยชน์โดยถ้วนหน้า กลไกของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการจะมีลักษณะเป็น REVOLVING FUND ที่จะสามารถดูแลตนเองจากรายได้ที่ได้รับ สำหรับคนที่รักษาเครดิตไว้ได้อย่างดี ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป มีสิทธิขอเครดิตเพิ่มเติมจากรัฐได้ แต่ไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งรัฐจะพิจารณาประวัติ ความมุ่งหมายในการขอเครดิตเพิ่ม และความสามารถในการใช้คืน
รัฐไม่ต้องสร้างกลไกอะไรใหม่ สามารถใช้ระบบในแอปเป๋าตังที่มีอยู่โดยปรับปรุงบางส่วน ไม่ต้องไปเสียเวลาเขียนโปรแกรมใหม่เพื่อมารองรับเทคโนโลยี BLOCK CHAIN รัฐเพียงทำตัวเป็นคนกลางกู้เงินคนรวยในอัตราดอกเบี้ยต่ำมาปล่อยเป็นเครดิตให้ประชาชน
ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเงินกู้นอกระบบ 10 – 20 เท่า โดยมอบให้ธนาคารของรัฐเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องการดูแลระบบปฏิบัติการ และกระบวนการสินเชื่อ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายไม่มาก เพราะเป็นระบบที่มีและใช้อยู่ในปัจจุบันอยู่แล้ว
นายนพดล ระบุด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชน ก็ควรมุ่งช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน กลุ่มคนเปราะบางที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การแจกเครดิตให้ประชาชนโดยอาศัยแหล่งเงินจากการออกพันธบัตรรัฐบาล เป็นระบบการพึ่งพาตนเองจากแหล่งเงินภายในประเทศ มิใช่เงินกู้ที่จะทำให้ส่งผลกระทบกับฐานะการเงินการคลังของประเทศ ไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว เป็นการช่วยพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน ด้วยวิธีการการกระจายการจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวดผ่านท่อน้ำเลี้ยงที่ช่วยอัดฉีดเงินให้ประชาชนเอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นเพื่อการทำมาหากินแบบหมุนเวียนไม่จบสิ้น ทำให้เขาเข้าสู่ระบบเสมือนธนาคารโดยไม่ต้องมีหลักประกันอะไร
ทั้งจะเกิด MULTIPLIER EFFECTS ไปตลอด ซึ่งแตกต่างจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นก้อนมหาศาลเพียงครั้งเดียว ที่เงินทั้งก้อนจะไหลไปสู่เจ้าสัว ทุนใหญ่ และทุนพรรคพวกเหมือนเดิม ถ้าขนาดของเงินหมุนเวียนมีถึง 560,000 ล้านบาท ในอนาคต ลองนึกภาพว่าจะสร้างการบริโภคภายใน (LOCAL CONSUMPTION) ขนาดไหน
พรรคไทยสร้างไทยขอย้ำว่าเจตนารมณ์ของการเสนอให้แจกเครดิตให้ประชาชน แทนการแจกเงินดิจิทัล ก็เพื่อให้ประชาชนคนตัวเล็กเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำโดยเน้นการสร้างความรับผิดชอบและวินัยให้แก่พวกเขา เพื่อให้มีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมั่นคง ไม่ใช่มองเขาแบบคนรอรับการแจกเงิน ถ้าประชาชนราว 36 ล้านคน มีเครดิตดอกเบี้ยต่ำใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่ พวกเขาจะเป็นพลังการผลิต และพลังบริโภคที่มหาศาลให้แก่ประเทศไทย
Q1 “ITD” สะเทือน 4 แบงก์ใหญ่ ส่อตั้งสำรองเพิ่ม-กำไรหด
https://www.prachachat.net/finance/news-1527804
โบรกฯจับตาผลกระทบ ITD ปมขาดสภาพคล่อง สะเทือน 4 แบงก์เจ้าหนี้ บล.กสิกรไทย คาดแบงก์เจ้าหนี้เดินหน้าตั้งสำรองเพิ่ม จับตาฉุดกำไรลด แต่มั่นใจไม่ถึงขั้นกระทบเงินกองทุนแบงก์ ฟาก บล.พาย หวั่นสถานะหนี้ยักษ์รับเหมาตกชั้นเป็นเอ็นพีแอล แบงก์เร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เปิดทางรอด ขายทรัพย์สิน-ยืดหนี้-ต้องเพิ่มทุน หรือหาพาร์ตเนอร์ใหม่ แปลงหนี้เป็นทุน
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ขาดสภาพคล่อง และลามไปถึงผู้รับเหมารายย่อย เนื่องจากธนาคารเริ่มเบรกปล่อยกู้เพื่อลดและป้องกันความเสี่ยงว่า เบื้องต้น บล.กสิกรไทยมองว่า จากตัวเลขหนี้ของ 4 แบงก์ใหญ่ที่ปรากฏเป็นข่าว คือ 1.ธนาคารกรุงเทพ 8,000 ล้านบาท 2.กสิกรไทย 6,000 ล้านบาท 3.ไทยพาณิชย์ 6,000 ล้านบาท และ 4.กรุงไทย 4,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้รับการยืนยันทางการ แต่ก็เชื่อว่าแบงก์ดังกล่าวซึ่งมีฐานะการเงินที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ได้มีการสำรองหนี้ไว้ในระดับหนึ่งแล้ว แม้ว่าต้องใส่สำรองเพิ่มก็ไม่ได้กระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจธนาคาร
จับตาแบงก์เจ้าหนี้ตั้งสำรองเพิ่ม
นายกรกชยังระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม หากคิดจากตัวเลขดังกล่าว กรณีแบงก์ต้องตั้งสำรองเต็มจำนวน บล.กสิกรไทย ประเมินผลกระทบต่อกำไร โดยธนาคารกรุงเทพจะกระทบกำไรในกรอบ 19%, ไทยพาณิชย์ประมาณ 15% และกรุงไทยประมาณ 10% ซึ่งผลกระทบอาจจะไม่มากขนาดนี้ เนื่องจากแบงก์ได้มีการตั้งสำรองไว้แล้ว และอาจจะไม่ต้องตั้งสำรองเต็ม 100% เพราะว่ามีหลักประกันอยู่บ้าง แต่ตัวเลขที่คาดการณ์ดังกล่าวเป็น Maximum ที่อาจจะเกิดขึ้น
หากย้อนไปดูงบฯไตรมาส 4/2566 ทั้งไทยพาณิชย์และกรุงไทย ที่แจ้งว่ามีการตั้งสำรองสำหรับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งแล้ว แม้ไม่รู้ว่าใช่รายเดียวกันหรือไม่ แต่ก็แปลว่าน่าจะมีสำรองไว้บ้าง ส่วนผลกระทบต่อเงินกองทุนของแบงก์ ต้องบอกว่าเล็กน้อยมาก เพราะถ้าคิดมูลหนี้ตรงนี้จะกระทบเงินกองทุนของแบงก์แค่ประมาณ 20-30 Basis Point (BSP) ปัจจุบันแบงก์ใหญ่จะมีเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งอยู่ที่ 16-17% เกณฑ์ขั้นต่ำคือ 9.5% ดังนั้นหายไป 0.2-0.3% ไม่ได้ทำให้ไปแตะเกณฑ์ขั้นต่ำจนต้องเพิ่มทุน ดังนั้นไม่มีปัญหาเรื่องนี้ที่ต้องกังวล”
ส่วนอีกจุดคือ เรื่องเงินปันผล ถ้าแบงก์คงอัตราจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมในปีนี้ และมีสำรองเข้าไป ก็อาจจะมีผลกระทบบ้าง แต่ก็จะเป็นแค่ปีนี้ปีเดียว ทั้งนี้ ผลกระทบโดยรวมน่าจะเป็นเชิงจิตวิทยาพอสมควรต่อการลงทุน และน่าจะเป็น Overhang เป็นปัจจัยที่เข้ามาอยู่ตลอดในช่วง 1-2 เดือนนี้ จนกว่าจะเห็นความชัดเจน ว่าแต่ละแบงก์ต้องใส่เงินกันเท่าไหร่ และคิดว่างบฯไตรมาส 1/2567 น่าจะพอเห็นการสำรองเพิ่มของแต่ละแบงก์”
นายกรกชกล่าวว่า ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยยังคงให้มุมมองเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะนอกจากประเด็นนี้ที่เป็น Overhang แล้ว ในด้านการเติบโตปีนี้อาจจะชะลอตัวลงราว 2-3% เทียบกับปีที่แล้วที่โตถึง 16%
ตั้งสำรองกระทบกำไร
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวในเรื่องนี้ว่า มีโอกาสสูงที่ 4 แบงก์เจ้าหนี้ จะเดินหน้าตั้งสำรองต่อในไตรมาส 1/2567 จากที่บางแบงก์ได้ตั้งสำรองแล้วในไตรมาส 4/2566 เนื่องจากคาดว่าการแก้ปัญหาจะไม่มีความคืบหน้ามากนัก หรืออาจจะแย่ลง จากข่าวที่เริ่มไม่จ่ายเงินพนักงาน พนักงานเริ่มไม่ได้ทำงาน รวมทั้งบริษัทก็ยอมรับด้วยว่า พัฒนาการเชิงไตรมาสต่อไตรมาส เหมือนจะเริ่มแย่ลง ดังนั้นในไตรมาส 1/2567 นี้ บางแบงก์จะต้องตั้งสำรองเพิ่ม หรือบางแบงก์ที่ไม่ได้ตั้งสำรองเลยก็อาจจะตั้งในครั้งเดียวหรือไม่