'' ไม่มีเวลาให้เสียใจ แม้ความฝันสลายดับ
ระทมต่อไปก็ไม่ได้ดี ฉันต้องก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้มยินดี
บอกตัวเองว่าสักวัน..ฉันจะกลับมาอีกครา
พรุ่งนี้เทพีแห่งโชคชะตา... จะมาอยู่ข้างฉัน ''
ในแต่ละปี จากจำนวนผู้เข้าสอบกว่า 200,000 คน จะเหลือเพียงแค่ 30 คนเท่านั้นที่สมหวัง..
นี่คือการสอบ UPSC จำนวนผู้เข้าสอบที่หวังจะได้เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของทางรัฐบาลอินเดีย
คอยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกที มีตำแหน่งที่ถือว่าสูงมาก
และแน่นอนว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ยากยิ่งกว่าอะไรดี
การสอบจะแบ่งเป็น 3 รอบ รอบขั้นต้นแบบปรนัย 200 ข้อ.. รอบขั้นสูงอัตนัย เขียนแบบจำกัดเวลาในหัวข้อที่กำหนด
และสุดท้ายคือการสอบสัมภาษณ์ หากไม่ผ่านไม่ว่าในรอบใด คุณจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นในทันที..
และผู้เข้าสอบทุกคนจะมีโอกาสในการสมัครสอบได้แค่คนละ 4 ครั้ง หากครบโควตาแล้วยังไม่ผ่าน..
นั่นหมายถึงอนาคตในเส้นทางสายนี้ของคุณ จบลงอย่างสมบูรณ์
คนหนุ่มสาวทั่วอินเดียอยากใฝ่ฝันอยากจะสอบผ่านให้ได้ เช่นเดียวกันกับมาโนช เด็กหนุ่มจากเมืองชนบทอันห่างไกล
เขาต้องการจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อที่หวังจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิด
และปราบปรามพวกตำรวจขี้โกง รับสินบนจากนักการเมืองท้องถิ่นจนทำให้ชาวบ้านต้องตกระกำลำบาก
ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบนี้ส่วนนึงก็คือครอบครัวของเขาเอง
มาโนชเดินทางมายังเดลีเพื่อความฝันนี้ แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรค กระเป๋าเงินเขาถูกขโมย
เงินที่ทางบ้านเก็บหอมรอบริบเพื่อเป็นทุนการใช้ชีวิตของเขาหมดลงในพริบตา..
ดีที่เขายังพบกับเพื่อนที่ดีในเมืองใหญ่แห่งนี้ ทำให้ยังพอได้งานทำและมีที่พัก
ระหว่างที่มาโนชทำงานอย่างเพื่อเอาเงินช่วยเหลือที่บ้านและอ่านหนังสือสอบอย่างขะมักเขม้น
เขาก็ได้พบกับปริศนา หญิงสาวผู้เป็นอีกแรงผลักดันในชีวิต
แต่การสอบไม่ปราณีกับตัวเขาเลย มาโนชพยายามสอบสามครั้งก็ไม่ผ่านสักที ชายหนุ่มเริ่มท้อแท้
และคิดว่าฝันที่เขาตั้งใจมันอาจจะไกลเกินจนเอื้อมไม่ถึง
ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดที่ห่างไกลอย่างตัวเขาคงเหมาะกับการทำงานใช้แรงมากกว่าก็เป็นได้..
12th Fail เป็นภาพยนตร์อินเดียภาษาฮินดี กำกับและเขียนบทโดย Vidhu Vinod Chopra
สร้างจากเรื่องจริงของ มาโนช กุมาร์ ชาร์มา ผู้ซึ่งเอาชนะความยากจนและความยากลำบากในชีวิต
ใช้การศึกษาต่อสู้กับตัวเองจนสามารถดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งนครมุมไบในปัจจุบัน
นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากกกกก.. เราจะได้เห็นชีวิตของคนคนนึงที่ดิ้นรนปากกันตีนถีบ
เพื่อหวังจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม และแน่นอนว่าเพื่อครอบครัวที่ตัวเองต้องจากมา..
ในหนังเราจะเห็นได้ถึงปัญหาทางสังคมที่มีอยู่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก นั่นก็คือการคอรัปชั่นจากเจ้าหน้าที่รัฐ (เหมือนบ้านเรา)
ตัวเอกของเรื่องจึงตั้งคำถามในใจว่ามีวิธีการใดที่เราจะหยุดยั้งพวกที่ชอบทุจริตแบบนี้ได้
คำตอบก็คือถ้าเรามีอำนาจมากกว่า.. เราก็สามารถจัดการพวกนี้ได้
แต่แน่นอนว่า เราอย่าหลงไปกับอำนาจนั้นจนสุดท้าย เรากลายเป็นอย่างคนที่เราเกลียดซะเองก็พอ
ความมุ่งมั่นในการสอบเข้า ก็เป็นอีกสิ่งที่เราเห็นจากหนังว่า พวกเขาทุ่มเทกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ทุกอย่างคือชีวิตเป็นเดิมพัน เนื่องจากต้นทุนทางสังคมที่แตกต่าง
ดังนั้นการสอบจึงเหมือนประตูที่จะก้าวข้ามผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
แม้ว่าอัตราการแข่งขันจะยากเย็นเข็ญใจมากแค่ไหนก็ตามที
แต่ตราบใดที่เรามีกำลังจากคนที่เรารัก นั่นทำให้เรารู้ว่าทุกอย่างที่เรากำลังทำ กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น
เราไม่ได้สู้ตัวคนเดียว.. พลังแห่งความรักและความเข้าใจนั้นยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน (ยิ่งช่วงท้ายดูไปร้องไห้ไป ซึ้งจัด)
ช่วงหลังอินเดียสร้างหนังแบบนี้ออกมาเยอะมาก เพื่อให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกร่วม
โดยหวังว่าจะมีแรงผลักดันให้อยากประสบความสำเร็จเฉกเช่นบุคคลที่หนังนำเสนอ..
แม้ว่ามันจะยาก แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาได้รับแล้วหลังชมภาพยนตร์จบ นั่นก็คือพลังของหนังที่ส่งมาถึงพวกเขา
และกำลังใจที่ได้รับ นี่ล่ะคือ soft power ที่แท้จริง
ภาพยนตร์สามารถให้อะไรได้มากกว่าความบันเทิงครับ การถ่ายทอดสิ่งต่างๆออกมา
มันทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าแรงบันดาลใจ ความตื้นตัน สิ่งเหล่านี้มันสามารถกระตุ้นตน และพัฒนาคนได้
..หนังสร้างคนให้มีคุณภาพ คนเหล่านั้นก็สร้างสังคมให้พัฒนาไปอีกขั้น
เราดูหนังต่างประเทศกันบ่อย มีหนังชีวประวัติเพียบ คนสำคัญแทบทุกวงการของบ้านเขาสามารถเอามาเล่าเป็นหนังได้ทั้งนั้น
แต่บ้านเรากลับไม่มี เสียดายที่วงการหนังบ้านเราไม่นิยมทำหนังชีวประวัติออกมาสักเท่าไหร่ (มีก็น้อยมาก)
เข้าใจว่านายทุนคงไม่สนใจ เพราะขายไม่ออก คนดูก็ไม่ชอบเพราะมันน่าเบื่อ
เอ....เป็นไปได้มั้ยว่าสังคมไทยไม่มีชีวิตคนไหนน่าสนใจพอที่จะสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เลยหรืออย่างไร..
ผมเองก็ได้แต่สงสัย.. หรือมันคงไม่มีจริงๆ
ปิดท้ายด้วย 1 ประโยคกินใจ (ที่จริงๆมีเยอะมาก)
''.......ถ้าผมเป็นดวงอาทิตย์ส่องสว่างให้โลกไม่ได้ ...
ก็ขอเป็นแค่โคมไฟส่องสว่างให้กับท้องถนนก็ยังดี.... ''
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== 12th Fail (2023) ชัยชนะ...ของคนขี้แพ้... ==
'' ไม่มีเวลาให้เสียใจ แม้ความฝันสลายดับ
ระทมต่อไปก็ไม่ได้ดี ฉันต้องก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้มยินดี
บอกตัวเองว่าสักวัน..ฉันจะกลับมาอีกครา
พรุ่งนี้เทพีแห่งโชคชะตา... จะมาอยู่ข้างฉัน ''
ในแต่ละปี จากจำนวนผู้เข้าสอบกว่า 200,000 คน จะเหลือเพียงแค่ 30 คนเท่านั้นที่สมหวัง..
นี่คือการสอบ UPSC จำนวนผู้เข้าสอบที่หวังจะได้เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของทางรัฐบาลอินเดีย
คอยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกที มีตำแหน่งที่ถือว่าสูงมาก
และแน่นอนว่ากว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ยากยิ่งกว่าอะไรดี
การสอบจะแบ่งเป็น 3 รอบ รอบขั้นต้นแบบปรนัย 200 ข้อ.. รอบขั้นสูงอัตนัย เขียนแบบจำกัดเวลาในหัวข้อที่กำหนด
และสุดท้ายคือการสอบสัมภาษณ์ หากไม่ผ่านไม่ว่าในรอบใด คุณจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นในทันที..
และผู้เข้าสอบทุกคนจะมีโอกาสในการสมัครสอบได้แค่คนละ 4 ครั้ง หากครบโควตาแล้วยังไม่ผ่าน..
นั่นหมายถึงอนาคตในเส้นทางสายนี้ของคุณ จบลงอย่างสมบูรณ์
คนหนุ่มสาวทั่วอินเดียอยากใฝ่ฝันอยากจะสอบผ่านให้ได้ เช่นเดียวกันกับมาโนช เด็กหนุ่มจากเมืองชนบทอันห่างไกล
เขาต้องการจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อที่หวังจะกลับไปพัฒนาบ้านเกิด
และปราบปรามพวกตำรวจขี้โกง รับสินบนจากนักการเมืองท้องถิ่นจนทำให้ชาวบ้านต้องตกระกำลำบาก
ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบนี้ส่วนนึงก็คือครอบครัวของเขาเอง
มาโนชเดินทางมายังเดลีเพื่อความฝันนี้ แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรค กระเป๋าเงินเขาถูกขโมย
เงินที่ทางบ้านเก็บหอมรอบริบเพื่อเป็นทุนการใช้ชีวิตของเขาหมดลงในพริบตา..
ดีที่เขายังพบกับเพื่อนที่ดีในเมืองใหญ่แห่งนี้ ทำให้ยังพอได้งานทำและมีที่พัก
ระหว่างที่มาโนชทำงานอย่างเพื่อเอาเงินช่วยเหลือที่บ้านและอ่านหนังสือสอบอย่างขะมักเขม้น
เขาก็ได้พบกับปริศนา หญิงสาวผู้เป็นอีกแรงผลักดันในชีวิต
แต่การสอบไม่ปราณีกับตัวเขาเลย มาโนชพยายามสอบสามครั้งก็ไม่ผ่านสักที ชายหนุ่มเริ่มท้อแท้
และคิดว่าฝันที่เขาตั้งใจมันอาจจะไกลเกินจนเอื้อมไม่ถึง
ชีวิตของเด็กต่างจังหวัดที่ห่างไกลอย่างตัวเขาคงเหมาะกับการทำงานใช้แรงมากกว่าก็เป็นได้..
12th Fail เป็นภาพยนตร์อินเดียภาษาฮินดี กำกับและเขียนบทโดย Vidhu Vinod Chopra
สร้างจากเรื่องจริงของ มาโนช กุมาร์ ชาร์มา ผู้ซึ่งเอาชนะความยากจนและความยากลำบากในชีวิต
ใช้การศึกษาต่อสู้กับตัวเองจนสามารถดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งนครมุมไบในปัจจุบัน
นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้ดีมากกกกก.. เราจะได้เห็นชีวิตของคนคนนึงที่ดิ้นรนปากกันตีนถีบ
เพื่อหวังจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม และแน่นอนว่าเพื่อครอบครัวที่ตัวเองต้องจากมา..
ในหนังเราจะเห็นได้ถึงปัญหาทางสังคมที่มีอยู่เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก นั่นก็คือการคอรัปชั่นจากเจ้าหน้าที่รัฐ (เหมือนบ้านเรา)
ตัวเอกของเรื่องจึงตั้งคำถามในใจว่ามีวิธีการใดที่เราจะหยุดยั้งพวกที่ชอบทุจริตแบบนี้ได้
คำตอบก็คือถ้าเรามีอำนาจมากกว่า.. เราก็สามารถจัดการพวกนี้ได้
แต่แน่นอนว่า เราอย่าหลงไปกับอำนาจนั้นจนสุดท้าย เรากลายเป็นอย่างคนที่เราเกลียดซะเองก็พอ
ความมุ่งมั่นในการสอบเข้า ก็เป็นอีกสิ่งที่เราเห็นจากหนังว่า พวกเขาทุ่มเทกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ทุกอย่างคือชีวิตเป็นเดิมพัน เนื่องจากต้นทุนทางสังคมที่แตกต่าง
ดังนั้นการสอบจึงเหมือนประตูที่จะก้าวข้ามผ่านไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม
แม้ว่าอัตราการแข่งขันจะยากเย็นเข็ญใจมากแค่ไหนก็ตามที
แต่ตราบใดที่เรามีกำลังจากคนที่เรารัก นั่นทำให้เรารู้ว่าทุกอย่างที่เรากำลังทำ กำลังเผชิญหน้าอยู่นั้น
เราไม่ได้สู้ตัวคนเดียว.. พลังแห่งความรักและความเข้าใจนั้นยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน (ยิ่งช่วงท้ายดูไปร้องไห้ไป ซึ้งจัด)
ช่วงหลังอินเดียสร้างหนังแบบนี้ออกมาเยอะมาก เพื่อให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกร่วม
โดยหวังว่าจะมีแรงผลักดันให้อยากประสบความสำเร็จเฉกเช่นบุคคลที่หนังนำเสนอ..
แม้ว่ามันจะยาก แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาได้รับแล้วหลังชมภาพยนตร์จบ นั่นก็คือพลังของหนังที่ส่งมาถึงพวกเขา
และกำลังใจที่ได้รับ นี่ล่ะคือ soft power ที่แท้จริง
ภาพยนตร์สามารถให้อะไรได้มากกว่าความบันเทิงครับ การถ่ายทอดสิ่งต่างๆออกมา
มันทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าแรงบันดาลใจ ความตื้นตัน สิ่งเหล่านี้มันสามารถกระตุ้นตน และพัฒนาคนได้
..หนังสร้างคนให้มีคุณภาพ คนเหล่านั้นก็สร้างสังคมให้พัฒนาไปอีกขั้น
เราดูหนังต่างประเทศกันบ่อย มีหนังชีวประวัติเพียบ คนสำคัญแทบทุกวงการของบ้านเขาสามารถเอามาเล่าเป็นหนังได้ทั้งนั้น
แต่บ้านเรากลับไม่มี เสียดายที่วงการหนังบ้านเราไม่นิยมทำหนังชีวประวัติออกมาสักเท่าไหร่ (มีก็น้อยมาก)
เข้าใจว่านายทุนคงไม่สนใจ เพราะขายไม่ออก คนดูก็ไม่ชอบเพราะมันน่าเบื่อ
เอ....เป็นไปได้มั้ยว่าสังคมไทยไม่มีชีวิตคนไหนน่าสนใจพอที่จะสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เลยหรืออย่างไร..
ผมเองก็ได้แต่สงสัย.. หรือมันคงไม่มีจริงๆ
ปิดท้ายด้วย 1 ประโยคกินใจ (ที่จริงๆมีเยอะมาก)
''.......ถ้าผมเป็นดวงอาทิตย์ส่องสว่างให้โลกไม่ได้ ...
ก็ขอเป็นแค่โคมไฟส่องสว่างให้กับท้องถนนก็ยังดี.... ''
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===