ในตอนที่ 1 กับ 2 เราได้เห็นตั้งแต่จุดแรกเรื่มของเมืองโบราณศรีเทพ ไปจนถึงตอนล่มสลาย ที่นี้เราจะหันกลับมาดูเส้นทางชีวิตของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หลังจากที่ท่านค้นพบศรีเทพ แลัวเราจะมาฟังเรื่องราวลึกลับของศรีเทพที่ส่งผลให้เมืองโบราณนี้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์จนได้รับตำแหน่ง UNESCO
พอกรมพระยาดำรงได้ค้นพบศรีเทพแล้ว ท่านก็ไม่ได้หยุดที่นั่นนะ

จำได้มั้ยจากกระทู้แรก (เรื่องจริงของพระราชโอรสที่ค้นพบเมืองโบราณที่สาบสูญในจังหวัดเพชรบูรณ์ | ศรีเทพ) ตอนนั้นท่านกำลังเดินทางกลับจาก เพชรบูรณ์ มา กรุงเทพ ?
พอกลับถึง กรุงเทพฯ แล้ว รวมระยะเวลาเดินทางสำหรับพระราชกรณียกิจครั้งนั้นเป็น 36 วันเลยแหละ
ซึ่งท่านก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินไปชิลๆนะ

สมัยก่อนนั้นท่านต้องบุกป่าฝ่าดง...ขึ้นเขาลงเขา...พายเรือ...คือมันเป็นทางวิบากจริงๆ
ยังไงก็แล้วแต่ กรมพระยาดำรงก็รู้สึกว่าทริปนั้นคุ้มกับความเหนื่อย เพราะว่านอกจากได้ค้นพบเมืองโบราณศรีเทพแล้ว ท่านได้ทำภารกิจสำเร็จ
จำได้มั้ย? เหตุผลเดิมที่ท่านไปเพชรบูรณ์ก็คือเพื่อที่จะเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการอื่นๆ ข้าราชการที่กรุงเทพไม่กล้าไปเพชรบูรณ์กันเพราะกลัวโรคภัยไข้เจ็บมาลาเรีย ว่ากันว่าไปแล้วเหมือนกับไปตายอย่างเดียว ท่านก็ได้แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แล้วพอท่านกลับมา ทุกคนก็เห็นว่าท่านไม่ได้เป็นอะไร ตั้งแต่นั้นมา พอมีตำแหน่งราชการว่างที่เพชรบูรณ์ ก็ไม่ได้มีอุปสรรคในการหาคนไปดำรงตำแหน่งที่นั่นอีกเลย
พอ กรมพระยาดำรง ถึงกรุงเทพฯ ท่านก็กลับไปดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจนท่านอายุ 53 ปี แล้วตอนนั้นท่านก็เลือกที่จะเกษียณออกจากราชการ
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท่านเกษียณแล้วไปอยู่บ้านนั่งชิลๆริมขอบสระนะ

คือท่านยังมีบทบาทมากเลยในการพัฒนาบ้านเมือง
กรมพระยาดำรงได้ตีพิมพ์หนังสือทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอีกมากมาย

นอกจากนั้นท่านก็ได้วางรากฐานของหอสมุดแห่งชาติ

แล้วก็เริ่มสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งชาติครั้งแรกในประเทศไทยเลยแหละ
ท่านยังได้จัดตั้งสถานีอนามัย สถานเสาวภา กรมศิลปากร กรมพยาบาล กรมป่าไม้...

และมีอีกมากมายนั่นแหละที่จัสมินไม่ได้นำมาเล่าเพราะมีเยอะจริงๆ
พ.ศ. 2475 หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย ตอนนั้นกรมพระยาดำรงอายุ 70 ปี
ท่านกับครอบครัวก็ต้องลี้ภัยไปที่ปีนัง มาเลเซีย

แล้วท่านก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากด้านการเงิน การจับจ่ายใช้สอย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ท่านก็ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายนะ
ตอนท่านอยู่ปีนังท่านเลี้ยงแมวจรตัวนึง แล้วเวลาว่างของท่านส่วนใหญ่ท่านก็ชอบไปอ่านหนังสือที่หอสมุด
จนถึง พ.ศ. 2485 เมื่อท่านอายุ 80 ปี ท่านเกิดอาการป่วยด้วยโรคหัวใจ จึงต้องขออนุมัติจากญี่ปุ่นเพื่อกลับเข้ามารักษาตัวในประเทศไทย
ท่านกับครอบครัวก็ได้หอบแมวจรตัวนั้นกลับไทยด้วยกัน
แล้วพอท่านกลับมาอยู่ วังวรดิศ ก็เริ่มจะมีอาการดีขึ้นนะ

แต่สุดท้ายท่านก็เกิดโรคหัวใจวายในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 แล้วสิ้นพระชนม์ ตอนนั้นท่านอายุ 81 ปี
หลังจากนั้นประเทศไทยก็ได้กำหนดวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีให้เป็น วันดำรงราชานุภาพ แล้วในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2505 คือครบ 100 ปี หลังจากที่กรมพระยาดำรง ประสูติ ยูเนสโกก็ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญแห่งโลก เป็นบุคคลไทยคนแรกเลยแหละที่ได้ตำแหน่งนี้ ยูเนสโกก็ได้ตั้งฉายาให้ท่านว่า พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย

หลังจากที่กรมพระยาดำรงได้พบเมืองศรีเทพ เมืองนั้นก็ยังคงเป็นเมืองร้างต่อ ไม่ได้มีใครไปทำการศึกษาเป็นทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2478 เมื่อ กรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพ
รู้มั้ยว่าเมื่อกรมศิลปากรเริ่มขุดค้นเมืองโบราณศรีเทพใน พ.ศ. 2521 มันเป็นสิ่งที่แปลกมากเลยแหละสำหรับนักโบราณคดี คือเขาสังเกตว่าถ้าเป็นเมืองโบราณแห่งอื่น ซึ่งไม่ใช่ศรีเทพเนื่ย มักจะมีชาวบ้านเข้าไปปลูกบ้าน ทำไร่ทำนา หรือสร้างถนนตัดผ่านด้วยซ้ำ
ตัวอย่างถนนชาวบ้านสร้างตัดผ่าโบราณสถานในป่าดิบชื้นแอมะซอน
จีงแปลกตรงที่ในเมืองศรีเทพเนี่ย ในบริเวณขอบเขตของเมืองอ่ะนะ ไม่มีคนเข้าไปสร้างที่อยู่อาศัยทำไร่ทำนาหรือตัดถนนผ่านในบรีเวณนี้ ในเมืองก็ยังคงเป็นที่รกร้าง

พอถามไถ่ชาวบ้านว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เคยมีใครเข้าไปสร้างอะไรอยู่ในเขตเมืองโนราณเลย?
ชาวบ้านเลยเล่าว่าความเชื่อของเขาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดอ่ะเนาะ

คือเขาเชื่อกันว่าศรีเทพเป็นเมืองที่เทวดาได้ลงมาสร้างไว้ก่อนที่จะกลับขึ้นไปสู่สวรรค์ แล้วถ้าหากใครเข้าไปใช้พื้นที่ในเมืองโบราณนั้น อาจจะมีอาเพศที่เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็บางคนอาจถึงขั้นเสียสติไปเลยก็ได้
ชาวบ้านเขาจึงเพียงอาศัยเข้าไปหาของป่า ล่าสัตว์ เก็บเห็ด อะไรทำนองนั้น
แล้วนี่แหละคือเหตุผลที่ศรีเทพจึงเป็นเมืองโบราณที่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์มากๆเลย เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองโบราณอื่นๆหลายแห่ง

กันยายน พ.ศ. 2566 เมืองโบราณศรีเทพ เขาถมอรัตน์ และ เขาคลังนอก ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก
แม้ศรีเทพจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีการบูรณะ การพัฒนา และการขุดค้นอีกต่อไป เพราะมีโบราณสถานที่ยังไม่ได้ถูกขุดค้นและที่ต้องทำการบูรณะอีกมากมาย
ไม่แน่นะ ในอนาคตเราอาจจะได้พบหลักฐานใหม่ๆที่ช่วยให้เราได้เข้าใจประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเมืองโบราณศรีเทพมากยิ่งขึ้น
ศรีเทพ ศูนย์กลางความเจริญที่สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งสมัยโบราณ (ตอน 3|ตอนจบ)
พอกรมพระยาดำรงได้ค้นพบศรีเทพแล้ว ท่านก็ไม่ได้หยุดที่นั่นนะ
จำได้มั้ยจากกระทู้แรก (เรื่องจริงของพระราชโอรสที่ค้นพบเมืองโบราณที่สาบสูญในจังหวัดเพชรบูรณ์ | ศรีเทพ) ตอนนั้นท่านกำลังเดินทางกลับจาก เพชรบูรณ์ มา กรุงเทพ ?
พอกลับถึง กรุงเทพฯ แล้ว รวมระยะเวลาเดินทางสำหรับพระราชกรณียกิจครั้งนั้นเป็น 36 วันเลยแหละ
ซึ่งท่านก็ไม่ได้นั่งเครื่องบินไปชิลๆนะ
สมัยก่อนนั้นท่านต้องบุกป่าฝ่าดง...ขึ้นเขาลงเขา...พายเรือ...คือมันเป็นทางวิบากจริงๆ
ยังไงก็แล้วแต่ กรมพระยาดำรงก็รู้สึกว่าทริปนั้นคุ้มกับความเหนื่อย เพราะว่านอกจากได้ค้นพบเมืองโบราณศรีเทพแล้ว ท่านได้ทำภารกิจสำเร็จ
จำได้มั้ย? เหตุผลเดิมที่ท่านไปเพชรบูรณ์ก็คือเพื่อที่จะเป็นตัวอย่างให้ข้าราชการอื่นๆ ข้าราชการที่กรุงเทพไม่กล้าไปเพชรบูรณ์กันเพราะกลัวโรคภัยไข้เจ็บมาลาเรีย ว่ากันว่าไปแล้วเหมือนกับไปตายอย่างเดียว ท่านก็ได้แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แล้วพอท่านกลับมา ทุกคนก็เห็นว่าท่านไม่ได้เป็นอะไร ตั้งแต่นั้นมา พอมีตำแหน่งราชการว่างที่เพชรบูรณ์ ก็ไม่ได้มีอุปสรรคในการหาคนไปดำรงตำแหน่งที่นั่นอีกเลย
พอ กรมพระยาดำรง ถึงกรุงเทพฯ ท่านก็กลับไปดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจนท่านอายุ 53 ปี แล้วตอนนั้นท่านก็เลือกที่จะเกษียณออกจากราชการ
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท่านเกษียณแล้วไปอยู่บ้านนั่งชิลๆริมขอบสระนะ
กรมพระยาดำรงได้ตีพิมพ์หนังสือทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีอีกมากมาย
นอกจากนั้นท่านก็ได้วางรากฐานของหอสมุดแห่งชาติ
ท่านยังได้จัดตั้งสถานีอนามัย สถานเสาวภา กรมศิลปากร กรมพยาบาล กรมป่าไม้...
พ.ศ. 2475 หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย ตอนนั้นกรมพระยาดำรงอายุ 70 ปี
ท่านกับครอบครัวก็ต้องลี้ภัยไปที่ปีนัง มาเลเซีย
แล้วท่านก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากด้านการเงิน การจับจ่ายใช้สอย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ท่านก็ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายนะ
ตอนท่านอยู่ปีนังท่านเลี้ยงแมวจรตัวนึง แล้วเวลาว่างของท่านส่วนใหญ่ท่านก็ชอบไปอ่านหนังสือที่หอสมุด
จนถึง พ.ศ. 2485 เมื่อท่านอายุ 80 ปี ท่านเกิดอาการป่วยด้วยโรคหัวใจ จึงต้องขออนุมัติจากญี่ปุ่นเพื่อกลับเข้ามารักษาตัวในประเทศไทย
ท่านกับครอบครัวก็ได้หอบแมวจรตัวนั้นกลับไทยด้วยกัน
แล้วพอท่านกลับมาอยู่ วังวรดิศ ก็เริ่มจะมีอาการดีขึ้นนะ
แต่สุดท้ายท่านก็เกิดโรคหัวใจวายในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2486 แล้วสิ้นพระชนม์ ตอนนั้นท่านอายุ 81 ปี
หลังจากนั้นประเทศไทยก็ได้กำหนดวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีให้เป็น วันดำรงราชานุภาพ แล้วในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2505 คือครบ 100 ปี หลังจากที่กรมพระยาดำรง ประสูติ ยูเนสโกก็ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญแห่งโลก เป็นบุคคลไทยคนแรกเลยแหละที่ได้ตำแหน่งนี้ ยูเนสโกก็ได้ตั้งฉายาให้ท่านว่า พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
หลังจากที่กรมพระยาดำรงได้พบเมืองศรีเทพ เมืองนั้นก็ยังคงเป็นเมืองร้างต่อ ไม่ได้มีใครไปทำการศึกษาเป็นทางการจนกระทั่ง พ.ศ. 2478 เมื่อ กรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนเมืองโบราณศรีเทพ
รู้มั้ยว่าเมื่อกรมศิลปากรเริ่มขุดค้นเมืองโบราณศรีเทพใน พ.ศ. 2521 มันเป็นสิ่งที่แปลกมากเลยแหละสำหรับนักโบราณคดี คือเขาสังเกตว่าถ้าเป็นเมืองโบราณแห่งอื่น ซึ่งไม่ใช่ศรีเทพเนื่ย มักจะมีชาวบ้านเข้าไปปลูกบ้าน ทำไร่ทำนา หรือสร้างถนนตัดผ่านด้วยซ้ำ
ตัวอย่างถนนชาวบ้านสร้างตัดผ่าโบราณสถานในป่าดิบชื้นแอมะซอน
จีงแปลกตรงที่ในเมืองศรีเทพเนี่ย ในบริเวณขอบเขตของเมืองอ่ะนะ ไม่มีคนเข้าไปสร้างที่อยู่อาศัยทำไร่ทำนาหรือตัดถนนผ่านในบรีเวณนี้ ในเมืองก็ยังคงเป็นที่รกร้าง
พอถามไถ่ชาวบ้านว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เคยมีใครเข้าไปสร้างอะไรอยู่ในเขตเมืองโนราณเลย?
ชาวบ้านเลยเล่าว่าความเชื่อของเขาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดอ่ะเนาะ
คือเขาเชื่อกันว่าศรีเทพเป็นเมืองที่เทวดาได้ลงมาสร้างไว้ก่อนที่จะกลับขึ้นไปสู่สวรรค์ แล้วถ้าหากใครเข้าไปใช้พื้นที่ในเมืองโบราณนั้น อาจจะมีอาเพศที่เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัว หรือไม่ก็บางคนอาจถึงขั้นเสียสติไปเลยก็ได้
ชาวบ้านเขาจึงเพียงอาศัยเข้าไปหาของป่า ล่าสัตว์ เก็บเห็ด อะไรทำนองนั้น
แล้วนี่แหละคือเหตุผลที่ศรีเทพจึงเป็นเมืองโบราณที่ยังคงสภาพที่สมบูรณ์มากๆเลย เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองโบราณอื่นๆหลายแห่ง
กันยายน พ.ศ. 2566 เมืองโบราณศรีเทพ เขาถมอรัตน์ และ เขาคลังนอก ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก
แม้ศรีเทพจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีการบูรณะ การพัฒนา และการขุดค้นอีกต่อไป เพราะมีโบราณสถานที่ยังไม่ได้ถูกขุดค้นและที่ต้องทำการบูรณะอีกมากมาย
ไม่แน่นะ ในอนาคตเราอาจจะได้พบหลักฐานใหม่ๆที่ช่วยให้เราได้เข้าใจประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเมืองโบราณศรีเทพมากยิ่งขึ้น