คั ม ภี ร์ อ ภิ ธั ม มั ต ถ สั ง ค ห ะ
พระนิพนธ์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร) กรุงเทพมหานคร
อภิธรรม ๗ คัมภีร์นี้
ถ้าจะเรียนกันโดยลำดับให้ครบถ้วนก็จะต้องใช้เวลานาน เพราะมีเนื้อความที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก
ฉะนั้น ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปอยู่ในขนาดพันปี ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อท่าน อนุรุทธะ
ได้ประมวลเนื้อความของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ มาแต่งไว้โดยย่นย่อ เรียกว่า “คัมภีร์อภิธัมมัตสังคหะ”แปลว่า สงเคราะห์ คือ สรุปความแห่งอภิธรรม ยกเป็นสี่หัวข้อ คือ
๑. จิต
๒. เจตสิก
๓. รูป
๔. นิพพาน
ท่านแต่งเป็นคาถาสลับร้อยแก้วแบ่งออกเป็น ๙ ปริจเฉท คือ ๙ ตอน เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่โตมาก
คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนี้เป็นที่นิยมกันมาก
เมื่อเรียนตามคัมภีร์นี้แล้ว ไปจับดูอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็จะเข้าใจโดยง่ายโดยตลอด เป็นการเรียนลัด
พิจารณาดูตามหัวข้อที่ท่านวางไว้เป็นสี่นี้ตามความเข้าใจ
จิตนี้เป็นตัวยืน โดยปกติจิตก็มีดวงเดียว จิตจะเป็นต่างๆ ก็เพราะมีเจตสิก แปลว่ามีธรรมที่มีในใจ
มีเจตสิกอย่างไร จิตก็เป็นอย่างนั้นเจตสิกเป็นสิ่งที่ผสมอยู่ในจิต เทียบเหมือนดั่งว่าน้ำกับสีที่ผสมอยู่ในน้ำ น้ำโดยปกติก็เป็นอย่างเดียวแต่เมื่อใส่สีลงไปในน้ำจึงเป็นน้ำสีนั้น น้ำสีนี้
ฉะนั้น พระอภิรรมที่แจกจิตไว้ถึง ๘๙ ดวงก็ด้วยอำนาจของเจตสิกนี้เอง ยกเจตสิกออกแล้ว จิตก็เป็นดวงเดียวท่านั้น แจกออกไปเป็นอย่างไรมิได้
แต่ว่าทั้งจิตและเจตสิกก็อาศัยอยู่กับรูป รูปที่อาศัยของจิตและเจตสิก จะเทียบก็เหมือนอย่างว่าน้ำที่อาศัยอยู่ในขวดน้ำ ถ้าหากว่ารูปตกทำลาย จิตก็สิ้นที่อาศัยเหมือนอย่างว่าขวดน้ำแตก น้ำก็หมดที่อาศัย และนิพพานนั้นก็เป็นธรรมที่สุดในเมื่อจิตได้ปฏิบัติจิตสูงขึ้นโดยลำดับ
เบื้องต้นก็เป็นกามวจรจิต จิตที่ท่องเที่ยวไปหรือหยั่งลงในกาม เป็นรูปาวจรจิต จิตที่หยั่งลงในรูปหรือรูปฌาน อรูปวจรจิตจิตที่หยั่งลงในอรูปฌาณ
โลกุตตรจิต จิตที่เป็นโลกุตตรคือมรรคผลก็บรรลุนิพพานเป็นที่สุด
เพราะฉะนั้น จึงประมวลหัวข้อเป็น จิต เจิตสิก รูป นิพพาน แล้วก็จัดธรรมะในอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั้น เข้าในหัวข้อทั้งสี่นี้
ทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เราเรียกย่อกันว่า สัง, วิ, ธา, ปุ, กะ, ยะ, ปะ คือเอาอักษรต้นที่เรียกว่าเป็นหัวใจพระอภิธรรม เหมือนอย่าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียกว่า จิ, เจ, รุ, นิ หรืออริยสัจ ก็เรียกว่า ทุ, ส, นิ, ม คือเอาอักษรแรก
ความจริงนั้นเพื่อกำหนดง่าย เมื่อจำได้เพียงเท่านี้ก็เป็นว่าเพียงพอ แต่ก็มาเรียกกันว่าหัวใจ
เราก็ใช้เขียนลงในเหรียญในเครื่องรางต่างๆ
วัตถุประสงค์ในทีแรกก็เพื่อจะเป็นเครื่องกำหนดง่ายๆ เท่านั้น
คัมภีร์อภิธรรมตลอดจนอภิธัมมัตถสังคหะตกมาถึงเมืองไทยก็มาใช้เกี่ยวกับงานศพเป็นพื้น เช่นว่า สวดศพตอนกลางคืนก็สวดอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เอง
และเมื่อเวลาที่จะบังสุกุลหรือจะสดับปรณ์มีสวดมาติกา ก็คือว่ายกเอา “มาติกา” คือ แม่บท
จากคัมภีร์ที่หนึ่งมาสวดตอนที่หนึ่งขึ้นต้นว่า กุสลา ธมฺมา เป็นต้น
และคัมถีร์อภิธัมมัตถสังคหะนั้น ท่านแต่งเป็นคาถา ก็นำมาสวดเป็นสรภัญญะในการงานศพอีกเหมือนกัน คือ ถ้าไม่สวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็สวดอภิธัมมัตถสังคคหะ เป็นสรภัญญะครั้นมาในตอนหลังนี้ได้มีผู้สนใจศึกษาอภิธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
โดยปกติจิตก็มีดวงเดียว จิตจะเป็นต่างๆ ก็เพราะมีเจตสิก
พระนิพนธ์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน)
วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร) กรุงเทพมหานคร
อภิธรรม ๗ คัมภีร์นี้
ถ้าจะเรียนกันโดยลำดับให้ครบถ้วนก็จะต้องใช้เวลานาน เพราะมีเนื้อความที่สลับซับซ้อนพิสดารมาก
ฉะนั้น ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปอยู่ในขนาดพันปี ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อท่าน อนุรุทธะ
ได้ประมวลเนื้อความของพระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ มาแต่งไว้โดยย่นย่อ เรียกว่า “คัมภีร์อภิธัมมัตสังคหะ”แปลว่า สงเคราะห์ คือ สรุปความแห่งอภิธรรม ยกเป็นสี่หัวข้อ คือ
๑. จิต
๒. เจตสิก
๓. รูป
๔. นิพพาน
ท่านแต่งเป็นคาถาสลับร้อยแก้วแบ่งออกเป็น ๙ ปริจเฉท คือ ๙ ตอน เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่โตมาก
คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนี้เป็นที่นิยมกันมาก
เมื่อเรียนตามคัมภีร์นี้แล้ว ไปจับดูอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็จะเข้าใจโดยง่ายโดยตลอด เป็นการเรียนลัด
พิจารณาดูตามหัวข้อที่ท่านวางไว้เป็นสี่นี้ตามความเข้าใจ
จิตนี้เป็นตัวยืน โดยปกติจิตก็มีดวงเดียว จิตจะเป็นต่างๆ ก็เพราะมีเจตสิก แปลว่ามีธรรมที่มีในใจ
มีเจตสิกอย่างไร จิตก็เป็นอย่างนั้นเจตสิกเป็นสิ่งที่ผสมอยู่ในจิต เทียบเหมือนดั่งว่าน้ำกับสีที่ผสมอยู่ในน้ำ น้ำโดยปกติก็เป็นอย่างเดียวแต่เมื่อใส่สีลงไปในน้ำจึงเป็นน้ำสีนั้น น้ำสีนี้
ฉะนั้น พระอภิรรมที่แจกจิตไว้ถึง ๘๙ ดวงก็ด้วยอำนาจของเจตสิกนี้เอง ยกเจตสิกออกแล้ว จิตก็เป็นดวงเดียวท่านั้น แจกออกไปเป็นอย่างไรมิได้
แต่ว่าทั้งจิตและเจตสิกก็อาศัยอยู่กับรูป รูปที่อาศัยของจิตและเจตสิก จะเทียบก็เหมือนอย่างว่าน้ำที่อาศัยอยู่ในขวดน้ำ ถ้าหากว่ารูปตกทำลาย จิตก็สิ้นที่อาศัยเหมือนอย่างว่าขวดน้ำแตก น้ำก็หมดที่อาศัย และนิพพานนั้นก็เป็นธรรมที่สุดในเมื่อจิตได้ปฏิบัติจิตสูงขึ้นโดยลำดับ
เบื้องต้นก็เป็นกามวจรจิต จิตที่ท่องเที่ยวไปหรือหยั่งลงในกาม เป็นรูปาวจรจิต จิตที่หยั่งลงในรูปหรือรูปฌาน อรูปวจรจิตจิตที่หยั่งลงในอรูปฌาณ
โลกุตตรจิต จิตที่เป็นโลกุตตรคือมรรคผลก็บรรลุนิพพานเป็นที่สุด
เพราะฉะนั้น จึงประมวลหัวข้อเป็น จิต เจิตสิก รูป นิพพาน แล้วก็จัดธรรมะในอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นั้น เข้าในหัวข้อทั้งสี่นี้
ทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เราเรียกย่อกันว่า สัง, วิ, ธา, ปุ, กะ, ยะ, ปะ คือเอาอักษรต้นที่เรียกว่าเป็นหัวใจพระอภิธรรม เหมือนอย่าง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียกว่า จิ, เจ, รุ, นิ หรืออริยสัจ ก็เรียกว่า ทุ, ส, นิ, ม คือเอาอักษรแรก
ความจริงนั้นเพื่อกำหนดง่าย เมื่อจำได้เพียงเท่านี้ก็เป็นว่าเพียงพอ แต่ก็มาเรียกกันว่าหัวใจ
เราก็ใช้เขียนลงในเหรียญในเครื่องรางต่างๆ
วัตถุประสงค์ในทีแรกก็เพื่อจะเป็นเครื่องกำหนดง่ายๆ เท่านั้น
คัมภีร์อภิธรรมตลอดจนอภิธัมมัตถสังคหะตกมาถึงเมืองไทยก็มาใช้เกี่ยวกับงานศพเป็นพื้น เช่นว่า สวดศพตอนกลางคืนก็สวดอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้เอง
และเมื่อเวลาที่จะบังสุกุลหรือจะสดับปรณ์มีสวดมาติกา ก็คือว่ายกเอา “มาติกา” คือ แม่บท
จากคัมภีร์ที่หนึ่งมาสวดตอนที่หนึ่งขึ้นต้นว่า กุสลา ธมฺมา เป็นต้น
และคัมถีร์อภิธัมมัตถสังคหะนั้น ท่านแต่งเป็นคาถา ก็นำมาสวดเป็นสรภัญญะในการงานศพอีกเหมือนกัน คือ ถ้าไม่สวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็สวดอภิธัมมัตถสังคคหะ เป็นสรภัญญะครั้นมาในตอนหลังนี้ได้มีผู้สนใจศึกษาอภิธรรมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน