'ภาพหลอนน่ะ ทำร้ายเราไม่ได้หรอกนะ'
เรื่องย่อ
Perfect Blue เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์การประกาศจบการศึกษา (ถอนตัวออกจากวง) ของ คิริโกเอะ มิมะ เธอตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับการเป็นไอดอล เพื่อทุ่มเทให้กับสายอาชีพนักแสดง
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายดายและสวยหรูขนาดนั้น มิมะต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับเดนตายของเธอ ที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยและทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย, การต่อสู้กับตัวตนในจิตใจ ที่ตั้งคำถามกับตัวมิมะเองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเส้นทางสายอาชีพครั้งนี้, สังคมใหม่ที่ไม่คุ้นชิน, สิ่งแวดล้อมรอบข้างที่เปลี่ยนไป ฯลฯ
ความเคลือบแคลงใจ, ความสับสน, ความไม่มั่นใจในตัวเอง, ความหวาดกลัว, ความไม่ไว้วางใจ, การถูกคุกคาม .. ทุกอย่างถาโถมเข้าหามิมะในเวลาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ และทุกสิ่งทุกอย่างจะนำพาคนดูไปสู่เนื้อหาและจุดจบที่ไม่มีใครคาดถึง
เนื้อหาและการนำเสนอ
ไม่น่าเชื่อว่านี่คือการ์ตูนอนิเมชันจากปี 1997 หรือเกือบๆ 30 ปีแล้ว
หากไม่นับเทคโนโลยีที่ปรากฎในเรื่อง (โทรศัพท์, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทีวี) เนื้อหาและการนำเสนอของ Perfect Blue นับได้ว่าสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ เชื่อเลยว่า หากนี่คือเนื้อหาและการนำเสนอของการ์ตูนอนิเมชันในปี 2024 จะเป็นกระแสดังและจะแมสในวงกว้างกว่านี้มากๆ
Satoshi Kon จัดเรียงลำดับภาพ การนำเสนอ เพื่อพาคนดูเข้าถึงห้วงอารมณ์ความคิดของตัวละคร มิมะ ได้อย่างอัจฉริยะและไร้ที่ติ
เนื้อหาของ Perfect Blue มีความรุนแรงสูง ไม่ว่าจะเป็นเลือด, ฉากการทำร้ายร่างกาย, ฉากการร่วมเพศ ที่แม้จะไม่โจ่งแจ้งแต่ก็ทำให้คนดูรับรู้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น, การเปิดเผยบริเวณใต้ร่มผ้าของตัวละครแบบไม่เซนเซอร์ แม้จะไม่มีฉาก Jump scare ออกมาให้เห็น แต่ในหลายๆ ครั้ง ความกดดันของเนื้อเรื่องและความไม่น่าไว้วางใจในสถานการณ์ ก็ทำให้ตัวเราเองแอบหรี่ตาดูอยู่ในบางฉาก
การนำเสนอถือว่ายอดเยี่ยม นอกจากฉาก transition ที่ไอเดียดีมากๆ แล้ว (ส่วนตัวชอบมุมภาพการ transition จากเหตุการณ์นึงไปยังอีกเหตุการณ์นึงของเรื่องนี้มากๆ ) การเรียบเรียงเนื้อเรื่อง และดนตรีประกอบ ก็ทำให้คนดูรับรู้ได้อย่างง่ายดายว่า ในแต่ละเหตุการณ์ มิมะ มีความคิดและความรู้สึกเช่นใด
ส่วนตัวเคยดูผลงานของผู้กำกับท่านนี้อีกเรื่องนึง นั่นก็คือ Paprika
สำหรับเรา เรามองว่าการนำเสนอเรื่อง Paprika เปรียบเหมือนกับการวางขอบเขตที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ใส่การนำเสนอที่คาดเดาไม่ได้ดั่งกลุ่มควัน ที่ลอยไปลอยมาอยู่ในขอบเขตกว้างขวางนั้น และเนื้อหาของการนำเสนอนั่น (กลุ่มควัน) สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ (ส่วนนึงเป็นเพราะพื้นฐานของเรื่อง Paprika คือการเล่นกับความฝัน ซึ่งขอบเขตความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นมันกว้างสุดๆ )
แต่สำหรับ Perfect Blue เรามองว่าขอบเขตของเรื่องนี้เล็กลงมาหน่อย (เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มีความฝัน หรือเวทมนต์มาเกี่ยวข้อง) แต่การนำเสนอของเรื่องนี้กลับเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นเส้นตรง หรือเปรียบดั่งคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะกระแทกขอบเขตที่วางเอาไว้จนแทบจะทำให้ขอบเขตนั้นแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ และขอบเขตนั้นได้แหลกสลายไปโดยสิ้นเชิงเมื่อมาถึงฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง
'ภาพหลอนน่ะ ทำร้ายเราไม่ได้หรอกนะ'
ความรู้สึก
พูดได้เต็มปากเลยว่า ไม่ได้ดูภาพยนตร์ที่ดีถึงขนาดนี้มาสักระยะแล้ว
ส่วนตัวมีความรู้สึกว่าสาเหตุที่ Perfect Blue ไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่าที่ควร อาจเกิดจากเป็นภาพยนตร์อนิเมชัน ที่ต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่ยังมองว่าอนิเมชันเป็นสื่อที่เป็นรองจากสื่อคนแสดงจริง และด้วยความที่เป็นภาพยนตร์เก่า คนจึงมองว่า มันคงไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น (เท่าที่แลกเปลี่ยนกับหลายคน)
แต่ส่วนตัวก็ป้ายยาคนใกล้ตัวจนไปดูได้บ้างแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จล่ะนะ 55
เราชอบการวางวัตถุดิบแต่ละอย่างเอาไว้ตามเนื้อเรื่องมาก เมื่อดูจบและนั่งตกผลึกแล้ว รับรู้ได้เลยว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้กำกับได้ใบ้เราเอาไว้มาตั้งแต่ต้น และคอยหยอดให้เราเอะใจตลอด แต่ไม่ได้เป็นการใบ้อย่างตรงไปตรงมา แทบจะเป็นการสับขาหลอกด้วยซ้ำ ด้วยการดำเนินเนื้อเรื่องที่ทำให้สงสัยว่า ภาพที่เราเห็น มันเป็นเหตุการณ์จริงที่มิมะเจอ หรือสิ่งที่มิมะได้วาดฝันเอาไว้กันแน่
(จะมีการพูดถึงจุดนี้เพิ่มเติมในท่อนสปอยล์)
โรงที่เราไปดู มีคนดูประมาณ 20 กว่าคน มีคนที่ลุกออกจากโรงทันที 2 คน ที่เหลือสภาพเดียวกับเราทั้งหมด คือ นั่งมองจอนิ่งๆ ดูเครดิตที่กำลังฉายบนหน้าจอ มีหยิบจับโทรศัพท์บ้าง แต่ทุกคนจับเหมือนแค่เช็ค notifications และวางมือถือไว้ที่เดิม .. ทุกคนนั่งเหม่อลอยอยู่แบบนั้นจนกระทั่งไฟโรงหนังเปิด ถึงจะค่อยๆ ทยอยออกจากโรงกัน
แทบไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ที่ทุกคนพร้อมใจกันนั่งอึนและยังคงดำดิ่งกับภาพยนตร์ที่เพิ่งจะจบไป แต่ Perfect Blue พาคนดูดำดิ่งและลึกซึ้งได้ถึงขั้นนั้นจริงๆ
มันเต็มอิ่มจนล้นใจ ส่วนตัวเรามือสั่นตลอดทางกลับบ้าน อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามือสั่นเพราะอะไร แต่สั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ
ต่อไปนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง แนะนำว่าไม่ควรกดอ่านจนกว่าจะได้ดูนะคะ เพราะจะทำให้พลาดประสบการณ์หลายๆ อย่างไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ย้ำอีกครั้งว่าเราชอบการวางเนื้อเรื่องและการนำเสนอของ Perfect Blue มาก
ส่วนตัวเราไม่สงสัยรูมิเลย เพราะในสายตาเรา รูมิเป็นผู้จัดการที่รักและเป็นห่วงมิมะมาก เธอคงเอ็นดูมิมะเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ คนนึง
แต่เมื่อถึงฉากที่เฉลยว่า ภาพลวงตาที่มิมะเห็นมาตลอด ความจริงคือรูมิ ข้อมูลที่อย่างที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น แล่นเข้าหัวเราไม่หยุด และมันตอบคำถามที่เราสงสัยมาตลอดเรื่องได้ทั้งหมด
เหตุการณ์บนเว็บไซต์ 'ห้องนอนของมิมะ'
มิมะถูกคุกคามความเป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่รูมิเลือกที่จะเพิกเฉย และบอกให้มิมะปล่อยๆ ไป แม้เราจะรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับนิสัยของรูมิที่เป็นห่วงมิมะอย่างมาก แต่เธอกลับบอกให้มิมะปล่อยๆ ไปซะงั้น
ซึ่งในตอนแรก เราคิดแค่ว่าหากย้อนไปในปี 1997 คนส่วนใหญ่คงยังไม่ตระหนักถึงความปลอดภัยของความเป็นส่วนตัวมากนัก คนยังคงมองว่าเป็นเรื่องปกติล่ะมั้ง
- ปรากฎว่าเว็บไซต์ 'ห้องนอนของมิมะ' เป็นฝีมือของรูมิ ซึ่งสามารถตอบคำถามได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะการที่รู้เป็นข้อมูลส่วนตัวมากๆ ของมิมะ (วิธีการเดินก้าวเท้า, การไปเลี้ยงฉลอง แถมยังมีรูปประกอบพร้อม) และยังสามารถตอบคำถามได้อีกว่า ทำไมรูมิถึงบอกให้มิมะปล่อยไป ไม่ต้องคิดมาก เพราะรูมิมีเว็บไซต์นี้เป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวจิตใจ ว่าตัวตนของมิมะยังไม่เปลี่ยนไป และยังเป็นการสนองความฝันของรูมิเอง เพราะเธอไม่ประสบความสำเร็จในฐานะของการเป็นไอดอล เธอจึงใช้ตัวตนของมิมะบังหน้า และเคลื่อนไหวในฐานะมิมะมาตลอดบนโลกอินเตอร์เน็ต
เหตุการณ์ฆาตกรรมที่มิมะรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนฆ่า
จำไม่ได้แล้วว่า เป็นเหตุการณ์ที่ช่างภาพหรือผู้กำกับหนังเป็นเหยื่อ แต่เป็นเหตุการณ์ที่มิมะเห็นภาพในฝันว่า เธอเป็นคนลงมือแทงผู้ชายคนนั้นไม่ยั้ง แม้เธอจะรับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เหตุการณ์นั้นกลับกลายเป็นเรื่องจริง แถมยังมีเสื้อผ้าเปื้อนเลือดอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเธอด้วย
- ส่วนตัวเรามองว่า มิมะไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่คนฆ่าคือรูมิ
สาเหตุที่มิมะเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนลงมือ เป็นเพราะมิมะมีจิตใต้สำนึกแบบนั้นจริงๆ ว่าอยากกำจัดสิ่งกวนใจออกไปให้หมด แต่เธอไม่ได้ลงมือจริง
ในขณะที่รูมิ ซึ่งเป็นคนที่เข้าถึงมิมะมากที่สุด จนแทบจะเป็นมิมะอีกคนหนึ่ง เรามองว่ารูมิอยากจะเป็นมิมะ (ด้วยปัจจัยทั้งความผิดหวังที่ไม่ประสบความสำเร็จในฐานะไดอล และการอยากเป็นมิมะ)
จนรูมิมีความคิดความรู้สึกเดียวกับมิมะในช่วงที่มิมะยังเป็นไอดอล และในช่วงเวลานั้น มิมะยังมีความยึดติดกับการเป็นไอดอล จนทำให้รูมิมีความคิดแบบเดียวกับมิมะ แต่รูมิลงมือทำในสิ่งที่เธอคิดจริงๆ เพื่อจัดการตัวปัญหาที่ทำให้มิมะดูแปดเปื้อนในสายตาของรูมิ
การนำเสนอซีรีส์ Double Bind คู่ขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริงของมิมะ
ชอบมาก ชอบที่สุด สับขาหลอกได้ดีมาก
ในช่วงที่มิมะได้รับโอกาสเป็นนักแสดงหลักของเรื่อง Double Bind และมีฉาการสัมภาษณ์ว่าเธอมีภาวะของโรคหลายบุคลิก ก็เป็นการหลอกคนดูระลอกหนึ่ง ว่า หรือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ที่มีคนตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมมากมาย เกิดจากฝีมือมิมะเอง แต่เธอแค่ไม่รู้ตัวเพราะเธอเป็นโรคหลายบุคลิก?
และการเล่าเนื้อเรื่องสับไปสับมา ระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกของจอแก้ว นัยหนึ่งเป็นการอธิบายและวางปมไว้ให้คนดูได้คิด แต่อีกนัยหนึ่งก็ทำให้คนดูรู้สึกสับสนตามมิมะ.. ว่ามิมะเริ่มสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองจนไม่สามารถแยกโลกของการแสดง และโลกของความเป็นจริงออกจากกันได้ดีเท่าไหร่นัก
รูมิร้องไห้ที่มิมะรับบทที่เปลืองตัว
ในตอนแรก เราเข้าใจว่ารูมิเป็นผู้จัดการที่รักมิมะมาก จนไม่อยากเห็นมิมะ นักแสดงภายใต้การดูแลของเธอรับบทที่ต้องเปลืองตัวมากขนาดนั้น จนรูมิถึงขั้นร้องไห้ออกมา และผละออกจากการดูแลมิมะพักใหญ่
เมื่อถึงฉากเฉลย กลับทำให้เราเข้าใจว่า สาเหตุที่รูมิร้องไห้เสียใจในช่วงต้นของเรื่อง เธอไม่ได้สงสารมิมะที่จะต้องยอมเปลืองตัวเพื่อทุ่มเทให้กับการแสดง แต่ความจริงแล้ว รูมิรู้สึกผิดหวังที่ตัวตนไอดอลของมิมะกำลังจะถูกกลืนกินด้วยการแสดงอันโจ่งแจ้ง
สรุป อยากให้ทุกคนได้ดู แต่ก่อนดู ขอให้สภาพจิตใจและร่างกายสมบูรณ์ 100% นะคะ
อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหลายๆ คนมากๆ หากใครรับชมแล้ว มาพูดคุยกันนะคะ
[CR] [Review+Spoil] Perfect Blue พาคุณดำดิ่งด้วยการนำเสนอที่บ้าคลั่ง ทะเยอทะยานจนแทบจะทะลุขอบเขต
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้