หลายๆท่านก็คงจะได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับ งานพิธีอัญเชิญ"พระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ'' 4 จุดทั่วไทย (4 ภาค) กันบ้างเเล้ว ซึ่งเป็นงานที่มีกระเเสมากในเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เเต่จะพบว่ามีอยู่ 1 จุด ที่บางท่านรวมทั้งเจ้าของกระทู้เองก็เอ๊ะหรือสังเกตเห็นเเละฉงนกับ สโลเเกนหรือแฮชแท็กที่ถูกเเชร์เเพร่หลายไปทั่วโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Tiktok , Youtube หรือ Facebook ที่ผุดคำว่า ''ราชธานีอีสาน'' หรือ ''ราชธานีเเห่งเดียวของอีสาน'' ซึ่งเป็นการกล่าวถึงจังหวัดเเห่งหนึ่งในภาคอีสานที่มีการร่วมกันจัดงานพิธีดังกล่าวซึ่งจังหวัดนั้นมีชื่อห้อยท้ายด้วยคำว่า''ราชธานี'' เพียงเเห่งเดียวของประเทศไทย
จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของจังหวัดหรือเมืองดังกล่าวที่เป็นที่จัดงานพิธีอย่างละเอียด ทำให้ทราบว่าจังหวัดดังกล่าวยังไม่สามารถเข้าข่ายกับฐานะของคำว่า ''ราชธานี'' ได้อย่างเเท้จริง หากเเต่เคยเป็นเพียงเมืองประเทศราชเท่านั้น โดยถูกยกฐานะจากหมู่บ้านห้วยเเจละเเม ยกขึ้นเป็นเมือง เมื่อปีพ.ศ. 2335 มีชื่อนามเมืองว่า ''เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไล ประเทศราช'' โดยเจ้าเมืองท่านเเรกได้รับโปรดเกล้าฯพระราชทานพระสุพรรณบัฎ ให้เป็นที่พระประเทศราช ผู้ครองเมือง (ย้ำ! ''เมือง'') ไม่ได้เเม้เเต่เป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐ ซึ่งเเม้เเต่เเค่เพียงนครรัฐก็ไม่อาจที่จะมีฐานะเป็น ''ราชธานี'' ได้ ต้องเป็นนครรัฐเอกที่มีนครรัฐอื่นๆหรือเมืองอื่นๆขึ้นตรงด้วยเป็นจำนวนมาก จนสามารถก่อตัวยกขึ้นเป็นอาณาจักรได้ อย่างเช่น อาณาจักรหลวงพระบางภายใต้อารักขาของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น
อีกทั้ง ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการเปลี่ยนรูปเเบบการปกครอง เป็นรูปเเบบ ข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาล ก็ยังไม่ได้เข้าข่ายกับคำว่า ''ราชธานี'' อีกทั้งยังห่างไกลยิ่งไปกว่าเดิมอีก เพราะเป็นรูปเเบบการปกครองที่ส่วนกลาง ส่งข้าหลวงต่างพระองค์ซึ่งมีอำนาจเป็นรองกษัตริย์ (เทียบได้เป็นเเค่ข้าราชกาลชั้นผู้ใหญ่) ไปปกครองเเละไปลดทอนอำนาจของเจ้านายท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยนั้น ในกรณีของเมืองอุบลราชธานีส่วนกลางก็ส่งข้าหลวงใหญ่ไปปกครองตั้งเป็นกองบัญชาการข้าหลวง เปลี่ยนรูปเเบบปกครองจากระบบอาญาสี่ ที่เจ้านายท้องถิ่น อย่างเจ้าเมืองมีอำนาจเด็ดขาดเเละมีอาญาสิทธิ์เต็มที่ภายในอาณาเขตเมืองของตน ถูกปรับรูปเเบบการปกครองเป็นรูปเเบบใหม่ทั้งหมด มีการยุบตำเเหน่งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชเมืองที่เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการมณฑล ให้ลงเป็น ปลัดมณฑล (ปลัดเทศา) ทำหน้าที่ช่วยราชการ ข้าหลวงเทศาภิบาลและรักษาราชการแทนเป็นผู้ว่าราชการเมือง (ย้ำ! เเค่รักษาการเมือง) ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลอีกตำแหน่งหนึ่ง เเละมีตำเเหน่งอื่นๆอีกเช่น ยกกระบัตรมณฑล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงสรรพากร ส่วนเจ้านายกรมการเมืองท้องถิ่นเดิมก็ไร้ซึ่งอำนาจ ถูกลดทอนอำนาจลงเเทบจะหมดสิ้น เป็นได้เเค่เพียงผู้ช่วยของข้าหลวงที่ไปปกครอง ส่วนใหญ่ส่วนกลางจะส่งคนจากต่างถิ่นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการนั้น กรมการเมืองเดิมเเทบจะไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอำนาจในเมืองของตัวเอง หากมีก็มีน้อย ทั้งที่เป็นเมืองที่บรรพบุรุษตัวเองร่วมกันสร้างขึ้น โดนส่วนกลางเข้ามายึดอำนาจเเทบจะหมดสิ้น ในกรณีนี้ การจะใช้เป็นข้ออ้างจากความเข้าใจผิดที่ว่าเคยเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการข้าหลวง (ข้าราชการ) หรือเคยเป็นเมืองหลวงประจำมณฑล จะยกฐานะให้เป็น ''ราชธานี'' ก็คงจะตลกสิ้นคิด เพราะในความเป็นจริง เป็นเพียงเเค่การส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ให้ไปปกครองมณฑลที่มีฐานะใหญ่กว่าเเละคลุมเมืองหรือจังหวัดอีกขั้นหนึ่งเเละขึ้นตรงต่อราชธานีอย่างกรุงเทพอีกทีหนึ่งเท่านั้น (เเม้ว่าผู้ปกครองบางท่านจะเป็นน้องชายของกษัตริย์ก็ตาม) ซึ่งก็ไม่ใช่กษัตริย์หรือราชาที่ไปปกครอง คนที่ไม่รู้จึงเอาไปตีเเผ่เเบบผิดๆส่งต่อกันจนเกิดเป็นลูกโซ่ (เเห่งความ Klao) เเยกให้ออกระหว่าง ราชธานี ≠ เมืองหลวง เเต่ ราชธานี = เมืองหลวงของราชอาณาจักร
ถ้าหากจะให้ฉายาเข้าข่ายกับคำว่า''ราชธานีอีสาน'' จังหวัดหรือเมืองที่เคยมีเเหล่งอารยธรรมโบราณที่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรภายในภาคอีสาน ที่น่าจะเข้าข่ายที่สุด อย่างจังหวัดนครพนมหรือเมืองมรุขนครที่เคยเป็นที่ตั้งของราชธานีของอาณาจักรอาณาจักรศรีโคตบูร ที่เคยมีอาณาเขตคลุมไปทั่วภูมิภาคอีสาน ตามตำนาน-นิทาน ไม่เหมาะสมกับคำว่า ''ราชธานีอีสาน'' กว่าอีกเหรอ? เพราะอย่างน้อยๆก็ถูกกล่าวจากเอกสาร ตำนานว่าเคยเป็นที่ตั้งของเเคว้นศรีโคตรบูร เเม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มาสนับสนุนความเป็นอยู่ของเเคว้นนี้จะน้อยก็ตาม อันนี้ให้เอาไปคิด
ดังนั้นคำว่าราชธานีควรสงวนไว้ใช้กับเฉพาะ เมืองหลวงของราชอาณาจักร ไม่ใช่เอาไว้ใช้พร่ําเพรื่อหรือจะใช้อย่างไรก็ได้ กับเพียงเเค่ชื่อเมืองหรือจังหวัดที่มีคำห้อยท้ายคำว่า''ราชธานี'' เพียงเพื่อความสละสลวยของชื่อบ้านนามเมืองเท่านั้น (ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า รัชกาลที่ 1 ท่านทรงตั้งใจตั้งไว้เพื่อบ่งบอกว่า เมืองนั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยามเเละชดเชยที่เมืองนั้นไม่สามารถที่จะยกฐานะเป็นนครรัฐหรืออาณาจักรได้เหมือนดัง นครเชียงใหม่ที่เป็นนครรัฐ หรือ นครหลวงพระบางที่เป็นราชธานีที่เเท้จริงของอาณาจักรหลวงพระบาง ประเทศราชของสยาม ) จากความไม่รู้เเละความเข้าใจผิดของคนบางกลุ่ม เเล้วส่งต่อเเนวความคิดอันบิดเบี้ยว งดเท็จ กำกวม เพื่อเพิ่มมูลค่าหรือเป็นจุดขายในทางที่ผิดให้เเก่จังหวัดเพื่อดึงดูดคนภายนอกให้มาสนใจเเละเข้าถึงความมีตัวตนของจังหวัดนั้นอย่างความเข้าใจผิดๆ ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่ควรจะเพิกเฉยได้ เพราะเป็นภัยต่อคนส่วนใหญ่ที่ไม่ทราบความเป็นมาที่เเท้จริง ได้รับรู้เเละเข้าใจไปในทางที่ผิดๆ เเละร่วมภาคภูมิใจไปในทางที่ผิดๆ เเละที่หนักไปกว่านั้น มีเหล่านักวิชาบางพวก ที่สนับสนุนเเละเออออไปด้วย เเม้จะรู้อยู่เเก่ใจตัวเองดี เพราะมันสามารถเป็นจุดที่ขายได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยที่ไม่สนความถูกต้องก็ตาม กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากจะถูกเเก้ไข
เจ้าของกระทู้อยากจะเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น ว่า จังหวัดอุบลราชธานี สมควรหรือเหมาะสมกับคำว่า ''ราชธานีของอีสาน'' หรือไม่? อย่างไร? เเละถ้าหากไม่สมควร ควรเเก้ไขสโลเเกนที่เป็นภาพจำประจำจังหวัดใหม่ให้ถูกต้องให้ตรงกับหลักความเป็นจริงหรือไม่? อย่างไร? สามารถเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ (ร่วมกันก่อดีกว่าทำลาย)
ราชธานีอีสาน วาทะกรรมที่เกิดจากความเข้าใจผิดของคนใหญ่คนโตของจังหวัดเเห่งหนึ่งในอีสาน เเพร่ความเชื่อที่บิดเบือนสู่ประชาชน
จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของจังหวัดหรือเมืองดังกล่าวที่เป็นที่จัดงานพิธีอย่างละเอียด ทำให้ทราบว่าจังหวัดดังกล่าวยังไม่สามารถเข้าข่ายกับฐานะของคำว่า ''ราชธานี'' ได้อย่างเเท้จริง หากเเต่เคยเป็นเพียงเมืองประเทศราชเท่านั้น โดยถูกยกฐานะจากหมู่บ้านห้วยเเจละเเม ยกขึ้นเป็นเมือง เมื่อปีพ.ศ. 2335 มีชื่อนามเมืองว่า ''เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไล ประเทศราช'' โดยเจ้าเมืองท่านเเรกได้รับโปรดเกล้าฯพระราชทานพระสุพรรณบัฎ ให้เป็นที่พระประเทศราช ผู้ครองเมือง (ย้ำ! ''เมือง'') ไม่ได้เเม้เเต่เป็นเจ้าผู้ครองนครรัฐ ซึ่งเเม้เเต่เเค่เพียงนครรัฐก็ไม่อาจที่จะมีฐานะเป็น ''ราชธานี'' ได้ ต้องเป็นนครรัฐเอกที่มีนครรัฐอื่นๆหรือเมืองอื่นๆขึ้นตรงด้วยเป็นจำนวนมาก จนสามารถก่อตัวยกขึ้นเป็นอาณาจักรได้ อย่างเช่น อาณาจักรหลวงพระบางภายใต้อารักขาของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้น
อีกทั้ง ในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการเปลี่ยนรูปเเบบการปกครอง เป็นรูปเเบบ ข้าหลวงมณฑลเทศาภิบาล ก็ยังไม่ได้เข้าข่ายกับคำว่า ''ราชธานี'' อีกทั้งยังห่างไกลยิ่งไปกว่าเดิมอีก เพราะเป็นรูปเเบบการปกครองที่ส่วนกลาง ส่งข้าหลวงต่างพระองค์ซึ่งมีอำนาจเป็นรองกษัตริย์ (เทียบได้เป็นเเค่ข้าราชกาลชั้นผู้ใหญ่) ไปปกครองเเละไปลดทอนอำนาจของเจ้านายท้องถิ่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยนั้น ในกรณีของเมืองอุบลราชธานีส่วนกลางก็ส่งข้าหลวงใหญ่ไปปกครองตั้งเป็นกองบัญชาการข้าหลวง เปลี่ยนรูปเเบบปกครองจากระบบอาญาสี่ ที่เจ้านายท้องถิ่น อย่างเจ้าเมืองมีอำนาจเด็ดขาดเเละมีอาญาสิทธิ์เต็มที่ภายในอาณาเขตเมืองของตน ถูกปรับรูปเเบบการปกครองเป็นรูปเเบบใหม่ทั้งหมด มีการยุบตำเเหน่งเจ้าเมืองหรือผู้ว่าราชเมืองที่เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการมณฑล ให้ลงเป็น ปลัดมณฑล (ปลัดเทศา) ทำหน้าที่ช่วยราชการ ข้าหลวงเทศาภิบาลและรักษาราชการแทนเป็นผู้ว่าราชการเมือง (ย้ำ! เเค่รักษาการเมือง) ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการมณฑลอีกตำแหน่งหนึ่ง เเละมีตำเเหน่งอื่นๆอีกเช่น ยกกระบัตรมณฑล ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงสรรพากร ส่วนเจ้านายกรมการเมืองท้องถิ่นเดิมก็ไร้ซึ่งอำนาจ ถูกลดทอนอำนาจลงเเทบจะหมดสิ้น เป็นได้เเค่เพียงผู้ช่วยของข้าหลวงที่ไปปกครอง ส่วนใหญ่ส่วนกลางจะส่งคนจากต่างถิ่นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการนั้น กรมการเมืองเดิมเเทบจะไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอำนาจในเมืองของตัวเอง หากมีก็มีน้อย ทั้งที่เป็นเมืองที่บรรพบุรุษตัวเองร่วมกันสร้างขึ้น โดนส่วนกลางเข้ามายึดอำนาจเเทบจะหมดสิ้น ในกรณีนี้ การจะใช้เป็นข้ออ้างจากความเข้าใจผิดที่ว่าเคยเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการข้าหลวง (ข้าราชการ) หรือเคยเป็นเมืองหลวงประจำมณฑล จะยกฐานะให้เป็น ''ราชธานี'' ก็คงจะตลกสิ้นคิด เพราะในความเป็นจริง เป็นเพียงเเค่การส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ให้ไปปกครองมณฑลที่มีฐานะใหญ่กว่าเเละคลุมเมืองหรือจังหวัดอีกขั้นหนึ่งเเละขึ้นตรงต่อราชธานีอย่างกรุงเทพอีกทีหนึ่งเท่านั้น (เเม้ว่าผู้ปกครองบางท่านจะเป็นน้องชายของกษัตริย์ก็ตาม) ซึ่งก็ไม่ใช่กษัตริย์หรือราชาที่ไปปกครอง คนที่ไม่รู้จึงเอาไปตีเเผ่เเบบผิดๆส่งต่อกันจนเกิดเป็นลูกโซ่ (เเห่งความ Klao) เเยกให้ออกระหว่าง ราชธานี ≠ เมืองหลวง เเต่ ราชธานี = เมืองหลวงของราชอาณาจักร
ถ้าหากจะให้ฉายาเข้าข่ายกับคำว่า''ราชธานีอีสาน'' จังหวัดหรือเมืองที่เคยมีเเหล่งอารยธรรมโบราณที่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรภายในภาคอีสาน ที่น่าจะเข้าข่ายที่สุด อย่างจังหวัดนครพนมหรือเมืองมรุขนครที่เคยเป็นที่ตั้งของราชธานีของอาณาจักรอาณาจักรศรีโคตบูร ที่เคยมีอาณาเขตคลุมไปทั่วภูมิภาคอีสาน ตามตำนาน-นิทาน ไม่เหมาะสมกับคำว่า ''ราชธานีอีสาน'' กว่าอีกเหรอ? เพราะอย่างน้อยๆก็ถูกกล่าวจากเอกสาร ตำนานว่าเคยเป็นที่ตั้งของเเคว้นศรีโคตรบูร เเม้ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มาสนับสนุนความเป็นอยู่ของเเคว้นนี้จะน้อยก็ตาม อันนี้ให้เอาไปคิด
ดังนั้นคำว่าราชธานีควรสงวนไว้ใช้กับเฉพาะ เมืองหลวงของราชอาณาจักร ไม่ใช่เอาไว้ใช้พร่ําเพรื่อหรือจะใช้อย่างไรก็ได้ กับเพียงเเค่ชื่อเมืองหรือจังหวัดที่มีคำห้อยท้ายคำว่า''ราชธานี'' เพียงเพื่อความสละสลวยของชื่อบ้านนามเมืองเท่านั้น (ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า รัชกาลที่ 1 ท่านทรงตั้งใจตั้งไว้เพื่อบ่งบอกว่า เมืองนั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยามเเละชดเชยที่เมืองนั้นไม่สามารถที่จะยกฐานะเป็นนครรัฐหรืออาณาจักรได้เหมือนดัง นครเชียงใหม่ที่เป็นนครรัฐ หรือ นครหลวงพระบางที่เป็นราชธานีที่เเท้จริงของอาณาจักรหลวงพระบาง ประเทศราชของสยาม ) จากความไม่รู้เเละความเข้าใจผิดของคนบางกลุ่ม เเล้วส่งต่อเเนวความคิดอันบิดเบี้ยว งดเท็จ กำกวม เพื่อเพิ่มมูลค่าหรือเป็นจุดขายในทางที่ผิดให้เเก่จังหวัดเพื่อดึงดูดคนภายนอกให้มาสนใจเเละเข้าถึงความมีตัวตนของจังหวัดนั้นอย่างความเข้าใจผิดๆ ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่ควรจะเพิกเฉยได้ เพราะเป็นภัยต่อคนส่วนใหญ่ที่ไม่ทราบความเป็นมาที่เเท้จริง ได้รับรู้เเละเข้าใจไปในทางที่ผิดๆ เเละร่วมภาคภูมิใจไปในทางที่ผิดๆ เเละที่หนักไปกว่านั้น มีเหล่านักวิชาบางพวก ที่สนับสนุนเเละเออออไปด้วย เเม้จะรู้อยู่เเก่ใจตัวเองดี เพราะมันสามารถเป็นจุดที่ขายได้ ใช้ประโยชน์ได้ โดยที่ไม่สนความถูกต้องก็ตาม กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากจะถูกเเก้ไข
เจ้าของกระทู้อยากจะเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น ว่า จังหวัดอุบลราชธานี สมควรหรือเหมาะสมกับคำว่า ''ราชธานีของอีสาน'' หรือไม่? อย่างไร? เเละถ้าหากไม่สมควร ควรเเก้ไขสโลเเกนที่เป็นภาพจำประจำจังหวัดใหม่ให้ถูกต้องให้ตรงกับหลักความเป็นจริงหรือไม่? อย่างไร? สามารถเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ (ร่วมกันก่อดีกว่าทำลาย)