
- หลังจากดูจบ ความรู้สึกแวบแรกคือนึกถึงเรื่อง Fallen Leaves (2023) ลอยอยู่ในหัวตลอดตั้งแต่เริ่มต้นยันจบเรื่อง ในแง่ของการพบกันของตัวนางเอกกับพระเอกที่ต่างคนก็เป็นคนชนชั้นแรงงานเหมือนกัน ปากกัดตีบถีบในโลกสุขแสนบิดเบี้ยวโดยการเล่าสลับ Part ไปมาของทั้งคู่ ต่างกันคือเรื่องนี้จะเน้นไปทางด้าน Performance Art หรือ ศิลปะการแสดงควบคู่กับความเป็นละครเวทีแบบ Broadway คล้ายกับเรื่อง La La Land (2016) แล้วมีการโชว์เหนือต่อด้วยการใส่จังหวะบัลเล่ต์ลงไปเพื่อเพิ่มท่ายากในการเล่าให้มีมิติที่ซื่อตรงต่อความเป็น Musical ทำให้ทุก Scene ที่ตัวนางเอก หรือ พระเอกปรากฎจะมีการ Action เกิดขึ้นในลักษณะนี้ให้เราดูแทบทุกครั้งจนรู้สึกแตกเป็น 2 ฝั่ง คือใจนึงมันก็ช่วยทำให้เราเสพความสุนทรียเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ไม่น่าเบื่อแต่ใจนึงก็มองว่าไอ้การพรรณนาพร่ำเพรื่อของพวกอย่างปรณัมกรีกนี่มันเข้าถึงยากไป ทั้งที่ตัวบทจริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายแต่พอถูกสิ่งเหล่านี้ปรุงแต่งเข้าไปกลายเป็นว่าทำให้ Story มีราคาขึ้นจนแปลกตาไปแค่นั้น

- ส่วนที่รู้สึกชอบคือผู้กำกับและทีมงานใช้ภาษาในการเล่าได้สวยงามดี ใส่ใจใน Details ทุก ไม่ว่าฉากนั้นจะโผล่มากี่นาทีหรือตัวละครคนนั้นจะมีบทมากน้อยแค่ไหนก็มีการให้แสงเท่ากันโดยการแต่งหน้าทาปากก็จัดองค์ทรงเครื่องกันเต็มยศ อีกทั้งการเล่นแสงก็มีการใช้สีโทนร้อนที่ให้ความฉูดฉาดร้อนแรงผสมกับสีโทนเย็นที่ช่วยเจือจางแต่ซ่อนความหลอนไว้เหมือนอยู่ในคาเฟ่กึ่งเธค แล้วที่สำคัญคือได้ปล่อยให้พวกเขาโชว์ของด้วย อย่างเช่น Scene ที่นางเอกวิ่งตามพระเอกอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินแล้วหันไปมองข้างหลัง จู่ ๆ ก็มีกลุ่มนักเต้นชุดดำโผล่มาตรงหน้าตอนไหนไม่รู้จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับรำไปด้วยเหมือนกับว่าจะไปเต้นงานเปิดตัวรายการ Victoria Secret ยังไงยังงั้น

- ส่วนที่ไม่ชอบเลยคือเคมีของนางเอกกับพระเอกไม่เข้ากันและไม่นำพาเรารู้สึก In Love แม้แต่นิดเดียว เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนคนพูดคนละภาษา คนนึงถามนกแต่อีกคนทำท่าหมากลับไปแล้วเมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง การแสดงของนางเอกไม่มีปัญหาเพราะได้โชว์ทักษะทั้งการพูดและร้องเพลงด้วยเลยเอาตัวรอดไปได้แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ไอ้พระเอกนี่แหล่ะคือทั้งเรื่องไม่มีบทพูดเลยสักแอ๊ะแถมเวลาแสดงสีหน้าแต่ละทีอย่างกะคนโรคจิต คนปัญญาอ่อน คือ ถ้าใส่บทพูดมาซักนิดบ้าง ก็พอช่วยให้เข้าใจได้บ้างว่า คิดยังไง รู้สึกยังไง แต่นี้อะไรเอะอะ ๆ รำวงกายกรรมกวางเจาโชว์สาวลูกเดียว แล้วไอ้ตรรกะของอีนางเอกก็ช่างบ๊งได้โล่จริง ๆ คือ ตอนที่โดนพระเอกขโมยกระเป๋าตังตอนทีเผลอ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนกำลังทำงานในโรงละครจนกระทั่งเลิกงานออกมาแล้วเจอกับไอ้พระเอกที่ยืน Stand By อยู่ก่อนแล้วพอคุณเธอเห็นจึงทำพี่วิ่งหนีไป อีคุณเธอเห็นก็หัวร้อนเลยวิ่งไล่ตามไปจนถึงในอุโมงค์ใต้ดินแล้วเจอกับกระเป๋าตังของตนเองตกอยู่ที่พื้นจึงก้มลงเก็บแล้วเงยหน้ามาเห็นพระเอกยืนอีกฝั่งแล้วบรรเลงเพลงรำมวยจีนออกมาที่นี้แหล่ะอีคุณเธอเลยโดนมนต์สะกดเข้าไปเต็ม ๆ จากนั้นทั้งคู่ก็นัวเนียกันเพลินจนกำลังจะเข้าสู่พิธีแลกเปลี่ยนสารแล็คโตบาซิลลัส จู่ ๆ เธอก็เห็นใครบางคนโผล่มายืนข้างคุณเธอจนตกใจแล้ววิ่งหนีเตลิดไปปล่อยให้พระเอกยืนงงในดงเปลตามลำพัง แล้วไอ้ที่เจ็บหัวต่อมาคือคุณเธอดันทำกระเป๋าตังของตนเองตกลงที่พื้นอีกแล้ว บ้าบอ นี่ถ้าเป็นเหตุการณ์จริงป่านนี้อีนางเอกถูกไอ้พระเอกเอามีดสวบท้องตุยไปแล้ว คือ เข้าใจว่าหนังต้องการเคารพงานยุคเก่าหรือทำให้เรื่องมีความแปลกใหม่ก็สุดแล้วแต่ ซึ่งถ้าคนที่เคยดูหนังประเภทนี้จะเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกมาอย่างลึกซึ้งแต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูอย่างผมมันเห่อได้แปปเดียวหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นภาระที่ถ่วงการแสดงของตัวพระเอกไม่ให้โชว์ฝีมือทางด้านอื่นนอกจากเต้น มันเลยทำให้เราไม่ได้เชื่อมั่นในความรักของนางเอกกับพระเอกที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็ Spark กันง่าย ๆ เลยซักนิดเพียงนอกจากทำไปเพื่อตอบสนองความใคร่แบบมักง่ายแค่นั้น

- สรุป ภาพรวมในเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที มีทั้งชอบและไม่ชอบ ดูง่ายและเข้าถึงยาก แม้จะเรื่อย ๆ ปนเอื่อย ๆ ตามสไตล์หนังยุโรปแต่ยอมรับว่าระหว่างทางเหมือนสวนสนุกที่พาเราเล่นเครื่องเล่นหลายชิ้นค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปจนเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายด้วยการประเคนฉากแปลก ๆ หลอกล่อและโจมตีเราตอนเผลอเพื่อขยี้ถึงที่มาของปมนางเอกให้เราเข้าใจว่าทำไมคุณเธอถึงเป็นคนคลั่งรักเกินเบอร์ขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเล่นใหญ่ไปหน่อย ส่วนตัวละครสมทบที่ผมคิดว่าจะมีบทสำคัญอย่างตัว เอเจนซี่ กับ นักแสดงสาว ที่นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้แต่ที่ไหนได้กลับเป็นตัวโจ๊กเพื่อสร้างสีสันให้เรื่องมันไปต่อแค่นั้นแถมสู้ตัวโจรคุณยายที่เป็นคู่หูของพระเอกไม่ได้ที่โผล่ไม่เยอะแต่มาทีมีความสำคัญทุก Scene จนแอบเสียดายในการออกแบบ Character ที่วางตัวไว้อย่างสง่างามสุด ถ้าจะเอาด้านความบันเทิงไม่ตอบโจทย์คนดูทุกคนโดยเฉพาะคนเสพหนังสายแมส เพราะความเป็นตนเองสูงเลยไม่ตามใจใครนักแต่ถ้าเสพเอาความสุนทรีย์โดยเฉพาะทางด้านศิลป์ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีแถมเปิดประสบการณ์ในการดูหนังที่ตื่นเต้นไปกับงานภาพแปลกตาไปกับการแสดงกึ่งภาพยนตร์กึ่งละครเวทีที่ผสมกันออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และลงตัวไปอีกแบบอย่างงง ๆ เช่นกัน

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.89 Orphea in Love : OPEN AIR KINO 2024 By Goethe Institut
- หลังจากดูจบ ความรู้สึกแวบแรกคือนึกถึงเรื่อง Fallen Leaves (2023) ลอยอยู่ในหัวตลอดตั้งแต่เริ่มต้นยันจบเรื่อง ในแง่ของการพบกันของตัวนางเอกกับพระเอกที่ต่างคนก็เป็นคนชนชั้นแรงงานเหมือนกัน ปากกัดตีบถีบในโลกสุขแสนบิดเบี้ยวโดยการเล่าสลับ Part ไปมาของทั้งคู่ ต่างกันคือเรื่องนี้จะเน้นไปทางด้าน Performance Art หรือ ศิลปะการแสดงควบคู่กับความเป็นละครเวทีแบบ Broadway คล้ายกับเรื่อง La La Land (2016) แล้วมีการโชว์เหนือต่อด้วยการใส่จังหวะบัลเล่ต์ลงไปเพื่อเพิ่มท่ายากในการเล่าให้มีมิติที่ซื่อตรงต่อความเป็น Musical ทำให้ทุก Scene ที่ตัวนางเอก หรือ พระเอกปรากฎจะมีการ Action เกิดขึ้นในลักษณะนี้ให้เราดูแทบทุกครั้งจนรู้สึกแตกเป็น 2 ฝั่ง คือใจนึงมันก็ช่วยทำให้เราเสพความสุนทรียเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ไม่น่าเบื่อแต่ใจนึงก็มองว่าไอ้การพรรณนาพร่ำเพรื่อของพวกอย่างปรณัมกรีกนี่มันเข้าถึงยากไป ทั้งที่ตัวบทจริง ๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายแต่พอถูกสิ่งเหล่านี้ปรุงแต่งเข้าไปกลายเป็นว่าทำให้ Story มีราคาขึ้นจนแปลกตาไปแค่นั้น
- ส่วนที่รู้สึกชอบคือผู้กำกับและทีมงานใช้ภาษาในการเล่าได้สวยงามดี ใส่ใจใน Details ทุก ไม่ว่าฉากนั้นจะโผล่มากี่นาทีหรือตัวละครคนนั้นจะมีบทมากน้อยแค่ไหนก็มีการให้แสงเท่ากันโดยการแต่งหน้าทาปากก็จัดองค์ทรงเครื่องกันเต็มยศ อีกทั้งการเล่นแสงก็มีการใช้สีโทนร้อนที่ให้ความฉูดฉาดร้อนแรงผสมกับสีโทนเย็นที่ช่วยเจือจางแต่ซ่อนความหลอนไว้เหมือนอยู่ในคาเฟ่กึ่งเธค แล้วที่สำคัญคือได้ปล่อยให้พวกเขาโชว์ของด้วย อย่างเช่น Scene ที่นางเอกวิ่งตามพระเอกอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินแล้วหันไปมองข้างหลัง จู่ ๆ ก็มีกลุ่มนักเต้นชุดดำโผล่มาตรงหน้าตอนไหนไม่รู้จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับรำไปด้วยเหมือนกับว่าจะไปเต้นงานเปิดตัวรายการ Victoria Secret ยังไงยังงั้น
- ส่วนที่ไม่ชอบเลยคือเคมีของนางเอกกับพระเอกไม่เข้ากันและไม่นำพาเรารู้สึก In Love แม้แต่นิดเดียว เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนคนพูดคนละภาษา คนนึงถามนกแต่อีกคนทำท่าหมากลับไปแล้วเมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง การแสดงของนางเอกไม่มีปัญหาเพราะได้โชว์ทักษะทั้งการพูดและร้องเพลงด้วยเลยเอาตัวรอดไปได้แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ไอ้พระเอกนี่แหล่ะคือทั้งเรื่องไม่มีบทพูดเลยสักแอ๊ะแถมเวลาแสดงสีหน้าแต่ละทีอย่างกะคนโรคจิต คนปัญญาอ่อน คือ ถ้าใส่บทพูดมาซักนิดบ้าง ก็พอช่วยให้เข้าใจได้บ้างว่า คิดยังไง รู้สึกยังไง แต่นี้อะไรเอะอะ ๆ รำวงกายกรรมกวางเจาโชว์สาวลูกเดียว แล้วไอ้ตรรกะของอีนางเอกก็ช่างบ๊งได้โล่จริง ๆ คือ ตอนที่โดนพระเอกขโมยกระเป๋าตังตอนทีเผลอ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนกำลังทำงานในโรงละครจนกระทั่งเลิกงานออกมาแล้วเจอกับไอ้พระเอกที่ยืน Stand By อยู่ก่อนแล้วพอคุณเธอเห็นจึงทำพี่วิ่งหนีไป อีคุณเธอเห็นก็หัวร้อนเลยวิ่งไล่ตามไปจนถึงในอุโมงค์ใต้ดินแล้วเจอกับกระเป๋าตังของตนเองตกอยู่ที่พื้นจึงก้มลงเก็บแล้วเงยหน้ามาเห็นพระเอกยืนอีกฝั่งแล้วบรรเลงเพลงรำมวยจีนออกมาที่นี้แหล่ะอีคุณเธอเลยโดนมนต์สะกดเข้าไปเต็ม ๆ จากนั้นทั้งคู่ก็นัวเนียกันเพลินจนกำลังจะเข้าสู่พิธีแลกเปลี่ยนสารแล็คโตบาซิลลัส จู่ ๆ เธอก็เห็นใครบางคนโผล่มายืนข้างคุณเธอจนตกใจแล้ววิ่งหนีเตลิดไปปล่อยให้พระเอกยืนงงในดงเปลตามลำพัง แล้วไอ้ที่เจ็บหัวต่อมาคือคุณเธอดันทำกระเป๋าตังของตนเองตกลงที่พื้นอีกแล้ว บ้าบอ นี่ถ้าเป็นเหตุการณ์จริงป่านนี้อีนางเอกถูกไอ้พระเอกเอามีดสวบท้องตุยไปแล้ว คือ เข้าใจว่าหนังต้องการเคารพงานยุคเก่าหรือทำให้เรื่องมีความแปลกใหม่ก็สุดแล้วแต่ ซึ่งถ้าคนที่เคยดูหนังประเภทนี้จะเข้าใจในสิ่งที่สื่อออกมาอย่างลึกซึ้งแต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูอย่างผมมันเห่อได้แปปเดียวหลังจากนั้นมันจะกลายเป็นภาระที่ถ่วงการแสดงของตัวพระเอกไม่ให้โชว์ฝีมือทางด้านอื่นนอกจากเต้น มันเลยทำให้เราไม่ได้เชื่อมั่นในความรักของนางเอกกับพระเอกที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็ Spark กันง่าย ๆ เลยซักนิดเพียงนอกจากทำไปเพื่อตอบสนองความใคร่แบบมักง่ายแค่นั้น
- สรุป ภาพรวมในเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที มีทั้งชอบและไม่ชอบ ดูง่ายและเข้าถึงยาก แม้จะเรื่อย ๆ ปนเอื่อย ๆ ตามสไตล์หนังยุโรปแต่ยอมรับว่าระหว่างทางเหมือนสวนสนุกที่พาเราเล่นเครื่องเล่นหลายชิ้นค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปจนเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงท้ายด้วยการประเคนฉากแปลก ๆ หลอกล่อและโจมตีเราตอนเผลอเพื่อขยี้ถึงที่มาของปมนางเอกให้เราเข้าใจว่าทำไมคุณเธอถึงเป็นคนคลั่งรักเกินเบอร์ขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันเล่นใหญ่ไปหน่อย ส่วนตัวละครสมทบที่ผมคิดว่าจะมีบทสำคัญอย่างตัว เอเจนซี่ กับ นักแสดงสาว ที่นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้แต่ที่ไหนได้กลับเป็นตัวโจ๊กเพื่อสร้างสีสันให้เรื่องมันไปต่อแค่นั้นแถมสู้ตัวโจรคุณยายที่เป็นคู่หูของพระเอกไม่ได้ที่โผล่ไม่เยอะแต่มาทีมีความสำคัญทุก Scene จนแอบเสียดายในการออกแบบ Character ที่วางตัวไว้อย่างสง่างามสุด ถ้าจะเอาด้านความบันเทิงไม่ตอบโจทย์คนดูทุกคนโดยเฉพาะคนเสพหนังสายแมส เพราะความเป็นตนเองสูงเลยไม่ตามใจใครนักแต่ถ้าเสพเอาความสุนทรีย์โดยเฉพาะทางด้านศิลป์ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีแถมเปิดประสบการณ์ในการดูหนังที่ตื่นเต้นไปกับงานภาพแปลกตาไปกับการแสดงกึ่งภาพยนตร์กึ่งละครเวทีที่ผสมกันออกมาได้อย่างมีเสน่ห์และลงตัวไปอีกแบบอย่างงง ๆ เช่นกัน
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like & Share บทความของผม และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้