สื่อสหรัฐฯอ้าง 40 ชาวอุยกูร์ถูกขังไทย สภาพสุดเลวร้าย-ฮิวแมนไรท์วอทช์ย้ำค้านส่งตัวกลับจีน
https://www.isranews.org/article/isranews-news/126946-isranews-HRWWtttttt.html
สื่อสหรัฐฯเผย 40 ชาวอุยกูร์ในไทยอยู่คุมขังในสภาพเลวร้าย หลังหนีจากประเทศจีนเมื่อสิบปีก่อน แต่ถูกตั้งข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ด้านที่ปรึกษา กสม.แนะหน่วยงานไทยเดินเรื่องคัดกรอง
ส่วนฮิวแมนไรท์วอทช์เอเชียจี้ 'เศรษฐา' แสดงจุดยืนยึดหลักการสากลให้จีนรับทราบว่าส่งตัวกลับไม่ได้
*********************************************************************
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์กลุ่มเชื้อชาติอุยกูร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยอ้างอิงสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียของสหรัฐอเมริกาว่าพบว่ามีกลุ่มชาวอุยกูร์จำนวนมากกว่า 40 คน ซึ่งหนีจากการดำเนินคดีในประเทศจีนเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ตอนนี้ชาวอุยกูร์เหล่านี้ยังคงถูกคุมขังในศูนย์กักกันที่แออัดเนื่องจากต้องข้อหาเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
โดยข้อมูลดังกล่าวนั้นถูกเปิดโปงในการสัมมนาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งชาวอุยกูร์จำนวนดังกล่าวนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวอุยกูร์จำนวน 500 คนที่หนีมาจากเขตปกครองตนเองซินเจียง มายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตั้งความหวังว่าจะได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศตุรเคีย หลังจากที่เดินทางผ่านเข้าไปยังมาเลเซียได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ปรากฏว่ามีเพียงแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้นที่สามารถผ่านระเบียบราชการและผ่านด่านของเจ้าหน้าที่ไปได้
มีรายงานจากทางการว่าระหว่างการอพยพตั้งแต่ปลายปี 2556 ถึง 2557 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้จับกุมชาวอุยกูร์อย่างน้อย 475 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสวนยางพาราในจังหวัดสงขลา และควบคุมตัวพวกเขาในเดือนมีนาคม 2557
ทางด้านนางนาง
รัตติกุล จันทร์สุริยา ปรึกษาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่าชาวอุยกูร์ที่เหลือถูกกักขังในฐานะผู้อพยพผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ภายใต้ "
สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่" ในศูนย์กักกัน ไม่สามารถพูดคุยกับบุคคลภายนอกได้ และชีวิตของชาวอุยกูร์อาจตกอยู่ในอันตรายหากถูกส่งตัวกลับประเทศจีน
“
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งหาประเทศที่สามที่เหมาะสมหรือจุดหมายปลายทางอื่น ๆ สําหรับผู้ถูกควบคุมตัวชาวอุยกูร์” นางรัตติกุลกล่าวและยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน เร่งดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องนี้
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดําเนินการตามระเบียบการคัดกรองคนต่างด้าวที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต นี่เป็นกลไกสําคัญในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขอลี้ภัย รวมถึงชาวอุยกูร์" นาง
รัตติกุลกล่าวต่อ
อย่างไรก็ตามทางสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียได้พยายามติดต่อไปยังกระทรวงต่างประเทศของไทยเพื่อให้แสดงความเห็นในเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
ทางด้านของนาง
ชลิดา ตเจริญสุข ผู้อํานวยการมูลนิธิเสริมพลังประชาชน ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในประเทศไทยกล่าวว่าชาวอุยกูร์นั้นกลายเป็นคนกลุ่มเล็กๆที่ไม่มีความหมายอะไรเลย ประเทศจีนยังคงส่งจดหมายติดตามชาวอุยกูร์มายังกระทรวงต่างประเทศไทย
แม้ว่าตอนนี้สถานทูตตุรเคียในกรุงเทพออกมากล่าวว่าตุรเคียยินดีที่จะรับชาวอุยกูร์ทั้งหมดไปก็ตาม แต่จีนก็ได้ประท้วงเรื่องนี้และยังคงติดตามสถานะของผู้ถูกคุมตัวอย่างใกล้ชิด
ส่วนนาย
ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อํานวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า นายเศรษฐาจําเป็นต้องหยุดทำตัวคล้อยตามแรงกดดันของรัฐบาลจีน และควรจะสื่อสารไปยังจีนให้ชัดเจนว่า ไทยนั้นมีกฎหมายและยึดการดำเนินการตามมาตรฐานสากล ซึ่งนั่นก็คือการที่ไทยไม่สามารถส่งตัวเหล่าชาวอุยกูร์ไปให้กับจีนได้
เรียบเรียงจาก:
https://www.rfa.org/english/news/uyghur/thailand-uyghurs-03112024055040.html
ไทยสร้างไทย ซัดนายกฯ เดินทางต่างประเทศไร้ผลงาน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_688405/
ไทยสร้างไทย ซัดนายกฯ เดินทางต่างประเทศไร้ผลงานเป็นรูปธรรม ยังไม่สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย ชี้เหตุผลหลัก ไม่มีการวางโครงสร้างของประเทศรองรับการลงทุนที่ดีเพียงพอ
นาย
กิติ วงษ์กุหลาบ รักษาการเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการติดตามการทำงานพบว่า นับแต่เข้ารับตำแหน่ง จนถึงวันนี้ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศเกินกว่า 50 วัน มีการเจรจากับทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย แต่คนไทยกลับยังไม่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงแม้แต่รายเดียว
นาย
กิติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเห็นความพยายามความมุ่งมั่นทุ่มเทของนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็น 6 เดือนที่ประชาชนเฝ้ารอความสำเร็จ ทั้งในส่วนของนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ และรูปธรรมจากการ ให้ความสำคัญในการเดินทางไปเจรจากับบริษัทข้ามชาติและรัฐบาลต่างประเทศ ทั้งนี้ตนเข้าใจบทบาทของนายกรัฐมนตรี ที่เปรียบเสมือน CEO แต่ความสำเร็จที่ยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน หรือยังไม่สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายแม้จะมีการเจรจาเกิดขึ้นมากมายก็ตาม
นาย
กิติ กล่าวต่อว่า นั่นเป็นเพราะไทยยังไม่มีการวางโครงสร้างของประเทศรองรับการลงทุนในมิติต่างๆที่ดีเพียงพอ ตั้งแต่การพัฒนาระบบการศึกษาไทยที่ตกต่ำลง สะท้อนจากผลการทดสอบคะแนน PISA หรือการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการ UPskill – Reskill ให้กับแรงงานรองรับการเข้ามาของ AI ซึ่งหลักสูตรการศึกษาจำเป็นต้องสอนให้เด็กเข้าไปควบคุมการใช้ AI ไม่ใช่สอนให้เด็กไปแข่งกับ AI ขณะเดียวกันต้องพัฒนาอาชีวะ ให้มีศักยภาพทันต่อการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังเห็นว่า รัฐต้องกล้าผ่าโครงสร้างพลังงานทั้งน้ำมันและค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ ของผู้ประกอบการ เพราะหากยังต้องแบกรับ ต้นทุนที่เสียเปรียบ อาจทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ พร้อมระบุด้วยว่า ตลอดระยะเวลาบริหารประเทศกว่า 6 เดือนจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นแผนรองรับสังคมผู้สูงวัย ซึ่งทำให้ประเทศขาดกำลังซื้อ รวมถึงขาดความน่าสนใจในการสร้างแรงจูงใจเพื่อมาลงทุนในประเทศเรา จึงขอฝากให้นายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการเรื่องเหล่านี้ไปพร้อมกับการ เจรจาดึงดูดคนมาลงทุน
ผู้ผลิตแอร์โอด สินค้าจีนทะลักทุบซัพพลายเออร์เอสเอ็มอีเจ๊ง กระทบต้นทุน-ส่งมอบของช้า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4466636
ผู้ผลิตแอร์โอด สินค้าจีนทะลักทุบซัพพลายเออร์เอสเอ็มอีเจ๊ง กระทบต้นทุน-ส่งมอบของช้า
วันที่ 11 มีนาคม นาย
สมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อ”ซัยโจเด็นกิ” เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากภาวะเศรษฐกิจและมีสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องเคียง ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ด้านอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ เช่น สายไฟ ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ต้องเลิกทำธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าไม่มี เพราะหันไปซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนกันจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการส่งมอบสินค้าที่ต้องใช้เวลามากขึ้น รวมถึงต้นทุนของบริษัท เนื่องจากบริษัทต้องเพิ่มคนและทำการผลิตเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินจำนวนเงินที่ต้องลงทุนเพิ่ม และมีแนวโน้มต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าที่ซัพพลายเออร์ผลิตให้
นาย
สมศักดิ์กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีแผนลงทุน 150 ล้านบาท เพื่อเพิ่มตัวซัพพอร์ตการผลิตสินค้าใหม่ ในการอัพเกรดสินค้าให้มีคุณภาพ มีความเย็นและสามารถประหยัดไฟฟ้าได้มากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มออกวางจำหน่ายในตลาดช่วงปลายปีนี้ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม เนื่องจากกลุ่มระดับล่าง ยังมีปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้จากการที่บริษัทได้ปรับแผน เซ็ตอัพตัวเอง เพิ่มสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาด ประกอบกับสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นทั่วโลก จะทำให้ยอดขายในปี 2567 เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 1,300 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2566 ที่มียอดขายอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 10% โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท ต่างประเทศ 100 ล้านบาท ปัจจุบันซัยโจ เด็นกิ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 6-7% และเชื่อว่าใน 2-3 ปีต่อจากนี้ จะเติบโตมากยิ่งขึ้น
JJNY : สื่อสหรัฐฯอ้าง 40 ชาวอุยกูร์ถูกขังไทย│ไทยสร้างไทย ซัดนายกฯ│ผู้ผลิตแอร์โอด สินค้าจีนทะลัก│อุบัติเหตุเหมืองจีน
https://www.isranews.org/article/isranews-news/126946-isranews-HRWWtttttt.html
ส่วนฮิวแมนไรท์วอทช์เอเชียจี้ 'เศรษฐา' แสดงจุดยืนยึดหลักการสากลให้จีนรับทราบว่าส่งตัวกลับไม่ได้
โดยข้อมูลดังกล่าวนั้นถูกเปิดโปงในการสัมมนาช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งชาวอุยกูร์จำนวนดังกล่าวนั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวอุยกูร์จำนวน 500 คนที่หนีมาจากเขตปกครองตนเองซินเจียง มายังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตั้งความหวังว่าจะได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศตุรเคีย หลังจากที่เดินทางผ่านเข้าไปยังมาเลเซียได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ปรากฏว่ามีเพียงแค่ประมาณ 100 คนเท่านั้นที่สามารถผ่านระเบียบราชการและผ่านด่านของเจ้าหน้าที่ไปได้
มีรายงานจากทางการว่าระหว่างการอพยพตั้งแต่ปลายปี 2556 ถึง 2557 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทยได้จับกุมชาวอุยกูร์อย่างน้อย 475 คน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสวนยางพาราในจังหวัดสงขลา และควบคุมตัวพวกเขาในเดือนมีนาคม 2557
ทางด้านนางนางรัตติกุล จันทร์สุริยา ปรึกษาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่าชาวอุยกูร์ที่เหลือถูกกักขังในฐานะผู้อพยพผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ภายใต้ "สภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่" ในศูนย์กักกัน ไม่สามารถพูดคุยกับบุคคลภายนอกได้ และชีวิตของชาวอุยกูร์อาจตกอยู่ในอันตรายหากถูกส่งตัวกลับประเทศจีน
“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งหาประเทศที่สามที่เหมาะสมหรือจุดหมายปลายทางอื่น ๆ สําหรับผู้ถูกควบคุมตัวชาวอุยกูร์” นางรัตติกุลกล่าวและยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน เร่งดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องนี้
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดําเนินการตามระเบียบการคัดกรองคนต่างด้าวที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางได้เพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต นี่เป็นกลไกสําคัญในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขอลี้ภัย รวมถึงชาวอุยกูร์" นางรัตติกุลกล่าวต่อ
อย่างไรก็ตามทางสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียได้พยายามติดต่อไปยังกระทรวงต่างประเทศของไทยเพื่อให้แสดงความเห็นในเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
ทางด้านของนางชลิดา ตเจริญสุข ผู้อํานวยการมูลนิธิเสริมพลังประชาชน ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือชาวอุยกูร์ในประเทศไทยกล่าวว่าชาวอุยกูร์นั้นกลายเป็นคนกลุ่มเล็กๆที่ไม่มีความหมายอะไรเลย ประเทศจีนยังคงส่งจดหมายติดตามชาวอุยกูร์มายังกระทรวงต่างประเทศไทย
แม้ว่าตอนนี้สถานทูตตุรเคียในกรุงเทพออกมากล่าวว่าตุรเคียยินดีที่จะรับชาวอุยกูร์ทั้งหมดไปก็ตาม แต่จีนก็ได้ประท้วงเรื่องนี้และยังคงติดตามสถานะของผู้ถูกคุมตัวอย่างใกล้ชิด
ส่วนนายฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อํานวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่า นายเศรษฐาจําเป็นต้องหยุดทำตัวคล้อยตามแรงกดดันของรัฐบาลจีน และควรจะสื่อสารไปยังจีนให้ชัดเจนว่า ไทยนั้นมีกฎหมายและยึดการดำเนินการตามมาตรฐานสากล ซึ่งนั่นก็คือการที่ไทยไม่สามารถส่งตัวเหล่าชาวอุยกูร์ไปให้กับจีนได้
เรียบเรียงจาก:https://www.rfa.org/english/news/uyghur/thailand-uyghurs-03112024055040.html
ไทยสร้างไทย ซัดนายกฯ เดินทางต่างประเทศไร้ผลงาน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_688405/
ไทยสร้างไทย ซัดนายกฯ เดินทางต่างประเทศไร้ผลงานเป็นรูปธรรม ยังไม่สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย ชี้เหตุผลหลัก ไม่มีการวางโครงสร้างของประเทศรองรับการลงทุนที่ดีเพียงพอ
นายกิติ วงษ์กุหลาบ รักษาการเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อปฏิบัติภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการติดตามการทำงานพบว่า นับแต่เข้ารับตำแหน่ง จนถึงวันนี้ นายกรัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศเกินกว่า 50 วัน มีการเจรจากับทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย แต่คนไทยกลับยังไม่เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงแม้แต่รายเดียว
นายกิติ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนเห็นความพยายามความมุ่งมั่นทุ่มเทของนายกรัฐมนตรี แต่ก็เป็น 6 เดือนที่ประชาชนเฝ้ารอความสำเร็จ ทั้งในส่วนของนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ และรูปธรรมจากการ ให้ความสำคัญในการเดินทางไปเจรจากับบริษัทข้ามชาติและรัฐบาลต่างประเทศ ทั้งนี้ตนเข้าใจบทบาทของนายกรัฐมนตรี ที่เปรียบเสมือน CEO แต่ความสำเร็จที่ยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน หรือยังไม่สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายแม้จะมีการเจรจาเกิดขึ้นมากมายก็ตาม
นายกิติ กล่าวต่อว่า นั่นเป็นเพราะไทยยังไม่มีการวางโครงสร้างของประเทศรองรับการลงทุนในมิติต่างๆที่ดีเพียงพอ ตั้งแต่การพัฒนาระบบการศึกษาไทยที่ตกต่ำลง สะท้อนจากผลการทดสอบคะแนน PISA หรือการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการ UPskill – Reskill ให้กับแรงงานรองรับการเข้ามาของ AI ซึ่งหลักสูตรการศึกษาจำเป็นต้องสอนให้เด็กเข้าไปควบคุมการใช้ AI ไม่ใช่สอนให้เด็กไปแข่งกับ AI ขณะเดียวกันต้องพัฒนาอาชีวะ ให้มีศักยภาพทันต่อการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี
นอกจากนี้ยังเห็นว่า รัฐต้องกล้าผ่าโครงสร้างพลังงานทั้งน้ำมันและค่าไฟ ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ ของผู้ประกอบการ เพราะหากยังต้องแบกรับ ต้นทุนที่เสียเปรียบ อาจทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ พร้อมระบุด้วยว่า ตลอดระยะเวลาบริหารประเทศกว่า 6 เดือนจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นแผนรองรับสังคมผู้สูงวัย ซึ่งทำให้ประเทศขาดกำลังซื้อ รวมถึงขาดความน่าสนใจในการสร้างแรงจูงใจเพื่อมาลงทุนในประเทศเรา จึงขอฝากให้นายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการเรื่องเหล่านี้ไปพร้อมกับการ เจรจาดึงดูดคนมาลงทุน
ผู้ผลิตแอร์โอด สินค้าจีนทะลักทุบซัพพลายเออร์เอสเอ็มอีเจ๊ง กระทบต้นทุน-ส่งมอบของช้า
https://www.matichon.co.th/economy/news_4466636
ผู้ผลิตแอร์โอด สินค้าจีนทะลักทุบซัพพลายเออร์เอสเอ็มอีเจ๊ง กระทบต้นทุน-ส่งมอบของช้า
วันที่ 11 มีนาคม นายสมศักดิ์ จิตติพลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัยโจ เด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศยี่ห้อ”ซัยโจเด็นกิ” เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากภาวะเศรษฐกิจและมีสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องเคียง ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ด้านอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆ เช่น สายไฟ ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ต้องเลิกทำธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าไม่มี เพราะหันไปซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนกันจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการส่งมอบสินค้าที่ต้องใช้เวลามากขึ้น รวมถึงต้นทุนของบริษัท เนื่องจากบริษัทต้องเพิ่มคนและทำการผลิตเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินจำนวนเงินที่ต้องลงทุนเพิ่ม และมีแนวโน้มต้นทุนการผลิตจะสูงกว่าที่ซัพพลายเออร์ผลิตให้
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีแผนลงทุน 150 ล้านบาท เพื่อเพิ่มตัวซัพพอร์ตการผลิตสินค้าใหม่ ในการอัพเกรดสินค้าให้มีคุณภาพ มีความเย็นและสามารถประหยัดไฟฟ้าได้มากยิ่งขึ้น โดยจะเริ่มออกวางจำหน่ายในตลาดช่วงปลายปีนี้ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียม เนื่องจากกลุ่มระดับล่าง ยังมีปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้จากการที่บริษัทได้ปรับแผน เซ็ตอัพตัวเอง เพิ่มสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาด ประกอบกับสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นทั่วโลก จะทำให้ยอดขายในปี 2567 เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 1,300 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2566 ที่มียอดขายอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ประมาณ 10% โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท ต่างประเทศ 100 ล้านบาท ปัจจุบันซัยโจ เด็นกิ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 6-7% และเชื่อว่าใน 2-3 ปีต่อจากนี้ จะเติบโตมากยิ่งขึ้น