เราอยากเล่าระบายประสบการณ์ของเด็กคนนึงที่เป็น โรคตาขี้เกียจ ( Lazy-Eye )
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เข้ามาอ่าน โปรดช่วยกันลองสังเกตุและตรวจสอบความผิดปกติทางสายตาของเด็กๆ หากพบโรคนี้ได้ทันท่วงทีจะมีวิธีการรักษา
ก่อนที่จะสายไปแบบเรา




https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/Lazy-Eye
ลิ้งค์ข้อมูลและวิธีการรักษาของตาขี้เกียจ และสามารถหาข้อมูลได้ทางgoogleได้เลย
ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตผ่านมาได้อย่างปกติสุขจนถึงอายุ 12 ปี เมื่ออยู่มอต้นเราได้เข้าห้องไปคุยกับพี่ชายคนโต คุยไปสักพักพี่ชายได้ถามว่า
มองไปทางไหน เราจึงสังเกตุตัวเองที่กระจกจึงพบว่า สายตาข้างซ้ายของเรามันเหล่ออกข้างเดียว ทำให้ตั้งแต่นั้นมา เราจึงต้องคอยระวังไม่ให้ใครรู้
ธรรมชาติของคนเราเมื่อคุยกับใครต้องมองตากัน ผมจึงต้องพยายามเอียงหัวไปทางซ้ายนิดหน่อยเมื่อเวลาคุยกับทุกคน ฝึกมาดี 555
แต่บางทีเราก็เผลอจนเพื่อนบางคนจับได้ มีเพื่อนบางคนก็รู้แต่ก็เงียบไม่บอกใคร ชื่มชมในตัวเพื่อนคนนั้นมาก บางคนนิสัยไม่ดีชอบแกล้งก็ทักเราเลยว่าตาเหล่หรอให้คนอื่นได้ยิน แต่ตอนนั้นเป็นแค่เด็กมอต้นและเราก็พยายามปรับตัวตลอดจนเหมือนเป็นคนปกติ
สิ่งที่เราต้องคอยระวังอย่างมากต่อมาคือการถ่ายรูปนักเรียน มีการถ่ายรูปช่วงมอต้น2รอบคือ มอ1 รูปที่ได้คือ ตาเขออกไปทางซ้ายเราจึงไม่ให้ใครเห็นรูปนี้
แต่ความลับไม่มีในโลก สมุดพกจะมีรูปเราติด 555 เราจึงเอาปากกาไปแต้มตรงตาให้มันปกติแต่ก็มีคนเห็นบางคน ตอนนั้นคิดมากกลัวโดนจับได้แต่พอมาช่วงมอปลายก็ทำให้คิดได้ว่าไม่ได้มีใครสนใจในตัวเราขนาดนั้นเดี๋ยวก็ลืมเพราะเราต้องทำสายตาให้ปกติเป็นภาพจำใหม่ที่เป็นคนตาปกติ
มอ2 รูปที่ได้ดูสายตาปกติจ้าเพราะเราสามารถปรับตาให้ดูปกติได้ วิธีการคือการทำสายตาตัวเองให้ไม่ชัดให้เบลอ เหมือนเป็นการบังคับตาอีกข้างที่เข ที่เหล่ออกมาใช้งาน เมื่อตาที่เข ที่เหล่ นำปรับใช้แล้ว ทำให้ตาเขเข้าแบบคนปกติ
ข้อระวัง หากทำตาไม่ชัดมากเกินไป ตาจะเขเข้าไปทางขวาเกินจนผิดปกติอีก
ตั้งแต่นั้นมาก็ต้องระวังการถ่ายรูปนักเรียน รูปกับเพื่อนต้องเอียงหัวนิดหน่อย
สงสัยไหม?ทำไมไม่ไปรักษา เราเคยไปพบหมอแล้ว เขาบอกว่าอายุเกิน
รักษาไม่ได้ทันแล้ว โรคนี้ต้องรักษาก่อน 9 ขวบ ผมจึงไปดูวิธีการรักษามามากมายในอินเทอร์เน็ต หาข้อมูลเยอะมาก บางคนก็บอกว่ายังรักษาทัน
แต่ยากมาก ถ้ารักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ตอนอายุ12ปีหมอคงบอกไปแล้ว วิธีการคงต้องตัดแว่นที่ค่าสายตาสั้นมากๆและราคาสูงเพราะต้องใช้แว่นแบบพิเศษ รักษาโดยปิดตาข้างที่ชัดพยายามใส่แว่นใช้ตาข้างที่ไม่ชัด และก็ได้ข้อสรุปโดยไตร่ตรองอย่างดีแล้ว
สำหรับเรา คือไม่ตัดแว่นและไม่รักษาดีกว่าเพราะข้อมูลที่ได้มาตอนนั้นคือไม่มีทางรักษาได้แล้วสำหรับเราการตัดแว่นไม่มีประโยชน์ถ้ารักษาโรคนี้ไม่ได้ และยังมีตาข้างที่มองชัดอยู่มองทุกอย่างได้ชัดปกติ
เหตุผลส่วนหนึ่งคือ ฐานะที่บ้านเรียกว่าจน แม่เราก็เก่งสุดละถ้าใครรู้รายละเอียดนี่ซุปเปอร์มันได้เลย รักแม่นะจุ๊บๆ ไม่ปล่อยลูกให้อดถ้าขอเงินตัดแว่นคงคิดว่าแม่คงหาเงินส่วนนั้นมาให้ได้แหละ
แต่ไม่ดีกว่า ตอนนั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเราตาเขนะเพราะเราก็ปิดบังแม่เหมือนกัน ที่ไปหาหมอตอนนั้นน้าไปโรงพยาบาล เราเลยถือโอกาสขอไปหาหมอตาเลย ให้น้าเป็นผู้ปกครอง วันนั้นแหละที่หมอบอกว่ารักษาไม่ทันแล้ว น้าก็ไม่ได้ไปบอกแม่เพราะทุกคนก็มีเรื่องตัวเองให้คิดไม่มีใครสนใจเด็กอายุ12-13กันหรอกถ้าไม่ใช่ลูกของตัวเอง เราไม่โกรธเขานะเพราะเราก็ไม่อยากให้ใครรู้ สุดท้ายทุกคนก็ลืมๆกันไป
และช่วงเวลาก็ล่วงเลยมาเข้าเรียนมหาลัย สายตาข้างที่ไม่ชัดเขและเหล่ไปทางซ้ายหนักขึ้นมาเรื่อยๆเพราะค่าสายสั้นเพิ่มขึ้นน่าจะ2500+ ส่วนตาอีกข้างค่าสายตาก็สั้นนิดนึง ต้องตัดแว่นถึงมองกระดานเรียนชัด ตัดแว่นตามสายตาข้างปกติ และแล้วก็มีความหวังเรื่องสายตาของเราคือ
การทำเลสิกนั่นเอง ทำให้สายสั้นกลับมาเป็นชัดปกตินั่นเองและ
ความหวังก็พังทลายลงเมื่อตอนที่ศึกษาข้อมูลเรื่องการทำเลสิกได้เดือนกว่า พบว่า การทำเลสิก ไม่สามารถรักษาตาขี้เกียจได้ ถึงฝืนทำเลสิกก็คงลดค่าสายตาขี้เกียจลงมาได้ไม่พอที่จะทำให้สายตาชัดปกติอยู่ดี สุดท้ายก็วนลูปกลับมาสั้นเรื่อยๆอยู๋ดี
ปัจจุบันนี้ ก็ต้องพยายามหลี่ตาถ่ายรูป หลบตาเวลาคุย มองข้างคุยกับคนทั่วไปอยู่ดี แต่ส่วนมากต้องหลี่ตาเวลาคุยมากกว่าเพราะสายตามันเขมากแล้ว
ตาขี้เกียจ สายตาเข หรือเรียกว่าเหล่ก็ได้
คือเขเข้า กับเขออก การที่สายตาขี้เกียจเขเข้าไปทางจมูก เราคิดว่าคงปรับตัวหรือทำตัวปกติไม่ได้เลย ยากที่จะปิดบัง หากเป็นเราคงต้องยอมรับความจริงถึงแม้มีใครล้อเลียนบลูลี่ คุณจงทำตัวเองให้มีค่าลบคำดูถูกกลบปมด้อยคือการตั้งใจเรียน จบมาทำงานดีๆ
ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร สุดท้ายหากไม่เป็นดั่งหวัง ขอให้เราอย่าดูถูกตัวเองก็พอ ทำอาชีพสุจริต เป็นคนดีของสังคม โทษเวรโทษกรรมไป
และแล้ววิธีการทำให้ตัวเองดูปกติโดยไม่ต้องหลี่ตาหรือหลบตาหรือเอียงหน้าไปทางซ้ายเวลาคุย อยากให้สายตาดูเหมือนคนปกติวิธีนี้ไม่ใช่วิธีการรักษา
แต่เป็นการ
การผ่าตัดแก้ไขตาเข เป็นการผ่าตัดเล็ก เรียกว่า Muscle correction คือ การเข้าไปจัดกล้ามเนื้อตา ตั้งศูนย์กล้ามเนื้อตาใหม่ให้เป็นปกติ
โรงพยาบาลที่แนะนำคือโรงพยาบาลรามาธิบดีหมอเก่ง แต่จองคิวนานแลกกับราคาถูกกว่าเอกชน แต่ถ้าเราผ่าตัดคงไปทำที่โรงพยาบาลตา หู คอ จมูกเพราะไม่อยากรอคิวนาน ค่าใช้จ่าย 20,000-35,000 บาท ลองศึกษาด้วยตัวเองดูนะ
ปัจจุบันเรายังไม่ทำเพราะคิดว่ายังใช้ชีวิตได้ปกติอยู่ คิดวางแผนไว้ทำก่อนแต่งงาน
เคยไปอ่านเจอมาว่าผ่าตัดไปแล้ว สัก10ปีคงกลับมาเขเรื่อยๆแบบเดิม เพราะสายตาก็ยังสั้นเรื่อยๆไม่หยุด การผ่าตัดไม่ได้ราบรื่นเสมอไปโชคดีก็ดีไปหากโชคร้ายอาจให้ไปผ่าตัดซ้ำ
ไม่ขอคอนเฟิร์มบรรทัดบนและบรรทัดนี้นะ หากมีอะไรโต้แย้งหรือแนะนำบอกเรามาได้เลยนะ
สุดท้ายยย ขอเป็นเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ต้องพบเจอโรคนี้
ขอให้บทความนี้มีประโยชน์และพอเป็นแนวทางให้กับคนที่เป็นเหมือนกับเรา หากเขียนผิดตรงไหนข้าน้อยขออภัย
โตมาเราจะรู้ว่า ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเราจะเป็นยังไง ทุกคนต่างมีเรื่องของตัวเองให้คิดอยู่แล้ว
เงินทองสำคัญก็จริง แต่ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพด้วยนะทุกคน ดูแลตัวเองด้วยนะ


เรียบเรียงมา4ชม
ประสบการณ์เป็น โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye)
เผื่อเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่เข้ามาอ่าน โปรดช่วยกันลองสังเกตุและตรวจสอบความผิดปกติทางสายตาของเด็กๆ หากพบโรคนี้ได้ทันท่วงทีจะมีวิธีการรักษาก่อนที่จะสายไปแบบเรา
https://www.samitivejchinatown.com/th/health-article/Lazy-Eye
ลิ้งค์ข้อมูลและวิธีการรักษาของตาขี้เกียจ และสามารถหาข้อมูลได้ทางgoogleได้เลย
ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตผ่านมาได้อย่างปกติสุขจนถึงอายุ 12 ปี เมื่ออยู่มอต้นเราได้เข้าห้องไปคุยกับพี่ชายคนโต คุยไปสักพักพี่ชายได้ถามว่า มองไปทางไหน เราจึงสังเกตุตัวเองที่กระจกจึงพบว่า สายตาข้างซ้ายของเรามันเหล่ออกข้างเดียว ทำให้ตั้งแต่นั้นมา เราจึงต้องคอยระวังไม่ให้ใครรู้
ธรรมชาติของคนเราเมื่อคุยกับใครต้องมองตากัน ผมจึงต้องพยายามเอียงหัวไปทางซ้ายนิดหน่อยเมื่อเวลาคุยกับทุกคน ฝึกมาดี 555
แต่บางทีเราก็เผลอจนเพื่อนบางคนจับได้ มีเพื่อนบางคนก็รู้แต่ก็เงียบไม่บอกใคร ชื่มชมในตัวเพื่อนคนนั้นมาก บางคนนิสัยไม่ดีชอบแกล้งก็ทักเราเลยว่าตาเหล่หรอให้คนอื่นได้ยิน แต่ตอนนั้นเป็นแค่เด็กมอต้นและเราก็พยายามปรับตัวตลอดจนเหมือนเป็นคนปกติ
สิ่งที่เราต้องคอยระวังอย่างมากต่อมาคือการถ่ายรูปนักเรียน มีการถ่ายรูปช่วงมอต้น2รอบคือ มอ1 รูปที่ได้คือ ตาเขออกไปทางซ้ายเราจึงไม่ให้ใครเห็นรูปนี้
แต่ความลับไม่มีในโลก สมุดพกจะมีรูปเราติด 555 เราจึงเอาปากกาไปแต้มตรงตาให้มันปกติแต่ก็มีคนเห็นบางคน ตอนนั้นคิดมากกลัวโดนจับได้แต่พอมาช่วงมอปลายก็ทำให้คิดได้ว่าไม่ได้มีใครสนใจในตัวเราขนาดนั้นเดี๋ยวก็ลืมเพราะเราต้องทำสายตาให้ปกติเป็นภาพจำใหม่ที่เป็นคนตาปกติ
มอ2 รูปที่ได้ดูสายตาปกติจ้าเพราะเราสามารถปรับตาให้ดูปกติได้ วิธีการคือการทำสายตาตัวเองให้ไม่ชัดให้เบลอ เหมือนเป็นการบังคับตาอีกข้างที่เข ที่เหล่ออกมาใช้งาน เมื่อตาที่เข ที่เหล่ นำปรับใช้แล้ว ทำให้ตาเขเข้าแบบคนปกติ ข้อระวัง หากทำตาไม่ชัดมากเกินไป ตาจะเขเข้าไปทางขวาเกินจนผิดปกติอีก
ตั้งแต่นั้นมาก็ต้องระวังการถ่ายรูปนักเรียน รูปกับเพื่อนต้องเอียงหัวนิดหน่อย
สงสัยไหม?ทำไมไม่ไปรักษา เราเคยไปพบหมอแล้ว เขาบอกว่าอายุเกินรักษาไม่ได้ทันแล้ว โรคนี้ต้องรักษาก่อน 9 ขวบ ผมจึงไปดูวิธีการรักษามามากมายในอินเทอร์เน็ต หาข้อมูลเยอะมาก บางคนก็บอกว่ายังรักษาทัน แต่ยากมาก ถ้ารักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ตอนอายุ12ปีหมอคงบอกไปแล้ว วิธีการคงต้องตัดแว่นที่ค่าสายตาสั้นมากๆและราคาสูงเพราะต้องใช้แว่นแบบพิเศษ รักษาโดยปิดตาข้างที่ชัดพยายามใส่แว่นใช้ตาข้างที่ไม่ชัด และก็ได้ข้อสรุปโดยไตร่ตรองอย่างดีแล้ว สำหรับเรา คือไม่ตัดแว่นและไม่รักษาดีกว่าเพราะข้อมูลที่ได้มาตอนนั้นคือไม่มีทางรักษาได้แล้วสำหรับเราการตัดแว่นไม่มีประโยชน์ถ้ารักษาโรคนี้ไม่ได้ และยังมีตาข้างที่มองชัดอยู่มองทุกอย่างได้ชัดปกติ
เหตุผลส่วนหนึ่งคือ ฐานะที่บ้านเรียกว่าจน แม่เราก็เก่งสุดละถ้าใครรู้รายละเอียดนี่ซุปเปอร์มันได้เลย รักแม่นะจุ๊บๆ ไม่ปล่อยลูกให้อดถ้าขอเงินตัดแว่นคงคิดว่าแม่คงหาเงินส่วนนั้นมาให้ได้แหละ แต่ไม่ดีกว่า ตอนนั้นแม่ก็ไม่รู้ว่าเราตาเขนะเพราะเราก็ปิดบังแม่เหมือนกัน ที่ไปหาหมอตอนนั้นน้าไปโรงพยาบาล เราเลยถือโอกาสขอไปหาหมอตาเลย ให้น้าเป็นผู้ปกครอง วันนั้นแหละที่หมอบอกว่ารักษาไม่ทันแล้ว น้าก็ไม่ได้ไปบอกแม่เพราะทุกคนก็มีเรื่องตัวเองให้คิดไม่มีใครสนใจเด็กอายุ12-13กันหรอกถ้าไม่ใช่ลูกของตัวเอง เราไม่โกรธเขานะเพราะเราก็ไม่อยากให้ใครรู้ สุดท้ายทุกคนก็ลืมๆกันไป
และช่วงเวลาก็ล่วงเลยมาเข้าเรียนมหาลัย สายตาข้างที่ไม่ชัดเขและเหล่ไปทางซ้ายหนักขึ้นมาเรื่อยๆเพราะค่าสายสั้นเพิ่มขึ้นน่าจะ2500+ ส่วนตาอีกข้างค่าสายตาก็สั้นนิดนึง ต้องตัดแว่นถึงมองกระดานเรียนชัด ตัดแว่นตามสายตาข้างปกติ และแล้วก็มีความหวังเรื่องสายตาของเราคือการทำเลสิกนั่นเอง ทำให้สายสั้นกลับมาเป็นชัดปกตินั่นเองและความหวังก็พังทลายลงเมื่อตอนที่ศึกษาข้อมูลเรื่องการทำเลสิกได้เดือนกว่า พบว่า การทำเลสิก ไม่สามารถรักษาตาขี้เกียจได้ ถึงฝืนทำเลสิกก็คงลดค่าสายตาขี้เกียจลงมาได้ไม่พอที่จะทำให้สายตาชัดปกติอยู่ดี สุดท้ายก็วนลูปกลับมาสั้นเรื่อยๆอยู๋ดี
ปัจจุบันนี้ ก็ต้องพยายามหลี่ตาถ่ายรูป หลบตาเวลาคุย มองข้างคุยกับคนทั่วไปอยู่ดี แต่ส่วนมากต้องหลี่ตาเวลาคุยมากกว่าเพราะสายตามันเขมากแล้ว
ตาขี้เกียจ สายตาเข หรือเรียกว่าเหล่ก็ได้ คือเขเข้า กับเขออก การที่สายตาขี้เกียจเขเข้าไปทางจมูก เราคิดว่าคงปรับตัวหรือทำตัวปกติไม่ได้เลย ยากที่จะปิดบัง หากเป็นเราคงต้องยอมรับความจริงถึงแม้มีใครล้อเลียนบลูลี่ คุณจงทำตัวเองให้มีค่าลบคำดูถูกกลบปมด้อยคือการตั้งใจเรียน จบมาทำงานดีๆ
ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร สุดท้ายหากไม่เป็นดั่งหวัง ขอให้เราอย่าดูถูกตัวเองก็พอ ทำอาชีพสุจริต เป็นคนดีของสังคม โทษเวรโทษกรรมไป
และแล้ววิธีการทำให้ตัวเองดูปกติโดยไม่ต้องหลี่ตาหรือหลบตาหรือเอียงหน้าไปทางซ้ายเวลาคุย อยากให้สายตาดูเหมือนคนปกติวิธีนี้ไม่ใช่วิธีการรักษา
แต่เป็นการ การผ่าตัดแก้ไขตาเข เป็นการผ่าตัดเล็ก เรียกว่า Muscle correction คือ การเข้าไปจัดกล้ามเนื้อตา ตั้งศูนย์กล้ามเนื้อตาใหม่ให้เป็นปกติ
โรงพยาบาลที่แนะนำคือโรงพยาบาลรามาธิบดีหมอเก่ง แต่จองคิวนานแลกกับราคาถูกกว่าเอกชน แต่ถ้าเราผ่าตัดคงไปทำที่โรงพยาบาลตา หู คอ จมูกเพราะไม่อยากรอคิวนาน ค่าใช้จ่าย 20,000-35,000 บาท ลองศึกษาด้วยตัวเองดูนะ
ปัจจุบันเรายังไม่ทำเพราะคิดว่ายังใช้ชีวิตได้ปกติอยู่ คิดวางแผนไว้ทำก่อนแต่งงาน
เคยไปอ่านเจอมาว่าผ่าตัดไปแล้ว สัก10ปีคงกลับมาเขเรื่อยๆแบบเดิม เพราะสายตาก็ยังสั้นเรื่อยๆไม่หยุด การผ่าตัดไม่ได้ราบรื่นเสมอไปโชคดีก็ดีไปหากโชคร้ายอาจให้ไปผ่าตัดซ้ำ ไม่ขอคอนเฟิร์มบรรทัดบนและบรรทัดนี้นะ หากมีอะไรโต้แย้งหรือแนะนำบอกเรามาได้เลยนะ
สุดท้ายยย ขอเป็นเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ต้องพบเจอโรคนี้
ขอให้บทความนี้มีประโยชน์และพอเป็นแนวทางให้กับคนที่เป็นเหมือนกับเรา หากเขียนผิดตรงไหนข้าน้อยขออภัย
โตมาเราจะรู้ว่า ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเราจะเป็นยังไง ทุกคนต่างมีเรื่องของตัวเองให้คิดอยู่แล้ว
เงินทองสำคัญก็จริง แต่ก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพด้วยนะทุกคน ดูแลตัวเองด้วยนะ