เรื่อง : เรื่องของผมกับไอ้เด็กเขมร
โดย : ละเว้
“เขมร เขมร เขมร” มันเกิดจากความคะนอง เพราะความคะนองทำให้ผมร้องออกไปแบบนั้น แสร้งเงยหน้ามองฟ้า หากแต่หางตายังคอยชำเลือง
เธอหยุดเดินและแหงนมองมา ผมก้มมองจากหน้าต่างที่อยู่ชั้นสองของบ้าน ยักคิ้วให้แบบที่คิดว่าเท่และกวนสุด ๆ เธอด่าออกมาชัดเจนจากริมฝีปากโดยไม่ต้องออกเสียง ผมแสร้งหัวเราะออกมา
“เขมรตับดำ” คราวนี้ผมพูดพลางทำปากยื่นจ้องหน้า
“ไอ้เซียมบ้า” เธอตะโกนออกมา แลบลิ้นให้ก่อนวิ่งกระโปรงบานออกไป
.
เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่น่าจะอายุสิบสามปีเท่ากันกับผม ทุกวันเธอจะเข้ามาทำงานยังตลาดชายแดนฝั่งไทย และเส้นทางที่เธอใช้จะต้องผ่านหลังบ้านของผม จึงเป็นแทบทุกวันที่ผมจะได้เห็นเธอจากหน้าต่างบ้านตลอด ผมว่าเธอแปลกดี ตัวก็เล็กยังใส่เสื้อคับติ้วให้ดูเล็กได้อีก นุ่งกระโปรงบานที่เป็นผ้าถุงเย็บยางยืดติดไว้ตรงชายเอว หัวก็ฟูเนื้อตัวมอมแมม เด็กอะไรไม่รู้ ตลกชะมัด ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นในครั้งแรกที่ได้เห็นจริง ๆ
.
พ่อกับแม่เพิ่งพาผมมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตลาดชายแดนทางฝั่งตะวันออก ฅนต่างด้าวกับสินค้าแปลก ๆ ที่วางขายอยู่ทั่วไปคือภาพปกติที่จะเห็นได้ทุกวัน และสิ่งที่นับว่าแปลกอีกอย่างก็น่าจะรวมถึงตัวเธอด้วยเช่นกัน
จะว่าไปแล้วที่นี่ไม่ได้น่าอยู่สำหรับผมเลย แม้จะติดทะเลหากมีแต่โคลนขุ่นตมไม่มีหาดทราย สภาพพื้นที่ก็คับแคบ บ้านเรือนล้วนปลูกสร้างกันอย่างแออัด จะมีน่าสนใจบ้างก็ตรงด้านหลังประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นด่านชายแดนเข้าไป ผมรู้ว่ามันมีคาสิโน และยังอยากรู้ว่ามันมีอะไรอีก แต่ผมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ในแต่ละวันของผมจึงค่อนข้างเงียบเหงาทีเดียว นั่นเป็นเพราะผมยังไม่มีเพื่อน แถมยังเป็นช่วงปิดเรียนที่ต้องแกร่วอยู่กับบ้านอีกต่างหาก
เธอน่าจะเป็นฅนเดียวที่ผมได้ทักทาย หลังจากวันนั้นเวลาผ่านบ้านผมเธอจะคอยชำเลืองมอง ถ้าเห็นผมอยู่ก็จะหันมาแลบลิ้น ด่าออกมาคำแล้วรีบวิ่งไป ผมก็จะร้องตามหลังเธอไปทุกครั้งเช่นกัน เขมร เขมร เขมร
เราสองฅนทักทายกันในแบบของเราอย่างนี้ตลอด
.
หากแต่ไม่นานผมก็ได้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ฅนต่างด้าวเท่านั้น ผมยังได้เจอมันอีกด้วย มาลาเรีย มันทำให้ผมต้องนอนซมในโรงพยาบาลหลายวันทีเดียว แม้จะกลับบ้านได้แล้ว แต่ยังคงมีอาการใจสั่นปวดศีรษะอ่อนแรงไม่หาย
ลมทะเลพัดผ่านเข้ามา ผมยืนเกาะขอบหน้าต่างก้มมองทางเดินเบื้องล่าง จริงสิ นับแต่ออกจากโรงพยาบาลมานี่ผมยังไม่เห็นเธอเลย นั่นสินะ แต่ละวันของผมจึงดูเงียบเหงาพิกล
เธอผ่านมาในตอนสายของวันหนึ่ง
“เขมร เขมร เขมร”
ไม่ใช่ความคะนอง หากผมเหมือนร้องออกไปด้วยความดีใจมากกว่า
แต่วันนี้กลับแปลกกว่าที่เคยแปลก เธอเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่สนใจอะไร ดังว่าคำทักทายของผมกลายเป็นความว่างเปล่า ผมได้แต่ยืนงงและเก้อเขิน
ผมรีบวิ่งลงบ้านเมื่อเธอผ่านมาพร้อมความเฉยชาอีกครั้ง
“หลีกไป” เธอร้องบอกผมที่ยืนขวางทางอยู่
“ไม่หลีก มีไรป่ะ” ผมยังพอมีแรงที่จะกวนเธอได้
“ไม่เล่นนะ”
แววตาของเธอทำให้ผมต้องเปลี่ยนท่าที
“เป็นไร” ผมถาม แต่เธอกลับเดินเงียบออกไป
.
“ตัวแค่นี้จะให้มีผัวซะละ” ป้าจิตรพูดพลางมองตามหลังเธอ ขณะมือยังคงแปรงผ้าอยู่หลังบ้าน
“แต่งไวจะได้มีลูกทันใช้ไง พวกนี้เขาลูกเยอะกันอยู่แล้ว” ลุงหมายต่อคำพร้อมอธิบายพลางตักข้าวเข้าปาก
“บ้าล่ะสิ เด็กขนาดนี้ แถมผู้ชายก็อายุเยอะด้วย” ป้าจิตรแย้งคำผัว
มันทำให้ผมอดนึกถึงแววตาของเธอเมื่อสักครู่ไม่ได้กับถ้อยคำที่ได้ยินนั้น
คงได้แต่ยืนมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก้าวเดินตามเส้นทางซึ่งทอดยาวไปเบื้องหน้า.
เรื่องของผมกับไอ้เด็กเขมร
โดย : ละเว้
“เขมร เขมร เขมร” มันเกิดจากความคะนอง เพราะความคะนองทำให้ผมร้องออกไปแบบนั้น แสร้งเงยหน้ามองฟ้า หากแต่หางตายังคอยชำเลือง
เธอหยุดเดินและแหงนมองมา ผมก้มมองจากหน้าต่างที่อยู่ชั้นสองของบ้าน ยักคิ้วให้แบบที่คิดว่าเท่และกวนสุด ๆ เธอด่าออกมาชัดเจนจากริมฝีปากโดยไม่ต้องออกเสียง ผมแสร้งหัวเราะออกมา
“เขมรตับดำ” คราวนี้ผมพูดพลางทำปากยื่นจ้องหน้า
“ไอ้เซียมบ้า” เธอตะโกนออกมา แลบลิ้นให้ก่อนวิ่งกระโปรงบานออกไป
.
เธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่น่าจะอายุสิบสามปีเท่ากันกับผม ทุกวันเธอจะเข้ามาทำงานยังตลาดชายแดนฝั่งไทย และเส้นทางที่เธอใช้จะต้องผ่านหลังบ้านของผม จึงเป็นแทบทุกวันที่ผมจะได้เห็นเธอจากหน้าต่างบ้านตลอด ผมว่าเธอแปลกดี ตัวก็เล็กยังใส่เสื้อคับติ้วให้ดูเล็กได้อีก นุ่งกระโปรงบานที่เป็นผ้าถุงเย็บยางยืดติดไว้ตรงชายเอว หัวก็ฟูเนื้อตัวมอมแมม เด็กอะไรไม่รู้ ตลกชะมัด ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นในครั้งแรกที่ได้เห็นจริง ๆ
.
พ่อกับแม่เพิ่งพาผมมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตลาดชายแดนทางฝั่งตะวันออก ฅนต่างด้าวกับสินค้าแปลก ๆ ที่วางขายอยู่ทั่วไปคือภาพปกติที่จะเห็นได้ทุกวัน และสิ่งที่นับว่าแปลกอีกอย่างก็น่าจะรวมถึงตัวเธอด้วยเช่นกัน
จะว่าไปแล้วที่นี่ไม่ได้น่าอยู่สำหรับผมเลย แม้จะติดทะเลหากมีแต่โคลนขุ่นตมไม่มีหาดทราย สภาพพื้นที่ก็คับแคบ บ้านเรือนล้วนปลูกสร้างกันอย่างแออัด จะมีน่าสนใจบ้างก็ตรงด้านหลังประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นด่านชายแดนเข้าไป ผมรู้ว่ามันมีคาสิโน และยังอยากรู้ว่ามันมีอะไรอีก แต่ผมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ในแต่ละวันของผมจึงค่อนข้างเงียบเหงาทีเดียว นั่นเป็นเพราะผมยังไม่มีเพื่อน แถมยังเป็นช่วงปิดเรียนที่ต้องแกร่วอยู่กับบ้านอีกต่างหาก
เธอน่าจะเป็นฅนเดียวที่ผมได้ทักทาย หลังจากวันนั้นเวลาผ่านบ้านผมเธอจะคอยชำเลืองมอง ถ้าเห็นผมอยู่ก็จะหันมาแลบลิ้น ด่าออกมาคำแล้วรีบวิ่งไป ผมก็จะร้องตามหลังเธอไปทุกครั้งเช่นกัน เขมร เขมร เขมร
เราสองฅนทักทายกันในแบบของเราอย่างนี้ตลอด
.
หากแต่ไม่นานผมก็ได้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ฅนต่างด้าวเท่านั้น ผมยังได้เจอมันอีกด้วย มาลาเรีย มันทำให้ผมต้องนอนซมในโรงพยาบาลหลายวันทีเดียว แม้จะกลับบ้านได้แล้ว แต่ยังคงมีอาการใจสั่นปวดศีรษะอ่อนแรงไม่หาย
ลมทะเลพัดผ่านเข้ามา ผมยืนเกาะขอบหน้าต่างก้มมองทางเดินเบื้องล่าง จริงสิ นับแต่ออกจากโรงพยาบาลมานี่ผมยังไม่เห็นเธอเลย นั่นสินะ แต่ละวันของผมจึงดูเงียบเหงาพิกล
เธอผ่านมาในตอนสายของวันหนึ่ง
“เขมร เขมร เขมร”
ไม่ใช่ความคะนอง หากผมเหมือนร้องออกไปด้วยความดีใจมากกว่า
แต่วันนี้กลับแปลกกว่าที่เคยแปลก เธอเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่สนใจอะไร ดังว่าคำทักทายของผมกลายเป็นความว่างเปล่า ผมได้แต่ยืนงงและเก้อเขิน
ผมรีบวิ่งลงบ้านเมื่อเธอผ่านมาพร้อมความเฉยชาอีกครั้ง
“หลีกไป” เธอร้องบอกผมที่ยืนขวางทางอยู่
“ไม่หลีก มีไรป่ะ” ผมยังพอมีแรงที่จะกวนเธอได้
“ไม่เล่นนะ”
แววตาของเธอทำให้ผมต้องเปลี่ยนท่าที
“เป็นไร” ผมถาม แต่เธอกลับเดินเงียบออกไป
.
“ตัวแค่นี้จะให้มีผัวซะละ” ป้าจิตรพูดพลางมองตามหลังเธอ ขณะมือยังคงแปรงผ้าอยู่หลังบ้าน
“แต่งไวจะได้มีลูกทันใช้ไง พวกนี้เขาลูกเยอะกันอยู่แล้ว” ลุงหมายต่อคำพร้อมอธิบายพลางตักข้าวเข้าปาก
“บ้าล่ะสิ เด็กขนาดนี้ แถมผู้ชายก็อายุเยอะด้วย” ป้าจิตรแย้งคำผัว
มันทำให้ผมอดนึกถึงแววตาของเธอเมื่อสักครู่ไม่ได้กับถ้อยคำที่ได้ยินนั้น
คงได้แต่ยืนมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก้าวเดินตามเส้นทางซึ่งทอดยาวไปเบื้องหน้า.