“จิตคือ ธาตุรู้”

"จิตคือ ธาตุรู้"

" .. แต่ว่าจิตนั้นก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง "คือเป็นธาตุรู้ อันเรียกว่าวิญญาณธาตุคือธาตุรู้" คือรู้อะไร ๆ ได้ "แต่ว่าเพราะจิตที่ยังมิได้อบรมนั้นแม้จะเป็นธรรมชาติรู้ ก็ยังเป็นรู้ผิด รู้หลงอยู่" เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้สิ่งใดก็เป็นความรู้ที่ไม่ทะลุปรุโปร่ง "แต่เป็นความรู้ที่ติดอยู่แค่มายาของสิ่งเหล่านั้น" ยังไม่ทะลุถึงสัจจะคือความจริง ฉะนั้น "จึงมีความยึดถือติดอยู่ในมายาของสิ่งนั้น ๆ ในโลก" เมื่อสิ่งที่ยึดนั้นเป็นเพียงมายา ไม่ใช่เป็นสัจจะคือความจริง "ความรู้ที่ยึดมายานั้นจึงเป็นความรู้ผิด" เป็นความรู้หลง .. "

"การปฏิบัติอบรมจิต"
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร

เรา คือ ธาตุรู้

นี่ร่างกายเรามีธาตุ๔ ดินน้ำลมไฟ มารวมกัน ลมหายใจที่เราหายใจเข้าไปก็เป็นธาตุลม น้ำต่างๆ ที่เราดื่มเข้าไปก็เป็น..ธาตุน้ำ ของแข็งเช่นข้าวต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไปก็เป็น..ธาตุดิน แล้ว..ธาตุไฟ..ก็คือความร้อนที่เราได้จากแสงแดดนี้จากดวงอาทิตย์นี่ เมื่อมันมีปริมาณเหมาะสมมันก็ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตขึ้นมาได้ แล้วมันก็ไปถึงขีดที่มันหยุดเจริญเติบโต แล้วมันก็จะเริ่มนับถอยหลัง จากการมารวมตัวกันก็จะเริ่มแยกตัวออกจากกัน ธาตุดินมันก็อยากจะกลับไปรวมกับธาตุดิน ธาตุน้ำก็อยากจะกลับไปรวมกับธาตุน้ำ ธาตุลมธาตุไฟก็อยากจะกลับไปอยู่กับธาตุของเขา ก็เลยเกิดการเสื่อมของร่างกายขึ้นมาตามลำดับ เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย อาการพิการอาพาธต่างๆ ทางร่างกาย เพราะธาตุมันไม่สมบูรณ์ ธาตุ๔ มันไม่สมบูรณ์ ธาตุเริ่มแยกตัวออกจากกัน

แล้วในที่สุดมันก็ถึงขีดที่มันหยุดทำงาน ลมก็ไม่เข้ามาเติม เติมลมไม่ได้เติมน้ำไม่ได้เติมดินเติมไฟไม่ได้ ดังนั้นมันก็จะมีแต่แยกตัวออกจากกันถ่ายเดียว เวลาร่างกายหยุดทำงาน สิ่งแรกที่ไปก่อนก็คืออะไร..ธาตุลมไง คือธาตุลมไม่เข้ามีแต่ออก ธาตุที่๒ ที่ไปก็คือธาตุไฟ ความร้อนในร่างกายหายไป คนตายลองไปจับตัวดูสิ คนตายกับคนเป็นนี้อุณหภูมิของร่างกายไม่เท่ากัน ถ้าทิ้งไปเรื่อยๆ ต่อไปร่างกาย น้ำต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายมันก็จะไหลออกมาตามทวารต่างๆ แล้วมันก็จะเน่าเปื่อยจนต่อไปมันก็แห้งกรอบเหลือแต่ธาตุดิน

นี่คือร่างกายเป็นอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อมันมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ มันก็จะต้องแยกกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไป แต่ธาตุรู้คือใจนี้ มันไม่ได้แยกตัว มันไม่มีอะไร ธาตุรู้มันเหมือนธาตุน้ำนี่ ธาตุน้ำมันก็เป็นเหมือนน้ำ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธาตุน้ำ ธาตุลมมันก็เป็นธาตุลมของมัน ธาตุไฟมันก็เป็นธาตุไฟ พวกนี้ไม่มีวันหมด ธาตุดินก็มีอยู่อย่างนั้นของมัน ธาตุลมก็มีอยู่อย่างนั้นของมัน ธาตุไฟธาตุน้ำมันอยู่ของมันอย่างนั้น เพียงแต่ว่าเวลามันมารวมตัวกันมันเลยมาทำให้มีสิ่งแปลกๆ ขึ้นมาในโลกนี้ เห็นไหม มีต้นไม้ มีร่างกายของมนุษย์ของสัตว์เดรัจฉาน มีอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นการเกิดขึ้นจากการรวมตัวของธาตุ๔ เดี๋ยวมันต้องมีการแยกตัวออกจากกัน

นี่เป็นธรรมชาติของธาตุ ที่มันมารวมกันก็เพราะว่ามันมีปรากฏการณ์หรือมีการเคลื่อนไหว เช่น เห็นไหม น้ำธรรมดามันอยู่ในทะเล แต่พอมันโดนแสงแดดมากๆ มันก็ร้อนมันก็ระเหยขึ้นไปเป็นเมฆ พอมันเป็นเมฆมันถูกลมพัดขึ้นมาทางแผ่นดิน พอมาถึงแผ่นดินมันก็ตกลงมาเป็นน้ำ น้ำก็เลยมารวมกับดินบนแผ่นดิน แล้วก็รวมกับลมที่มีอยู่ทั่วไปกับความร้อนที่มีอยู่ทั่วไป

นี่เป็นธรรมชาติของธาตุ ที่มันมารวมกันก็เพราะว่ามันมีปรากฏการณ์หรือมีการเคลื่อนไหว เช่น เห็นไหม น้ำธรรมดามันอยู่ในทะเล แต่พอมันโดนแสงแดดมากๆ มันก็ร้อนมันก็ระเหยขึ้นไปเป็นเมฆ พอมันเป็นเมฆมันถูกลมพัดขึ้นมาทางแผ่นดิน พอมาถึงแผ่นดินมันก็ตกลงมาเป็นน้ำ น้ำก็เลยมารวมกับดินบนแผ่นดิน แล้วก็รวมกับลมที่มีอยู่ทั่วไปกับความร้อนที่มีอยู่ทั่วไป

นี่คือเรื่องของร่างกายของพวกเรานี่ เป็นเหมือนสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นเครื่องมือเป็นเครื่องใช้ไม้สอยดีๆ นี่เอง ที่ใจผู้รู้ผู้คิดต้องการ เพราะว่าใจธาตุรู้นี้มีความอยากมีความสุขจากการได้เสพรูปเสียงกลิ่นรส รูปเสียงกลิ่นรส ภาษาพระเราเรียกว่า “กามคุณ ๕” กามคุณ๕ เวลาเราพูดว่าเสพกามก็หมายถึงเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี่เอง แล้วการที่จะเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้ ก็ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไม่มีตาจะไปดูรูปได้ยังไง ถ้าไม่มีหูจะไปฟังเสียงได้ยังไง นี่ธาตุรู้ที่อยากจะเสพรูปเสียงกลิ่นรส ก็เลยต้องไปหาเครื่องมือมา ต้องไปหาตาหูจมูกลิ้นกาย

พวกที่มีตาหูจมูกลิ้นกายก็มีอยู่สองพวก พวกมนุษย์กับพวกสัตว์เดรัจฉาน พวกที่ไปได้ร่างกายของสัตว์เดรัจฉานเพราะทำบาปเอาไว้ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับร่างกายของมนุษย์ ผู้ที่ไม่มีบาปไม่มีบุญ หรือบาปกับบุญมีกำลังเท่ากันเท่านั้น ถึงจะไปรับร่างกายของมนุษย์ได้ นี่พอได้ร่างกายแล้วไม่ว่าจะเป็นร่างกายของสัตว์เดรัจฉานหรือของมนุษย์ ก็เสพรูปเสียงกลิ่นรสเหมือนกัน

สัตว์เดรัจฉานเขาก็เสพกามเหมือนมนุษย์นี่ ต่างกันที่เขาเสพต่างกับมนุษย์ คือสัตว์เดรัจฉานนี่เขาไม่มีกฎกติกา เขาไม่รู้เรื่องบุญเรื่องบาป เขาเสพตามความอยากของเขา เมื่อเขาอยากได้อะไรเขาก็เอามา จะไปทำให้ผู้อื่นเสียหายเดือดร้อนเขาก็ไม่สนใจ แต่เป็นมนุษย์นี่เป็นระดับมีความรู้ที่จะแยกแยะได้ว่า การเสพแบบทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนกับการเสพแล้วไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็มี แล้วผลก็ต่างกัน การไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนมันก็ทำให้ใจของตนเองเดือดร้อนทีหลัง ก็จะรู้จักเลือกว่าถ้าไม่อยากจะมีความวุ่นวายใจตามมา ก็อย่าไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโดยวิธีที่ไปทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น  ก็ไม่ทำบาปนั่นเอง

แต่พวกที่ไม่มีจิตสำนึกไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะได้ก็ไม่สนใจ ก็จะอยู่ในระดับแบบพวกสัตว์เดรัจฉาน ก็อยากเสพรูปเสียงกลิ่นรสตามความอยากของตน ไม่ว่าจะไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหายหรือไม่ก็ไม่สนใจ ขอให้ได้เสพตามที่ต้องการเท่านั้น เราก็เลยมีมนุษย์ ๒ พวกด้วยกัน พวกที่เสพกามโดยไม่ทำบาป กับพวกที่เสพกามด้วยการทำบาป อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละจิตแต่ละดวงที่มาเกิด

จิตสำนึกนี้ก็เกิดจากการได้เรียนรู้ในอดีตชาติมา เพราะได้มาเกิดหลายภพหลายครั้งด้วยกัน ได้พบปะกับคนที่รู้ไม่รู้ ไปพบคนที่รู้เรื่องบุญเรื่องบาป เขาก็จะสอนเรื่องบุญเรื่องบาปให้ แล้วถ้าทำตามเขามันก็ติดเป็นนิสัยเข้ามาในใจ นี่คือเรื่องของใจที่ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจเป็นธาตุรู้..ไม่สามารถแยกตัวออกจากกันได้ จึงไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันดับ เหมือนกับธาตุน้ำนี่ น้ำมันไม่สามารถแยกตัวออกจากตัวของมันเองได้ เพราะมันมีธาตุเดียว มันไม่สามารถแยกเป็นครึ่งหนึ่งได้ ครึ่งหนึ่งมันก็ยังเป็นน้ำอยู่เหมือนกัน ลมมันก็ไม่แยก มันก็เป็นลมอยู่เหมือนกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน ธาตุรู้จึงไม่มีวันตาย ธาตุทั้ง๖ นี่ที่มีอยู่ในโลกนี่มีอยู่ธาตุทั้ง๖ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ แล้วก็ธาตุรู้..คือใจ หรือดวงวิญญาณ แล้วก็มีอีกธาตุหนึ่งเรียกว่า..อวกาศธาตุ คือความว่างนี่เอง เราทำไมต้องมีความว่าง ถ้าไม่มีความว่างมันก็ไม่มีที่ตั้งให้กับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุลมนี้ต้องมีที่ตั้งที่อยู่ เหมือนกับเวลาเราสร้างบ้านขึ้นมา เราก็ต้องมีที่เก็บของ ที่เก็บของนี้ก็คืออวกาศธาตุ อวกาศธาตุก็คือที่เก็บของของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟนี่เอง แต่ธาตุรู้นี้ไม่ต้องมีอวกาศธาตุ ไม่ได้อยู่ในอวกาศธาตุ ธาตุรู้นี้ไม่เป็นเหมือนดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุรู้นี้อยู่อีกโลกหนึ่งเรียกว่า..โลกทิพย์ อันนี้คือเรื่องของเรา เราคือธาตุรู้ พูดง่ายๆ เราคือธาตุรู้ เราเป็นผู้รู้สึกนึกคิด

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่