
นายพีท หนุ่มผู้เป็นเซลล์ขายของให้กับบริษัทแห่งนึงย่านรัชดา อายุ 34 ปี รูปร่างสันทัด รักความสะอาด แทบจะเรียกได้ว่าทุกๆการจับต้องฉีดแอลกอฮล์ใส่มือของเขาตลอด ทักษะการขายของเขาดีเลิศ ทำยอดขายให้กับบริษัทไปมากมายใน 2 ปี ที่ผ่านมา และมักเป็นที่รักของคนใหญ่คนโต แต่เพื่อนร่วมงาน มักไม่ชอบขี้หน้าของพีทซะเท่าไหร่
ปีนี้เป็นปีที่โชคดีมาก เขาได้รับเงินโบนัสมากเป็นพิเศษ
“นี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนดีวะเนี่ย” นายพีทกล่าว. นายพีทตั้งใจว่าอยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆแถวๆภาคเหนือซักครั้ง และปีนี้พีทก็ได้เลือกไปเที่ยวที่จังหวัดยอดฮิต นั้นก็คือจังหวัดเชียงใหม่ แต่น่าเสียดาย เพื่อนๆของพีท ต่างหาข้ออ้างต่างๆนาๆ เพื่อปฏิเสธที่จะไปเที่ยวกับเขา
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 พีทอยากนั่งรถไฟไปต่างจังหวัดบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากการต้องนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างบนเครื่องบิน เขาพยายามหาตั๋วรถไฟแบบนอน เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั๋วที่เขาเล็งเอาไว้เต็มหมดแล้ว มีแต่ตั๋วนั่งธรรมดาในราคา 311 บาท เขาเลือกไม่ได้ จึงได้จองตั๋วไปแบบไม่เต็มใจนัก แต่เขาได้สังเกตเห็นว่า ตั๋วรถไฟ ทำไมมีตัวหนังสือคล้ายภาษาลาวหรือพม่าเขียนเอาไว้ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ด้วยความที่นายพีทขึ้นรถไฟครั้งแรก จึงคิดว่าคงเป็นตั๋วรถไฟท่องเที่ยวดีไซน์ใหม่ และไม่ได้คิดอะไร
ทริปนี้จะเป็นทริปแรกของเขา ที่ไม่ว่าจะเป็นการจองที่พัก การเช่ารถ การเดินทางต่างๆจะเป็นการด้นสดทั้งหมด เขาได้ตั๋วรถไฟพร้อมออกเดินทางในเวลาทุ่มครึ่ง น่าจะถึงจังหวัดเชียงใหม่ 8 โมงครึ่งโดยประมาณ
นายพีทได้ที่นั่ง 3B ติดริมหน้าต่างหันหน้าไปทางหัวรถไฟ และเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน ซึ่งมี ผู้หญิง 2 คน นั่งฝั่งตรงข้ามอายุประมาณ 20-25 ปี ใส่เสื้อแขนยาวสีเทา และอีกคนใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า แต่ใส่ผ้าซิ่นทั้งคู่ ซึ่งน่าจะเป็นพี่น้องกัน และผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาอายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อแขนยาวลายคล้ายทหารพรานเก่าๆดูมอมแมม
แต่สิ่งที่พีทสังเกตเห็นในตัวชายแก่คนนี้ คือสายตาที่จ้องมองเขาและเด็กสาวทั้ง 2 คน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ละสายตา
จึงทำให้พีทรู้สึกอึดอัด แต่น่าแปลก ที่เด็กสาวทั้ง 2 คน มีทีท่าร่าเริง คุยกันอย่างสนุกสนานตลอดระหว่างการเดินทางโดยที่ไม่สนใจทั้งตัวพีทและชายแก่ที่จ้องมองเลย
รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ นายพีทได้คล้อยหลับไปด้วยความเพลียจากการนั่งรถไฟเป็นระยะเวลานาน รถไฟเดินทางผ่านจังหวัดนครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก. กินระยะเวลานาน 8 ชั่วโมง. ในช่วงเวลา ตี 3 : 40 นาที ก่อนที่จะถึงตัวเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ เสียงระฆังรถไฟดังขึ้น พร้อมเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า พี่คะ ไม่ลงเหรอคะถึงแล้วนะคะ เสียงนั้นเป็นเสียงปลุกจากผู้หญิงทั้ง 2 คน ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งตัวพีทเองคิดว่าถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วจึงได้เดินตามผู้หญิงทั้ง 2 คนนั้นไปด้วย แต่ที่น่าแปลกคือชายแก่คนที่นั่งข้างเขา เดินตามมาห่างๆ ตัวของพีทเอง ตั้งใจไว้ว่า, ครั้งนี้จะเที่ยวแบบด้นสดอยู่แล้ว
การเที่ยวภาคเหนือครั้งนี้ จะต้องสนุกมากสำหรับเขาแน่ๆ เขาจึงเดินตามเด็กผู้หญิง 2 คนนั้นไป จนได้เจอรถ 2 แถว
จอดรอระหว่างทางเข้าสถานีรถไฟ แต่เท่าที่พีทจำได้ 2 แถวของจังหวัดเชียงใหม่ที่เคยเห็นในทีวีต้องเป็นสีแดงซิ แต่ 2 แถวที่นี่ทำไมถึงเป็นสีดำสนิท. ข้างรถมีชื่อหมู่บ้านอยู่ 2 ชื่อ แต่เขาอ่านไม่ออก ทั้ง 4 คนขึ้นไปบนรถ 2 แถวสีดำคันนั้น เมื่อนั่งรถไปซักระยะ พีทสังเกตเห็นไฟถนน แสดงว่าเขาใกล้ถึงตัวหมู่บ้านแล้ว แต่รถสองแถว ไปเส้นทางหุบเขาซึ่งเป็นป่าทึบ ในเวลา ตี 4:33 นาที รถได้หยุดที่หน้าเนินผาสูงซึ่งมีศาลาสีเขียวอยู่ข้างทาง โดยทั้ง 4 คนลงรถที่นั่น หลังจากจ่ายค่ารถเสร็จ เด็กผู้หญิง 2 คน เดินขึ้นหุบเขาซึ่งมีทางเดินแคบๆอยู่ ระหว่างทางมีป่าทึบและต้นไม้หนามเป็นแนวยาวตลอดทาง พีทด้วยความสงสัย จึงถามเด็กทั้งคนว่า “น้องๆอีกไกลไหมกว่าจะถึงหมู่บ้าน” เด็กทั้ง 2 ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “ใกล้ถึงปากถ้ำแล้วค่ะ” ทำให้นายพีทรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมหมู่บ้านต้องมีถ้ำด้วยเหรอ พีทหันหน้าไปถามชายแก่ที่เดินตามหลังมาว่า
“ลุงครับ หมู่บ้านอยู่อีกไกลไหมครับ?”
(ลุงหันหน้ามามอง และพูดกับพีทว่า)
“นี่ก็พึ่งมาเหรอ กูนึกว่าเป็นพวกนั้นซะอีก”
ทำให้พีทแปลกใจกว่าเดิมกับคำตอบนั้น และถามลุงกลับไปว่า
“พวกนั้น คืออะไรเหรอลุง”
“ ก็พวกผ้าซิ่นไง” ผ้าซิ่นเหรอ?
นั้นทำให้พีทกังวลและคิดไปเองว่าคนที่ลุงพูดถึง คือพวกค้ามนุษย์ตามเขตชายแดน
พีท : ไม่ๆๆๆ ผมไม่เอาแบบนี้ ไม่ไม่อยากโดนตัดแขนตัดขา
เสียงคันรั้งลูกเลื่อน
ลุง : หุบปากไอ่หนุ่ม กูไม่ใช่พวกนั้นอย่างที่คิด และไม่ใช่ตอนนี้ที่จะหนีออกไป
พีท : พอๆๆๆ รุ่งเช้า ผมจะรีบออกไปจากนี้เลย
ลุง : ฟังกู หมู่บ้านแบบนี้ ไม่มีกลางวัน หรือกลางคืน กูเคยทำมาแล้ว
พีท : เราก็ออกไปตอนนี้เลยไง ยังไม่ถึงหมู่บ้านเลยนะลุง ผมขอร้อง
ลุง : คงไม่ทัน เข้าเขตหมู่บ้านตั้งแต่เดินผ่านศาลาเขียวนั้นแล้ว เดินตามพวกนั้นไป พวกนั้นยังคิดว่าเป็นพวกมันอยู่
ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียด ถึงทำให้พีทไม่มีทางเลือก ช่วงเวลา ตี 4:57 นาที ทั้ง 4 คน ถึงหน้าถ้ำที่มีป้ายติดคำว่า ကျား หรือ จา ในภาษาพม่าแปลว่า เสือ ถ้ำมีความกว้างหน้าถ้ำ ถึง 6 เมตร มีหินงอกหินย้อยที่ปากถ้ำ ราวกับปากถ้ำนั้นเป็นฟันของเสือที่ใหญ่มากๆ เมื่อถึงหน้าถ้ำ เด็กผู้หญิงทั้ง 2 คน ยิ้มดีใจที่ได้กลับหมู่บ้าน และกวักมือให้พีทเดินตามเข้ามา
ทันใดนั้น ชายแก่ได้จับไหล่ของพีทก่อนจะพูดว่า
ลุง : ไอ่หนุ่ม ฟังกูให้ดีๆ ไม่ว่าจะเห็นอะไรในนั้น หรือมันจะประหลาดพิศดารแค่ไหน อย่าประสาทแดก สัญญากับกู และอีกอย่าง ที่สำคัญมากๆ ถึงมากที่สุด ถ้าอยู่ในนั้นแล้ว อย่าโกหกเด็ดขาด ทำได้ไหม
พีท พยักหน้าตอบรับโดยไม่พูดอะไรทั้งๆที่ตัวเขาท่วมไปด้วยเหงื่อ, ความกังวล ความสงสัย ความกลัว ความอยากรู้อยากเห็น ปนอยู่ในความรู้สึกเขาเต็มไปหมด
ทั้งคู่เดินตามผู้หญิง 2 คนนั้นไป ผ่านหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำมีลวดลายคล้ายเสือโคร่งทั่วผนังถ้ำ อุณภูมิในถ้ำเย็นยะเยือก ไม่ต่างอะไรกับการนั่งแช่น้ำตกในป่าเลย
เมื่อเดินไปซักระยะผู้หญิงทั้งสองได้หยุดที่หน้าผนังถ้ำ
พีท : นี่มันทางตันนิ..
ลุงบีบแขนพีทแน่น และพูดกับเขาว่า
“ไม่ต้องพูดเดี๋ยวเขาก็รู้ว่าไม่ใช่พวกมัน”
และภาพที่พีทได้เห็นนั้น ผู้หญิงทั้ง 2 เดินทะลุผนังถ้ำนั้นไปอย่างน่าตาเฉย
ลุง : ตั๋วรถไฟ ตั๋วห่านั้นอยู่ไหน? เอาตั๋วมา
ลุงพูดด้วยความรีบรน
พีท : นี้ครับๆ
ลุง : กูจะย้ำอีกรอบนะไอ่หนุ่ม ถ้าเห็นอะไรที่แปลกประหลาดพิศดารหลังถ้ำนี้ อย่าสติแตก เข้าใจใช่ไหม?
พีทงงวยกับสิ่งเห็น คำถามในหัวผุดขึ้นมาชั่วขณะว่า ทำไม ในนั้นมันมีอะไรกันแน่
พีท : ลุงครับ ถามจริงๆเหอะ มันคืออะไรกันแน่ ผมแค่อยากมาเที่ยว
พีทพูดด้วยน้ำเสียงที่กลัว
ลุง : ไม่ต้องกลัว ตั๋วที่ซื้อมา มันไม่ใช่ตั๋วรถไฟ แต่เป็นยันต์ผ่านเข้าประตูนี่ กูเคยทำมาแล้ว
พีท : ไม่ๆผมไม่อยากเข้าไป ถ้าลุงอยากเข้าไปก็เอาตั๋วผมไปเลย
ลุง : ไม่ฟังกูเลยใช่ไหม เข้ามาในเขตมันแล้ว อีกอย่างที่นี่ไม่มีกลางวันกลางคืน
พีท : หมายความว่าไงอ่ะลุง
ลุง : มันไม่มีเวลาไง
พีท : แล้วๆๆ จะออกจาก.
ลุง : กูรู้วิธี จะออกจากหมู่บ้านพวกนี้ ง่ายมาก แต่ตอนนี้ตามกูเข้าไปในนั้นก่อน เชื่อกู
ชายแก่และพีทเดินเข้าไปในผนังถ้ำ ความรู้สึกตอนเดินผ่าน เหมือนร่างกายเดินผ่านม่านน้ำตกเย็นๆ เมื่อพ้นถ้ำ สิ่งที่พีทเห็น มันไม่สามารถบอกเป็นคำอธิบายได้ชัดเจน
ภายใน บรรยากาศโพลเพลเป็นหมู่บ้านผู้คนซึ่งบ้านแต่ละหลัง ลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ผู้คนในนั้นใส่เสื้อผ้าย้อนยุค ใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่คนทักทาย หรือเสียงพูดคุย แค่มองหน้ากัน. มากสุด ก็แค่พยักหน้าให้กัน ทำให้พีทตั้งคำถามกับลุงว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พูดไม่ส่งเสียงเลย มันผิดธรรมชาติ พีทเริ่มตัวสั่นและรู้สึกกลัว ลุงจึงพาพีทไปหลังพุ่มไม้และเริ่มอธิบายกับพีทกับเรื่องนี้ทั้งหมด
ลุง : เมื่อ 7 ปี ก่อน กูมาเที่ยวกับครอบครัวที่อุตรดิต มีลูกสาวกู และเมียกู
บนเนินเขาลูกนี้แหละ ทุกอย่างก็ราบรื่นดี แต่มีอยู่คืนนึง ลูกสาวกูละเมอ เป็นปกติของเด็กอยู่แล้ว ลูกกูเดินออกไปนอกที่พัก กูตามลูกไปตอนนั้น ลูกกูเดินเร็วมาก
ทำให้คลาดสายตาไปช่วงนึง ไม่กี่นาทีต่อมา กูเห็นลูกอยู่หน้าทางเข้าป่ารกทึบ และมีกลุ่มคนแต่งตัวเก่าๆย้อนยุคเรียกลูกกูไป นั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่กูเห็นลูก แต่อีกสิ่งนึงคือ เมื่อกูกลับที่พักเพื่อที่จะบอกเมียกูเรื่องลูก แต่เมียกู ก็หายไปเหมือนกัน ปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ที่กูตามหาอยู่
พีทถามกลับว่า : แล้วลุงรู้เรื่องหมู่บ้านพวกนี้ได้ยังไง
ลุง : จำรถ 2 แถวสีดำนั้นได้ไหม มันจะมีชื่อหมู่บ้านคล้ายๆภาษาพม่า 2 ชื่อ กูเคยเข้าไปอีกหมู่บ้านนึงเพื่อตามหาลูกกับเมีย ติดอยู่ในนั้นไม่รู้เวลา พอออกมาได้ เวลาข้างนอกก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว กูกลับไปศึกษาทุกอย่าง ถามผู้รู้ ตามหาเบาะแสเองมาหลายปี จนรู้ว่ามันจะมีตั๋วรถไฟที่ขายเวลา 6 โมง 13 นาที ไว้อยู่ ซึ่งนั้นถือว่าเป็นความลับของสถานีรถไฟหัวลำโพง ที่แอบขายตั๋วต่างมิติแบบนี้
พีท : แล้วทำไมลุงไม่มีตั๋วละ
ลูง : กูพูดภาษาทางจิตไม่ได้ ถ้ากูพูดได้กูคงซื้อไปนานแล้ว ตอนนั้นกูเห็นเด็ก 2 คนนั้น กูเลยรู้ว่าพวกนั้นมาจากหมู่บ้านแบบนี้
พีท : แล้วลุงดูจากอะไร
ลุง : ผ้าซิ่นไง เอกลักษณ์ของคนพวกนี้คือผ้าซิ่น
เมื่อทั้งคู่คุยเสร็จ จึงหาเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากเอาไว้ มาใส่ปลอมตัวให้กลมกลืนกับคนในหมู่บ้าน
.
.
.
.
.
.
to be continue
ตอนที่ 1 ตั๋วรถไฟพิเศษ
ปีนี้เป็นปีที่โชคดีมาก เขาได้รับเงินโบนัสมากเป็นพิเศษ
“นี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนดีวะเนี่ย” นายพีทกล่าว. นายพีทตั้งใจว่าอยากจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆแถวๆภาคเหนือซักครั้ง และปีนี้พีทก็ได้เลือกไปเที่ยวที่จังหวัดยอดฮิต นั้นก็คือจังหวัดเชียงใหม่ แต่น่าเสียดาย เพื่อนๆของพีท ต่างหาข้ออ้างต่างๆนาๆ เพื่อปฏิเสธที่จะไปเที่ยวกับเขา
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2563 พีทอยากนั่งรถไฟไปต่างจังหวัดบ้าง เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากการต้องนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างบนเครื่องบิน เขาพยายามหาตั๋วรถไฟแบบนอน เพื่อความเป็นส่วนตัว แต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั๋วที่เขาเล็งเอาไว้เต็มหมดแล้ว มีแต่ตั๋วนั่งธรรมดาในราคา 311 บาท เขาเลือกไม่ได้ จึงได้จองตั๋วไปแบบไม่เต็มใจนัก แต่เขาได้สังเกตเห็นว่า ตั๋วรถไฟ ทำไมมีตัวหนังสือคล้ายภาษาลาวหรือพม่าเขียนเอาไว้ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ด้วยความที่นายพีทขึ้นรถไฟครั้งแรก จึงคิดว่าคงเป็นตั๋วรถไฟท่องเที่ยวดีไซน์ใหม่ และไม่ได้คิดอะไร
ทริปนี้จะเป็นทริปแรกของเขา ที่ไม่ว่าจะเป็นการจองที่พัก การเช่ารถ การเดินทางต่างๆจะเป็นการด้นสดทั้งหมด เขาได้ตั๋วรถไฟพร้อมออกเดินทางในเวลาทุ่มครึ่ง น่าจะถึงจังหวัดเชียงใหม่ 8 โมงครึ่งโดยประมาณ
นายพีทได้ที่นั่ง 3B ติดริมหน้าต่างหันหน้าไปทางหัวรถไฟ และเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน ซึ่งมี ผู้หญิง 2 คน นั่งฝั่งตรงข้ามอายุประมาณ 20-25 ปี ใส่เสื้อแขนยาวสีเทา และอีกคนใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า แต่ใส่ผ้าซิ่นทั้งคู่ ซึ่งน่าจะเป็นพี่น้องกัน และผู้ชายที่นั่งข้างๆเขาอายุประมาณ 60 ปี สวมเสื้อแขนยาวลายคล้ายทหารพรานเก่าๆดูมอมแมม
แต่สิ่งที่พีทสังเกตเห็นในตัวชายแก่คนนี้ คือสายตาที่จ้องมองเขาและเด็กสาวทั้ง 2 คน ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ละสายตา
จึงทำให้พีทรู้สึกอึดอัด แต่น่าแปลก ที่เด็กสาวทั้ง 2 คน มีทีท่าร่าเริง คุยกันอย่างสนุกสนานตลอดระหว่างการเดินทางโดยที่ไม่สนใจทั้งตัวพีทและชายแก่ที่จ้องมองเลย
รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ นายพีทได้คล้อยหลับไปด้วยความเพลียจากการนั่งรถไฟเป็นระยะเวลานาน รถไฟเดินทางผ่านจังหวัดนครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก. กินระยะเวลานาน 8 ชั่วโมง. ในช่วงเวลา ตี 3 : 40 นาที ก่อนที่จะถึงตัวเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ เสียงระฆังรถไฟดังขึ้น พร้อมเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า พี่คะ ไม่ลงเหรอคะถึงแล้วนะคะ เสียงนั้นเป็นเสียงปลุกจากผู้หญิงทั้ง 2 คน ที่นั่งฝั่งตรงข้าม ซึ่งตัวพีทเองคิดว่าถึงจังหวัดเชียงใหม่แล้วจึงได้เดินตามผู้หญิงทั้ง 2 คนนั้นไปด้วย แต่ที่น่าแปลกคือชายแก่คนที่นั่งข้างเขา เดินตามมาห่างๆ ตัวของพีทเอง ตั้งใจไว้ว่า, ครั้งนี้จะเที่ยวแบบด้นสดอยู่แล้ว
การเที่ยวภาคเหนือครั้งนี้ จะต้องสนุกมากสำหรับเขาแน่ๆ เขาจึงเดินตามเด็กผู้หญิง 2 คนนั้นไป จนได้เจอรถ 2 แถว
จอดรอระหว่างทางเข้าสถานีรถไฟ แต่เท่าที่พีทจำได้ 2 แถวของจังหวัดเชียงใหม่ที่เคยเห็นในทีวีต้องเป็นสีแดงซิ แต่ 2 แถวที่นี่ทำไมถึงเป็นสีดำสนิท. ข้างรถมีชื่อหมู่บ้านอยู่ 2 ชื่อ แต่เขาอ่านไม่ออก ทั้ง 4 คนขึ้นไปบนรถ 2 แถวสีดำคันนั้น เมื่อนั่งรถไปซักระยะ พีทสังเกตเห็นไฟถนน แสดงว่าเขาใกล้ถึงตัวหมู่บ้านแล้ว แต่รถสองแถว ไปเส้นทางหุบเขาซึ่งเป็นป่าทึบ ในเวลา ตี 4:33 นาที รถได้หยุดที่หน้าเนินผาสูงซึ่งมีศาลาสีเขียวอยู่ข้างทาง โดยทั้ง 4 คนลงรถที่นั่น หลังจากจ่ายค่ารถเสร็จ เด็กผู้หญิง 2 คน เดินขึ้นหุบเขาซึ่งมีทางเดินแคบๆอยู่ ระหว่างทางมีป่าทึบและต้นไม้หนามเป็นแนวยาวตลอดทาง พีทด้วยความสงสัย จึงถามเด็กทั้งคนว่า “น้องๆอีกไกลไหมกว่าจะถึงหมู่บ้าน” เด็กทั้ง 2 ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “ใกล้ถึงปากถ้ำแล้วค่ะ” ทำให้นายพีทรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมหมู่บ้านต้องมีถ้ำด้วยเหรอ พีทหันหน้าไปถามชายแก่ที่เดินตามหลังมาว่า
“ลุงครับ หมู่บ้านอยู่อีกไกลไหมครับ?”
(ลุงหันหน้ามามอง และพูดกับพีทว่า)
“นี่ก็พึ่งมาเหรอ กูนึกว่าเป็นพวกนั้นซะอีก”
ทำให้พีทแปลกใจกว่าเดิมกับคำตอบนั้น และถามลุงกลับไปว่า
“พวกนั้น คืออะไรเหรอลุง”
“ ก็พวกผ้าซิ่นไง” ผ้าซิ่นเหรอ?
นั้นทำให้พีทกังวลและคิดไปเองว่าคนที่ลุงพูดถึง คือพวกค้ามนุษย์ตามเขตชายแดน
พีท : ไม่ๆๆๆ ผมไม่เอาแบบนี้ ไม่ไม่อยากโดนตัดแขนตัดขา
เสียงคันรั้งลูกเลื่อน
ลุง : หุบปากไอ่หนุ่ม กูไม่ใช่พวกนั้นอย่างที่คิด และไม่ใช่ตอนนี้ที่จะหนีออกไป
พีท : พอๆๆๆ รุ่งเช้า ผมจะรีบออกไปจากนี้เลย
ลุง : ฟังกู หมู่บ้านแบบนี้ ไม่มีกลางวัน หรือกลางคืน กูเคยทำมาแล้ว
พีท : เราก็ออกไปตอนนี้เลยไง ยังไม่ถึงหมู่บ้านเลยนะลุง ผมขอร้อง
ลุง : คงไม่ทัน เข้าเขตหมู่บ้านตั้งแต่เดินผ่านศาลาเขียวนั้นแล้ว เดินตามพวกนั้นไป พวกนั้นยังคิดว่าเป็นพวกมันอยู่
ด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียด ถึงทำให้พีทไม่มีทางเลือก ช่วงเวลา ตี 4:57 นาที ทั้ง 4 คน ถึงหน้าถ้ำที่มีป้ายติดคำว่า ကျား หรือ จา ในภาษาพม่าแปลว่า เสือ ถ้ำมีความกว้างหน้าถ้ำ ถึง 6 เมตร มีหินงอกหินย้อยที่ปากถ้ำ ราวกับปากถ้ำนั้นเป็นฟันของเสือที่ใหญ่มากๆ เมื่อถึงหน้าถ้ำ เด็กผู้หญิงทั้ง 2 คน ยิ้มดีใจที่ได้กลับหมู่บ้าน และกวักมือให้พีทเดินตามเข้ามา
ทันใดนั้น ชายแก่ได้จับไหล่ของพีทก่อนจะพูดว่า
ลุง : ไอ่หนุ่ม ฟังกูให้ดีๆ ไม่ว่าจะเห็นอะไรในนั้น หรือมันจะประหลาดพิศดารแค่ไหน อย่าประสาทแดก สัญญากับกู และอีกอย่าง ที่สำคัญมากๆ ถึงมากที่สุด ถ้าอยู่ในนั้นแล้ว อย่าโกหกเด็ดขาด ทำได้ไหม
พีท พยักหน้าตอบรับโดยไม่พูดอะไรทั้งๆที่ตัวเขาท่วมไปด้วยเหงื่อ, ความกังวล ความสงสัย ความกลัว ความอยากรู้อยากเห็น ปนอยู่ในความรู้สึกเขาเต็มไปหมด
ทั้งคู่เดินตามผู้หญิง 2 คนนั้นไป ผ่านหินงอกหินย้อย ตามผนังถ้ำมีลวดลายคล้ายเสือโคร่งทั่วผนังถ้ำ อุณภูมิในถ้ำเย็นยะเยือก ไม่ต่างอะไรกับการนั่งแช่น้ำตกในป่าเลย
เมื่อเดินไปซักระยะผู้หญิงทั้งสองได้หยุดที่หน้าผนังถ้ำ
พีท : นี่มันทางตันนิ..
ลุงบีบแขนพีทแน่น และพูดกับเขาว่า
“ไม่ต้องพูดเดี๋ยวเขาก็รู้ว่าไม่ใช่พวกมัน”
และภาพที่พีทได้เห็นนั้น ผู้หญิงทั้ง 2 เดินทะลุผนังถ้ำนั้นไปอย่างน่าตาเฉย
ลุง : ตั๋วรถไฟ ตั๋วห่านั้นอยู่ไหน? เอาตั๋วมา
ลุงพูดด้วยความรีบรน
พีท : นี้ครับๆ
ลุง : กูจะย้ำอีกรอบนะไอ่หนุ่ม ถ้าเห็นอะไรที่แปลกประหลาดพิศดารหลังถ้ำนี้ อย่าสติแตก เข้าใจใช่ไหม?
พีทงงวยกับสิ่งเห็น คำถามในหัวผุดขึ้นมาชั่วขณะว่า ทำไม ในนั้นมันมีอะไรกันแน่
พีท : ลุงครับ ถามจริงๆเหอะ มันคืออะไรกันแน่ ผมแค่อยากมาเที่ยว
พีทพูดด้วยน้ำเสียงที่กลัว
ลุง : ไม่ต้องกลัว ตั๋วที่ซื้อมา มันไม่ใช่ตั๋วรถไฟ แต่เป็นยันต์ผ่านเข้าประตูนี่ กูเคยทำมาแล้ว
พีท : ไม่ๆผมไม่อยากเข้าไป ถ้าลุงอยากเข้าไปก็เอาตั๋วผมไปเลย
ลุง : ไม่ฟังกูเลยใช่ไหม เข้ามาในเขตมันแล้ว อีกอย่างที่นี่ไม่มีกลางวันกลางคืน
พีท : หมายความว่าไงอ่ะลุง
ลุง : มันไม่มีเวลาไง
พีท : แล้วๆๆ จะออกจาก.
ลุง : กูรู้วิธี จะออกจากหมู่บ้านพวกนี้ ง่ายมาก แต่ตอนนี้ตามกูเข้าไปในนั้นก่อน เชื่อกู
ชายแก่และพีทเดินเข้าไปในผนังถ้ำ ความรู้สึกตอนเดินผ่าน เหมือนร่างกายเดินผ่านม่านน้ำตกเย็นๆ เมื่อพ้นถ้ำ สิ่งที่พีทเห็น มันไม่สามารถบอกเป็นคำอธิบายได้ชัดเจน
ภายใน บรรยากาศโพลเพลเป็นหมู่บ้านผู้คนซึ่งบ้านแต่ละหลัง ลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย ผู้คนในนั้นใส่เสื้อผ้าย้อนยุค ใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุข บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่คนทักทาย หรือเสียงพูดคุย แค่มองหน้ากัน. มากสุด ก็แค่พยักหน้าให้กัน ทำให้พีทตั้งคำถามกับลุงว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พูดไม่ส่งเสียงเลย มันผิดธรรมชาติ พีทเริ่มตัวสั่นและรู้สึกกลัว ลุงจึงพาพีทไปหลังพุ่มไม้และเริ่มอธิบายกับพีทกับเรื่องนี้ทั้งหมด
ลุง : เมื่อ 7 ปี ก่อน กูมาเที่ยวกับครอบครัวที่อุตรดิต มีลูกสาวกู และเมียกู
บนเนินเขาลูกนี้แหละ ทุกอย่างก็ราบรื่นดี แต่มีอยู่คืนนึง ลูกสาวกูละเมอ เป็นปกติของเด็กอยู่แล้ว ลูกกูเดินออกไปนอกที่พัก กูตามลูกไปตอนนั้น ลูกกูเดินเร็วมาก
ทำให้คลาดสายตาไปช่วงนึง ไม่กี่นาทีต่อมา กูเห็นลูกอยู่หน้าทางเข้าป่ารกทึบ และมีกลุ่มคนแต่งตัวเก่าๆย้อนยุคเรียกลูกกูไป นั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่กูเห็นลูก แต่อีกสิ่งนึงคือ เมื่อกูกลับที่พักเพื่อที่จะบอกเมียกูเรื่องลูก แต่เมียกู ก็หายไปเหมือนกัน ปีนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ที่กูตามหาอยู่
พีทถามกลับว่า : แล้วลุงรู้เรื่องหมู่บ้านพวกนี้ได้ยังไง
ลุง : จำรถ 2 แถวสีดำนั้นได้ไหม มันจะมีชื่อหมู่บ้านคล้ายๆภาษาพม่า 2 ชื่อ กูเคยเข้าไปอีกหมู่บ้านนึงเพื่อตามหาลูกกับเมีย ติดอยู่ในนั้นไม่รู้เวลา พอออกมาได้ เวลาข้างนอกก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว กูกลับไปศึกษาทุกอย่าง ถามผู้รู้ ตามหาเบาะแสเองมาหลายปี จนรู้ว่ามันจะมีตั๋วรถไฟที่ขายเวลา 6 โมง 13 นาที ไว้อยู่ ซึ่งนั้นถือว่าเป็นความลับของสถานีรถไฟหัวลำโพง ที่แอบขายตั๋วต่างมิติแบบนี้
พีท : แล้วทำไมลุงไม่มีตั๋วละ
ลูง : กูพูดภาษาทางจิตไม่ได้ ถ้ากูพูดได้กูคงซื้อไปนานแล้ว ตอนนั้นกูเห็นเด็ก 2 คนนั้น กูเลยรู้ว่าพวกนั้นมาจากหมู่บ้านแบบนี้
พีท : แล้วลุงดูจากอะไร
ลุง : ผ้าซิ่นไง เอกลักษณ์ของคนพวกนี้คือผ้าซิ่น
เมื่อทั้งคู่คุยเสร็จ จึงหาเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากเอาไว้ มาใส่ปลอมตัวให้กลมกลืนกับคนในหมู่บ้าน
.
.
.
.
.
.
to be continue