เปิดผลสำรวจ พบแรงงาน 69.4% ไร้แผนมีลูก กลัวไม่มีเงิน ขาดคนช่วยเลี้ยง
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8128661
เปิดผลสำรวจ พบแรงงาน 69.4% ไร้แผนมีลูก กลัวไม่มีเงิน ขาดคนช่วยเลี้ยง ส่วนคนเคยคลอด ใช้สิทธิลาไม่ครบตามกม. ต้องรีบกลับไปทำงานหวังเงินเดือน-โอที
วันที่ 7 มี.ค.2567 มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาเนื่องใน วันสตรีสากล หัวข้อ “
ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มคุณภาพชีวิตประชากร?” พร้อมทั้งเสนอผลสำรวจ “
การขยายวันลาคลอด 180 วัน และสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด : คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม กทม.และจังหวัดโดยรอบ” จากนั้นแสดงละครสะท้อนชีวิตแรงงานกับการลาคลอดด้วย
น.ส.
ธัญมน สว่างวงศ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและธุรกิจ สำรวจความเห็นคนงานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดโดยรอบ 1,437 คน ต่อการขยายวันลาและสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด พบว่า 69.4% ยังไม่มีแผนมีลูกใน 5 ปี ข้างหน้า
โดยให้เหตุผลว่าเพราะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย กลัวเงินไม่พอค่าคลอด ค่าเลี้ยงลูก 39.1% กลัวไม่มีเวลา ขาดคนช่วยเลี้ยง 24.9% และเมื่อถามถึงการใช้สิทธิลาคลอดตามกฎหมายพบว่า แรงงาน 78.2% ใช้สิทธิลาคลอด 90-98 วัน 14.5% ลาเพียง 30-59 วัน
ทั้งนี้เหตุผลที่ลาคลอดไม่ครบวันตามที่กฎหมายกำหนด แล้วต้องรีบกลับมาทำงานเพราะต้องการมีรายได้/ต้องการโอทีเพิ่ม ตามด้วยกลัวถูกลดโบนัส ทั้งนี้เมื่อดูในส่วนสวัสดิการของรัฐพบว่า แรงงานหญิง 59.4% ไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาท แต่กว่า 96.6% ได้รับเงินจากเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม 800 บาท
ขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพหญิงหลังคลอด พบร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย 47.9% สุขภาพอ่อนแอ เจ็บแผลคลอด 29.5% เครียด ซึมเศร้าหลังคลอด 14.1% ส่วนการให้นมลูก พบว่าสถานที่ทำงานหรือสภาพการทำงานไม่เอื้ออำนวย เช่น ไม่มีห้องปั๊มนม ไม่มีตู้แช่เก็บนม ต้องทำงานไม่มีเวลาปั๊มนม 50.3% ส่งผลให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวช่วง 6 เดือนแรกมีเพียง 11.5% ส่วนใหญ่จะดื่มนมแม่กับนมผง 64.1%
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ผลสำรวจพบว่า มีปากเสียงกันบ่อยขึ้น 15% สามี/แฟนไม่ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 7.7% สามี/แฟนนอกใจ 3.4% ส่วนช่วงหลังคลอดพบว่า สามี แฟนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกบางครั้ง 40.6% ไม่ช่วยเลย 16.3% และช่วยนาน ๆ ครั้ง 14.5%
เมื่อถามถึงสวัสดิการภาครัฐพบสูงถึง 99.3% ที่เห็นว่า ควรเพิ่มสวัสดิการค่าคลอดบุตรจาก 15,000 บาทเป็น 30,000 บาท ที่สำคัญแรงงานกว่า 96.5% เห็นด้วยกับการขยายสิทธิวันลาคลอดเพิ่มจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และอีกกว่า 93.7 % เห็นด้วยกับการให้สิทธิพ่อลาได้ 30 วันเพื่อช่วยเลี้ยงดูลูก
“
การดูแลบุตรหลังคลอดตกเป็นภาระของผู้หญิง พอครบกำหนดใช้สิทธิลาคลอดตามกฎหมายต้องส่งลูกไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างหวัด หรือจ้างเลี้ยงดูซึ่งเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและส่งผลให้ความสัมพันธ์ของแม่และลูกห่างเหิน
ดังนั้นการสนับสนุนการขยายสิทธิลาคลอด 180 วัน และสวัสดิการที่เอื้ออำนวยให้แรงงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น นโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประชากรมีบุตรเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิต และค่าใช้จ่ายของแรงงาน”
น.ส.
ติมาพร เจริญสุข เลขาธิการกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า ปัจจุบันเราสามารถลาคลอดได้ 98 วัน เริ่มนับตั้งแต่วันลาเพื่อรอคลอด โดย 45 วัน จะได้เงินเดือนเต็มจากนายจ้าง ส่วนอีก 45 วันได้เงินครึ่งหนึ่งจากสำนักงานประกันสังคม ส่วนอีก 8 วันนั้นไม่ได้รับอะไรเลย ตอนแรกตนยังคิดว่าได้รับค่าจ้าง แต่กลับไม่ได้ ไม่มีใครจ่ายค่าจ้าง แถมยังถูกตัดสิทธิหลายอย่าง
เช่น ตัดเกรดไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือน ประเมินการขึ้นตำแหน่ง ตัดโบนัส เป็นต้น นอกจากนี้ ระหว่างที่ตั้งครรภ์ ต้องพบแพทย์สม่ำเสมอนั้นไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย ต้องใช้เวลาหลังเลิกงานเพื่อไปพบแพทย์ ทั้งนี้แต่ละสถานประกอบการไม่เหมือนกัน
ดังนั้นตนมองว่า ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เด็กตั้งแต่คลอด ต้องให้นมแม่จนถึงอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานและสร้างสายใยรักแม่ลูกเป็นสิ่งจำเป็น จึงอยากให้เห็นความสำคัญตรงนี้โดยมีการจ่ายเงินเดือน หรือค่าตอบแทนเต็มจำนวนทั้ง 90 วัน โดยเฉพาะในส่วนของประกันสังคมที่จ่ายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น รวมถึงอีก 8 วันที่ให้สิทธิเพิ่มมาด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อวานถือว่ามีข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งให้ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มเป็น 180 สอดคล้องกับผลสำรวจในวันนี้ และพวกเราก็ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ด้าน รศ.ดร.
ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิทธิลาคลอดที่เพิ่งได้รับนั้นถือเป็นการขยับได้ช้ามาก ไม่สอดรับกับสภาพความเปราะบาง และสภาพการทำงานของครอบครัวสมัยใหม่ ในขณะที่งานวิจัยในประเทศต่างๆ รวมถึงข้อเสนอจากภาคประชาชน และพรรคการเมืองนั้นไปไกลถึง 180 วันแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อวานสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการร่างกฎหมายสองฉบับ คือร่างฉบับกระทรวงแรงงาน หรือของพรรคภูมิใจไทย เสนอสิทธิลาคลอดที่ 98 วัน ส่วนฉบับที่พรรคก้าวไกลเสนอให้สิทธิลาคลอด 180 วัน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่างกันมาก แต่เราจำเป็นต้องพูดถึงการลาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้แม่สามารถวางแผนการทำงาน การใช้ชีวิตได้ รวมถึงการให้สิทธิคู่สมรสในการลาด้วย
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่เป็นโมเดลของการรักษาสิทธิของแม่ ของครอบครัวจะเห็นว่า 180 วันนั้นถือเป็นตัวเลขกลางๆ ค่อนไปทางต่ำด้วยซ้ำ เช่น กลุ่มประเทศรัฐสวัสดิการนั้นได้สิทธิลาคลอดได้ถึง 480 วัน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หากใช้วันลาไม่หมดยังสามารถเก็บไว้ใช้ได้จนลูกอายุ 9 ขวบ
“
ตัวเลขที่เราดูมา ตอนนี้คนเกิดน้อยมาก ใน 1 แผนกในโรงงาน มี 50 คน อาจจะมีคนท้องสัก 1-2 คน ยิ่งในออฟฟิศก็ยิ่งน้อย แล้วตัวเลขที่มีการใช้สิทธิลาคลอดของผู้ประกันตนก็มีเพียง 2% เท่านั้น เพราะฉะนั้นด้านหนึ่งไม่ได้ทำให้นายจ้างล้มละลายหรือเสียผลประโยชน์ ที่เสียประโยชน์ถือว่าน้อยมาก อย่างที่จ่ายอยู 45 วัน ก็เป็นฐานเงินเดือนที่น้อยมาก
ดังนั้นข้อเสนอให้ปรับเพิ่มสิทธิการลาคลอด 180 วันนั้นสามารถทำได้เลย เพื่อให้เด็กเติบโตดี มีโภชนาการที่ดี มีการศึกษาที่ดี เพื่อเขาจะได้ทำงานที่มีประสิทธิภาพที่ดีต่อไปในอนาคต ยิ่งคนเกิดน้อย เรายิ่งต้องดูแลเขาให้ดี” รศ.ดร.
ษัษฐรัมย์ กล่าว
"สุดารัตน์" พร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_686749/
“สุดารัตน์” พร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วน ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นาย
อุดมเดช รัตนเสถียร และคณะทำงานด้านการพัฒนาบทบาทสตรี รวมพลังจัดเสวนาเนื่องในวันสตรีสากล International Womens Day 8 มีนาคม 2567 โดยประเทศไทยจะได้ร่วมเฉลิมฉลองวันสตรีสากลครบรอบปีที่ 36 ทั้งนี้นับแต่การก่อตั้งพรรคเข้าสู่ปีที่ 3 ไทยสร้างไทยตระหนัก และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบทบาทสตรีมาโดยตลอด
คุณหญิง
สุดารัตน์ กล่าวว่า ตนพร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน รวมถึงสนับสนุน นักการเมืองหญิงให้เข้าไปมีบทบาทในสภาและในภาคของการเมือง ขณะเดียวกัน ยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุน การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้
ขณะที่ผู้เข้าร่วมเสวนา อย่าง
ชนฐิตา ไกรศรวีรกุล ผู้จัดการกลุ่มทำทาง
สุพีชา เบาทิพย์ ผู้ประสานงานกลุ่มทำทาง
พรปฏิมา วุฒิสารวัฒนา นัทธมน ธีระลีลา ตัวแทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเข้าร่วมการเสวนาเห็นตรงกันว่า แม้ในสังคม จะตระหนัก และให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างเพศ แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า โอกาสความเท่าเทียม และการเข้าถึงทรัพยากร ยังมีช่องว่างที่เป็นปัญหาโดยเฉพาะในมิติของชายและหญิง
โดยอุปสรรคที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถพัฒนาตนเองสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างอาชีพสร้างรายได้ และยังติดอยู่กับ กับดักความคิดและความเชื่อแบบเดิมที่มองว่าผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านเท่านนั้น ดังนั้นการสร้างโอกาสให้สตรีได้รับการสนับสนุน สร้างความเข้าใจจากคนในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งการก้าวผ่านความกลัวของสตรี จะเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวย่างแห่งความเท่าเทียม
คุณหญิง
สุดารัตน์ กล่าวต่อว่า พรรคไทยสร้างไทย พร้อมเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนทางการเมือง และทางสังคมที่สำคัญ เพื่อหนุนนำให้ การสร้างความเท่าเทียม เดินหน้าสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดัน “กองทุนพลังหญิง” ให้เกิดความต่อเนื่อง สร้างโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนมีงานทำ มีอาชีพที่มั่นคง โดยเฉพาะการ Upskill และ Reskill เพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ
ขณะเดียวกันจะผลักดันศูนย์ “
Wemen Care” โดยต่อยอดจากศูนย์พึ่งได้ ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ทำโครงการนี้ไว้เมื่อสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการจัดตั้ง “
กองทุนแม่เลี้ยงเดี่ยว” เพื่อให้แม่เลี้ยงเดี่ยว มีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง และลูกได้อย่างมั่นคง และที่สำคัญคือการพัฒนาสตรีให้มีบทบาทในทางการเมืองโดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนของส.สผู้หญิงในสภา ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ตระหนักรู้สิทธิและ เสรีภาพในด้านต่างๆพร้อมส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าไปมีส่วนในการบริหารทั้งการเมืองและราชการ อย่างน้อยร้อยละ 20
กมธ.ขีดเส้นชัด เริ่มนิรโทษฯ 1 ม.ค.2548 จ่อขอความเห็น สุริยะใส-ณัฐวุฒิ-มายด์-iLaw
https://www.matichon.co.th/politics/news_4460132
‘กมธ.นิรโทษกรรม’ ขีดเส้นเริ่มนับคดีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2548-ปัจจุบัน วางเกณฑ์ต้องมี ‘เหตุจูงใจทางการเมือง’ เป็นตัวตั้ง เผย สัปดาห์หน้าจ่อเชิญ ’สุริยะใส-ณัฐวุฒิ-ภัสราวลี-iLaw ‘ เข้าให้ความเห็น
เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 7 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม กล่าวภายหลังการประชุม กมธ. ว่า การประชุม กมธ. วันนี้ มีมติว่า ในสัปดาห์หน้า จะมีการเชิญบุคคลที่ส่วนใหญ่มีบทบาทสำคัญ ในเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งเราจะจำเป็นต้องทราบว่า เขามีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น มีการกระทำอะไร และคดีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
โดยในการประชุมวันที่ 14 มีนาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเชิญบุคคลดังต่อไปนี้ 1.นาย
ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นาย
ถาวร เสนเนียม อดีตผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.), น.ส.
ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชน, นาย
สุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย,
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, กลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
JJNY : 5in1 แรงงาน69.4% ไร้แผนมีลูก│"สุดารัตน์"พร้อมสนับสนุนสตรี│กมธ.ขีดเส้นชัด│เงินบาทแกว่งแคบ│ร่วมคว่ำบาตรแบรนด์ตต.
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8128661
เปิดผลสำรวจ พบแรงงาน 69.4% ไร้แผนมีลูก กลัวไม่มีเงิน ขาดคนช่วยเลี้ยง ส่วนคนเคยคลอด ใช้สิทธิลาไม่ครบตามกม. ต้องรีบกลับไปทำงานหวังเงินเดือน-โอที
วันที่ 7 มี.ค.2567 มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาเนื่องใน วันสตรีสากล หัวข้อ “ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มคุณภาพชีวิตประชากร?” พร้อมทั้งเสนอผลสำรวจ “การขยายวันลาคลอด 180 วัน และสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด : คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม กทม.และจังหวัดโดยรอบ” จากนั้นแสดงละครสะท้อนชีวิตแรงงานกับการลาคลอดด้วย
น.ส.ธัญมน สว่างวงศ์ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาสังคมและธุรกิจ สำรวจความเห็นคนงานโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดโดยรอบ 1,437 คน ต่อการขยายวันลาและสิทธิการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแรกเกิด พบว่า 69.4% ยังไม่มีแผนมีลูกใน 5 ปี ข้างหน้า
โดยให้เหตุผลว่าเพราะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย กลัวเงินไม่พอค่าคลอด ค่าเลี้ยงลูก 39.1% กลัวไม่มีเวลา ขาดคนช่วยเลี้ยง 24.9% และเมื่อถามถึงการใช้สิทธิลาคลอดตามกฎหมายพบว่า แรงงาน 78.2% ใช้สิทธิลาคลอด 90-98 วัน 14.5% ลาเพียง 30-59 วัน
ทั้งนี้เหตุผลที่ลาคลอดไม่ครบวันตามที่กฎหมายกำหนด แล้วต้องรีบกลับมาทำงานเพราะต้องการมีรายได้/ต้องการโอทีเพิ่ม ตามด้วยกลัวถูกลดโบนัส ทั้งนี้เมื่อดูในส่วนสวัสดิการของรัฐพบว่า แรงงานหญิง 59.4% ไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาท แต่กว่า 96.6% ได้รับเงินจากเงินสงเคราะห์บุตรจากประกันสังคม 800 บาท
ขณะที่ปัญหาด้านสุขภาพหญิงหลังคลอด พบร่างกายอ่อนเพลีย พักผ่อนน้อย 47.9% สุขภาพอ่อนแอ เจ็บแผลคลอด 29.5% เครียด ซึมเศร้าหลังคลอด 14.1% ส่วนการให้นมลูก พบว่าสถานที่ทำงานหรือสภาพการทำงานไม่เอื้ออำนวย เช่น ไม่มีห้องปั๊มนม ไม่มีตู้แช่เก็บนม ต้องทำงานไม่มีเวลาปั๊มนม 50.3% ส่งผลให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวช่วง 6 เดือนแรกมีเพียง 11.5% ส่วนใหญ่จะดื่มนมแม่กับนมผง 64.1%
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ผลสำรวจพบว่า มีปากเสียงกันบ่อยขึ้น 15% สามี/แฟนไม่ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 7.7% สามี/แฟนนอกใจ 3.4% ส่วนช่วงหลังคลอดพบว่า สามี แฟนมีส่วนร่วมในการเลี้ยงลูกบางครั้ง 40.6% ไม่ช่วยเลย 16.3% และช่วยนาน ๆ ครั้ง 14.5%
เมื่อถามถึงสวัสดิการภาครัฐพบสูงถึง 99.3% ที่เห็นว่า ควรเพิ่มสวัสดิการค่าคลอดบุตรจาก 15,000 บาทเป็น 30,000 บาท ที่สำคัญแรงงานกว่า 96.5% เห็นด้วยกับการขยายสิทธิวันลาคลอดเพิ่มจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และอีกกว่า 93.7 % เห็นด้วยกับการให้สิทธิพ่อลาได้ 30 วันเพื่อช่วยเลี้ยงดูลูก
“การดูแลบุตรหลังคลอดตกเป็นภาระของผู้หญิง พอครบกำหนดใช้สิทธิลาคลอดตามกฎหมายต้องส่งลูกไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างหวัด หรือจ้างเลี้ยงดูซึ่งเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและส่งผลให้ความสัมพันธ์ของแม่และลูกห่างเหิน
ดังนั้นการสนับสนุนการขยายสิทธิลาคลอด 180 วัน และสวัสดิการที่เอื้ออำนวยให้แรงงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น นโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประชากรมีบุตรเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิต และค่าใช้จ่ายของแรงงาน”
น.ส.ติมาพร เจริญสุข เลขาธิการกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า ปัจจุบันเราสามารถลาคลอดได้ 98 วัน เริ่มนับตั้งแต่วันลาเพื่อรอคลอด โดย 45 วัน จะได้เงินเดือนเต็มจากนายจ้าง ส่วนอีก 45 วันได้เงินครึ่งหนึ่งจากสำนักงานประกันสังคม ส่วนอีก 8 วันนั้นไม่ได้รับอะไรเลย ตอนแรกตนยังคิดว่าได้รับค่าจ้าง แต่กลับไม่ได้ ไม่มีใครจ่ายค่าจ้าง แถมยังถูกตัดสิทธิหลายอย่าง
เช่น ตัดเกรดไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือน ประเมินการขึ้นตำแหน่ง ตัดโบนัส เป็นต้น นอกจากนี้ ระหว่างที่ตั้งครรภ์ ต้องพบแพทย์สม่ำเสมอนั้นไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย ต้องใช้เวลาหลังเลิกงานเพื่อไปพบแพทย์ ทั้งนี้แต่ละสถานประกอบการไม่เหมือนกัน
ดังนั้นตนมองว่า ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เด็กตั้งแต่คลอด ต้องให้นมแม่จนถึงอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานและสร้างสายใยรักแม่ลูกเป็นสิ่งจำเป็น จึงอยากให้เห็นความสำคัญตรงนี้โดยมีการจ่ายเงินเดือน หรือค่าตอบแทนเต็มจำนวนทั้ง 90 วัน โดยเฉพาะในส่วนของประกันสังคมที่จ่ายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น รวมถึงอีก 8 วันที่ให้สิทธิเพิ่มมาด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อวานถือว่ามีข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล ซึ่งมีสาระสำคัญส่วนหนึ่งให้ขยายสิทธิลาคลอดเพิ่มเป็น 180 สอดคล้องกับผลสำรวจในวันนี้ และพวกเราก็ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ด้าน รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิทธิลาคลอดที่เพิ่งได้รับนั้นถือเป็นการขยับได้ช้ามาก ไม่สอดรับกับสภาพความเปราะบาง และสภาพการทำงานของครอบครัวสมัยใหม่ ในขณะที่งานวิจัยในประเทศต่างๆ รวมถึงข้อเสนอจากภาคประชาชน และพรรคการเมืองนั้นไปไกลถึง 180 วันแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อวานสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการร่างกฎหมายสองฉบับ คือร่างฉบับกระทรวงแรงงาน หรือของพรรคภูมิใจไทย เสนอสิทธิลาคลอดที่ 98 วัน ส่วนฉบับที่พรรคก้าวไกลเสนอให้สิทธิลาคลอด 180 วัน ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่างกันมาก แต่เราจำเป็นต้องพูดถึงการลาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้แม่สามารถวางแผนการทำงาน การใช้ชีวิตได้ รวมถึงการให้สิทธิคู่สมรสในการลาด้วย
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่เป็นโมเดลของการรักษาสิทธิของแม่ ของครอบครัวจะเห็นว่า 180 วันนั้นถือเป็นตัวเลขกลางๆ ค่อนไปทางต่ำด้วยซ้ำ เช่น กลุ่มประเทศรัฐสวัสดิการนั้นได้สิทธิลาคลอดได้ถึง 480 วัน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หากใช้วันลาไม่หมดยังสามารถเก็บไว้ใช้ได้จนลูกอายุ 9 ขวบ
“ตัวเลขที่เราดูมา ตอนนี้คนเกิดน้อยมาก ใน 1 แผนกในโรงงาน มี 50 คน อาจจะมีคนท้องสัก 1-2 คน ยิ่งในออฟฟิศก็ยิ่งน้อย แล้วตัวเลขที่มีการใช้สิทธิลาคลอดของผู้ประกันตนก็มีเพียง 2% เท่านั้น เพราะฉะนั้นด้านหนึ่งไม่ได้ทำให้นายจ้างล้มละลายหรือเสียผลประโยชน์ ที่เสียประโยชน์ถือว่าน้อยมาก อย่างที่จ่ายอยู 45 วัน ก็เป็นฐานเงินเดือนที่น้อยมาก
ดังนั้นข้อเสนอให้ปรับเพิ่มสิทธิการลาคลอด 180 วันนั้นสามารถทำได้เลย เพื่อให้เด็กเติบโตดี มีโภชนาการที่ดี มีการศึกษาที่ดี เพื่อเขาจะได้ทำงานที่มีประสิทธิภาพที่ดีต่อไปในอนาคต ยิ่งคนเกิดน้อย เรายิ่งต้องดูแลเขาให้ดี” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าว
"สุดารัตน์" พร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_686749/
“สุดารัตน์” พร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วน ขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายอุดมเดช รัตนเสถียร และคณะทำงานด้านการพัฒนาบทบาทสตรี รวมพลังจัดเสวนาเนื่องในวันสตรีสากล International Womens Day 8 มีนาคม 2567 โดยประเทศไทยจะได้ร่วมเฉลิมฉลองวันสตรีสากลครบรอบปีที่ 36 ทั้งนี้นับแต่การก่อตั้งพรรคเข้าสู่ปีที่ 3 ไทยสร้างไทยตระหนัก และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบทบาทสตรีมาโดยตลอด
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ตนพร้อมสนับสนุนบทบาทสตรีทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน รวมถึงสนับสนุน นักการเมืองหญิงให้เข้าไปมีบทบาทในสภาและในภาคของการเมือง ขณะเดียวกัน ยังมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุน การปฏิบัติที่เท่าเทียมกันระหว่างเพศ ซึ่งพรรคไทยสร้างไทยได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้
ขณะที่ผู้เข้าร่วมเสวนา อย่าง ชนฐิตา ไกรศรวีรกุล ผู้จัดการกลุ่มทำทาง สุพีชา เบาทิพย์ ผู้ประสานงานกลุ่มทำทาง พรปฏิมา วุฒิสารวัฒนา นัทธมน ธีระลีลา ตัวแทนสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเข้าร่วมการเสวนาเห็นตรงกันว่า แม้ในสังคม จะตระหนัก และให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างเพศ แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่า โอกาสความเท่าเทียม และการเข้าถึงทรัพยากร ยังมีช่องว่างที่เป็นปัญหาโดยเฉพาะในมิติของชายและหญิง
โดยอุปสรรคที่ทำให้ผู้หญิงไม่สามารถพัฒนาตนเองสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างอาชีพสร้างรายได้ และยังติดอยู่กับ กับดักความคิดและความเชื่อแบบเดิมที่มองว่าผู้หญิงต้องเป็นแม่บ้านเท่านนั้น ดังนั้นการสร้างโอกาสให้สตรีได้รับการสนับสนุน สร้างความเข้าใจจากคนในครอบครัวและชุมชน รวมทั้งการก้าวผ่านความกลัวของสตรี จะเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวย่างแห่งความเท่าเทียม
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า พรรคไทยสร้างไทย พร้อมเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนทางการเมือง และทางสังคมที่สำคัญ เพื่อหนุนนำให้ การสร้างความเท่าเทียม เดินหน้าสู่เป้าหมายได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดัน “กองทุนพลังหญิง” ให้เกิดความต่อเนื่อง สร้างโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนมีงานทำ มีอาชีพที่มั่นคง โดยเฉพาะการ Upskill และ Reskill เพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ
ขณะเดียวกันจะผลักดันศูนย์ “Wemen Care” โดยต่อยอดจากศูนย์พึ่งได้ ที่คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ทำโครงการนี้ไว้เมื่อสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงการจัดตั้ง “กองทุนแม่เลี้ยงเดี่ยว” เพื่อให้แม่เลี้ยงเดี่ยว มีอาชีพ มีรายได้เลี้ยงดูตนเอง และลูกได้อย่างมั่นคง และที่สำคัญคือการพัฒนาสตรีให้มีบทบาทในทางการเมืองโดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนของส.สผู้หญิงในสภา ควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ตระหนักรู้สิทธิและ เสรีภาพในด้านต่างๆพร้อมส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าไปมีส่วนในการบริหารทั้งการเมืองและราชการ อย่างน้อยร้อยละ 20
กมธ.ขีดเส้นชัด เริ่มนิรโทษฯ 1 ม.ค.2548 จ่อขอความเห็น สุริยะใส-ณัฐวุฒิ-มายด์-iLaw
https://www.matichon.co.th/politics/news_4460132
‘กมธ.นิรโทษกรรม’ ขีดเส้นเริ่มนับคดีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2548-ปัจจุบัน วางเกณฑ์ต้องมี ‘เหตุจูงใจทางการเมือง’ เป็นตัวตั้ง เผย สัปดาห์หน้าจ่อเชิญ ’สุริยะใส-ณัฐวุฒิ-ภัสราวลี-iLaw ‘ เข้าให้ความเห็น
เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 7 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม กล่าวภายหลังการประชุม กมธ. ว่า การประชุม กมธ. วันนี้ มีมติว่า ในสัปดาห์หน้า จะมีการเชิญบุคคลที่ส่วนใหญ่มีบทบาทสำคัญ ในเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งเราจะจำเป็นต้องทราบว่า เขามีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น มีการกระทำอะไร และคดีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
โดยในการประชุมวันที่ 14 มีนาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเชิญบุคคลดังต่อไปนี้ 1.นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นายถาวร เสนเนียม อดีตผู้ชุมนุมคณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.), น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชน, นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, กลุ่มโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)