ดูเหมือนว่าภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่จาก Sony ที่ใช้ชื่อเรียกรวมๆ กันว่า Sony's Spider-Man Universe (SSU) หรือ Sony Universe Of Marvel Characters (SUMC) ก็ตามถนัด จะถูกเพิ่งเล็งเป็นพิเศษ หลังจากที่ Morbius (2021) ได้ทิ้งมรดกเอาไว้ค่อนข้างบอบช้ำ ส่วน Venom ทั้งสองภาคก็ยังดูลูกผีลูกคน ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้เทียบเท่ากับ Spiderman ทั้งสองเวอร์ชั่นในอดีตที่อยู่ภายใต้ชายคาของ Sony

การมาของ Madame Web จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยพลังของซุปเปอร์ฮีโร่สาวที่สามารถมองเห็นอนาคตและถึงขึ้นสามารถเข้าไปควบคุม แก้ไขมัลติเวิร์สของเหล่าสไปเดอร์แมนได้อีกด้วย ตรงนี้จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าเราจะได้เห็นการเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็ในเครือที่เป็น “แมงมุม” ที่น่าตื่นตา คล้ายๆ กับที่เราได้เห็นการปรากฏตัวของสไปเดอร์แมนทั้ง 3 เวอร์ชั่น ใน Spider-Man: No Way Home (2021) มาแล้ว

แต่ก็ไม่รู้ว่าตกลงกันอิท่าไหน เมื่อมีข่าวหลุดออกมาว่า Madame Web ที่กำลังเข้าฉายอยู่นั้น ได้มีการถ่ายซ่อมเพื่อตัดฉากที่เป็นความเชื่อมโยงกับตัวจักรวาลอื่นๆ ออกไปจนหมด เพื่อให้ Madame Web กลายเป็นภาพยนตร์เดี่ยวที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น แม้จะน่าเสียดายแต่ก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องที่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายๆ กับที่ The Batman (2022) เคยทำไว้

ผลที่ได้ คือ Madame Web ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอะไรก็ตามที่มีอยู่ได้เลย ด้วยความที่เรื่องราวของแคสซานดรา เว็บบ์ (Cassandra Webb) มีช่วงเวลาอยู่ในราวปี ค.ศ. 2000 ผู้กำกับหญิง เอส.เจ. คลาร์กสัน (S.J. Clarkson) จึงจัดแจงให้โทนของภาพยนตร์มีความเป็นภาพยนตร์ในยุคนั้นด้วย โดยการย้อมภาพให้ดูเหลืองๆ เก่าๆ ทึมๆ บวกกับความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตของแคสซานดราก็ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษอะไรมากนัก อาศัยเพียงแค่เทคนิคการตัดต่อและลำดับภาพก็เพียงพอแล้วที่จะนำเสนอพลังนี้ออกมา

แต่กลายเป็นว่าการทำแบบนี้ดันไปทับรอยกับภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง Final Destination และหนำซ้ำยังออกฉายในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาในเรื่องซะอีก แม้ว่าการทำซ้ำแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าคุณสามารถสร้างความโดดเด่นให้ตัวภาพยนตร์ได้ดีมากพอ แต่ในยุคที่เรามีเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่เหาะเหินเดินอากาศ เดินทางข้ามจักรวาล หรือทะลุมิติเวลาได้ แล้วเทียบกับการหยั่งรู้อนาคตที่ใช้เทคนิคของภาพยนตร์ยุคต้น 2000 ก็เรียกได้ว่า Madame Web นั้น “ธรรมดา” จนน่าใจหาย

และความธรรมดาที่ว่ายังติดมายังการเล่าเรื่องอีกด้วย ซึ่งควรจะใช้คำว่า “จืดชืด” น่าจะเหมาะสมกว่า เนื้อเรื่องของ Madame Web ไม่ได้มีอะไรพาคนดูไปไกลกว่าเกมแมววิ่งไล่จับหนู ระหว่างแคสซานดราและลูกหาบอีก 3 คน กับตัวร้ายในชุดแมงมุมสีดำอย่าง Ezekiel Sims (รับบทโดย Tahar Rahim) ที่ดูแสนจะกระท่อนกระแท่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อถูกนำมาแตกเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ตลอดทั้งเรื่องโดยไม่มีความสร้างสรรค์ จึงทำให้เกิดเป็นฉากที่ดูสิ้นเปลืองเวลาเกิดขึ้นหลายฉาก เลยไม่แปลกถ้าความเข้นข้นของการเล่าเรื่องจะจืดชืดอย่างที่กล่าวไป

แม้ตัวเรื่องจะพยายามเดินตามสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่(ภาคกำเนิด)ในยุคนี้ ไล่ตั้งแต่การทำความรู้จักหน้าที่การงานของตัวละคร การประสบเหตุการณ์ที่ทำให้พลังที่หลับไหลตื่นขึ้นมา เรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจพลังนั้นไปพร้อมๆ กับพยายามสืบหาประวัติและต้นต่อ ถูกตัวร้ายตามล่าหรือไม่ก็มีผู้นำทางเข้าสู่การเป็นฮีโร่ ต้องเดินทางตามหาแก่นแท้ของการเป็นฮีโร่ และจบลงด้วยการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้กับตัวละคร แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าทุกอย่างมันไม่ได้ถูกขัดเกลาและวางเนื้อเรื่องมาได้ดีพอ Madame Web จึงมีแต่การเล่าเรื่องทื่อๆ เพื่อนำเสนอให้ครบประเด็นไปอย่างนั้นเอง (อุตส่าห์ไม่ต้องไปผูกเรื่องกับจักรวาลหลักแล้วแท้ๆ)

นอกจากนั้นยังมีความไม่สมเหตุสมผลและรายละเอียดเล็กน้อยที่น่าขัดใจอีกหลายอย่าง ทั้งตัวของแคสซานดราที่ขโมยรถแท็กซี่มาขับตระเวนไปทั่วโดยไม่ถูกตำรวจจับ? (หรือตำรวจในยุคต้น 2000 จะไม่เข้มงวด) การทิ้งเด็กสาวไว้ในป่าตามลำพังเพื่อกลับมาอ่านบันทึกที่ห้อง? แรงจูงใจของตัวร้ายกับแผนการสุดบ้องตื้น? ยังไม่รวมความขัดตาเรื่องการใช้นักแสดงอายุ 20 ปีบวกๆ มาเล่นเป็นเด็กมัธยมที่การกระทำน่าปวดหัวอีก (เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้)

ข้อดีเดียว คือ การที่สามารถดึงเอาเสน่ห์ของนักแสดงสาวผู้รับบทแคสซานดรา เว็บบ์ อย่างดาโกตา จอห์นสัน (Dakota Johnson) ออกมาได้ดี คาแรคเตอร์ของหญิงสาววัยสามสิบที่มาพร้อมกับทรงผมหน้าม้าเข้ากับรูปหน้าและดวงตาอันชวนหลง ในชุดหนังสีแดงเลือดหมูและกางเกงยีนส์สมัยนิยม เป็นตัวละครที่ทั้งสวยและดูเท่ห์ไปในคราวเดียวกัน แต่ละครั้งที่กล้องจับที่ใบหน้าอันเย้ายวนของดาโกตามันก็ช่วยให้เกิดความชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หรือบางคนจะชอบซิดนีย์ สวีนีย์ (Sydney Sweeney) ในลุคสาวเนิร์ดสุดเรียบร้อยก็ไม่ว่ากัน ในขณะที่ อิสเบลา เมอร์เซด (Isabela Merced) และ เซเลสเต โอคอนเนอร์ (Celeste O’Connor) ก็มีสไตล์ของตัวเอง แต่ทั้งสามคนไม่มีบทบาทมากนักในภาคนี้

สรุป Madame Web อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่จนทนดูไม่ได้ แต่ในขณะที่เรามีภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่น่าตื่นตามากมาย การกลับไปเล่าแบบ Old School ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่เสี่ยงไม่น้อย และยิ่งขาดความสร้างสรรค์ในการนำเสนอ มันจึงเกิดเป็นความเชยเหมือนกับที่ตัวละครในเรื่องบอกว่าการแปะมือของแคสซานดราเชยนั่นแหละ (และขอเลยถ้ามีภาคต่อก็ช่วยออกแบบแว่นให้แคสซานดราใหม่ด้วย อย่าเอาแว่นอ๊อกเหล็กมาใส่เลยได้โปรด เสียดายหน้าสวยๆ ของดาโกตา)
Story Decoder
[รีวิว] Madame Web - หนังฮีโร่ในกลิ่นอายยุคต้น 2000 ที่แห้งแล้งในความสร้างสรรค์ไปเกือบทุกอย่าง
ดูเหมือนว่าภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่จาก Sony ที่ใช้ชื่อเรียกรวมๆ กันว่า Sony's Spider-Man Universe (SSU) หรือ Sony Universe Of Marvel Characters (SUMC) ก็ตามถนัด จะถูกเพิ่งเล็งเป็นพิเศษ หลังจากที่ Morbius (2021) ได้ทิ้งมรดกเอาไว้ค่อนข้างบอบช้ำ ส่วน Venom ทั้งสองภาคก็ยังดูลูกผีลูกคน ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้เทียบเท่ากับ Spiderman ทั้งสองเวอร์ชั่นในอดีตที่อยู่ภายใต้ชายคาของ Sony
การมาของ Madame Web จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยพลังของซุปเปอร์ฮีโร่สาวที่สามารถมองเห็นอนาคตและถึงขึ้นสามารถเข้าไปควบคุม แก้ไขมัลติเวิร์สของเหล่าสไปเดอร์แมนได้อีกด้วย ตรงนี้จึงเป็นที่คาดการณ์ว่าเราจะได้เห็นการเชื่อมโยงกับภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องต่างๆ อย่างน้อยๆ ก็ในเครือที่เป็น “แมงมุม” ที่น่าตื่นตา คล้ายๆ กับที่เราได้เห็นการปรากฏตัวของสไปเดอร์แมนทั้ง 3 เวอร์ชั่น ใน Spider-Man: No Way Home (2021) มาแล้ว
แต่ก็ไม่รู้ว่าตกลงกันอิท่าไหน เมื่อมีข่าวหลุดออกมาว่า Madame Web ที่กำลังเข้าฉายอยู่นั้น ได้มีการถ่ายซ่อมเพื่อตัดฉากที่เป็นความเชื่อมโยงกับตัวจักรวาลอื่นๆ ออกไปจนหมด เพื่อให้ Madame Web กลายเป็นภาพยนตร์เดี่ยวที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น แม้จะน่าเสียดายแต่ก็อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราได้สัมผัสกับการเล่าเรื่องที่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายๆ กับที่ The Batman (2022) เคยทำไว้
ผลที่ได้ คือ Madame Web ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอะไรก็ตามที่มีอยู่ได้เลย ด้วยความที่เรื่องราวของแคสซานดรา เว็บบ์ (Cassandra Webb) มีช่วงเวลาอยู่ในราวปี ค.ศ. 2000 ผู้กำกับหญิง เอส.เจ. คลาร์กสัน (S.J. Clarkson) จึงจัดแจงให้โทนของภาพยนตร์มีความเป็นภาพยนตร์ในยุคนั้นด้วย โดยการย้อมภาพให้ดูเหลืองๆ เก่าๆ ทึมๆ บวกกับความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตของแคสซานดราก็ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษอะไรมากนัก อาศัยเพียงแค่เทคนิคการตัดต่อและลำดับภาพก็เพียงพอแล้วที่จะนำเสนอพลังนี้ออกมา
แต่กลายเป็นว่าการทำแบบนี้ดันไปทับรอยกับภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง Final Destination และหนำซ้ำยังออกฉายในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาในเรื่องซะอีก แม้ว่าการทำซ้ำแบบนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าคุณสามารถสร้างความโดดเด่นให้ตัวภาพยนตร์ได้ดีมากพอ แต่ในยุคที่เรามีเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่เหาะเหินเดินอากาศ เดินทางข้ามจักรวาล หรือทะลุมิติเวลาได้ แล้วเทียบกับการหยั่งรู้อนาคตที่ใช้เทคนิคของภาพยนตร์ยุคต้น 2000 ก็เรียกได้ว่า Madame Web นั้น “ธรรมดา” จนน่าใจหาย
และความธรรมดาที่ว่ายังติดมายังการเล่าเรื่องอีกด้วย ซึ่งควรจะใช้คำว่า “จืดชืด” น่าจะเหมาะสมกว่า เนื้อเรื่องของ Madame Web ไม่ได้มีอะไรพาคนดูไปไกลกว่าเกมแมววิ่งไล่จับหนู ระหว่างแคสซานดราและลูกหาบอีก 3 คน กับตัวร้ายในชุดแมงมุมสีดำอย่าง Ezekiel Sims (รับบทโดย Tahar Rahim) ที่ดูแสนจะกระท่อนกระแท่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อถูกนำมาแตกเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ตลอดทั้งเรื่องโดยไม่มีความสร้างสรรค์ จึงทำให้เกิดเป็นฉากที่ดูสิ้นเปลืองเวลาเกิดขึ้นหลายฉาก เลยไม่แปลกถ้าความเข้นข้นของการเล่าเรื่องจะจืดชืดอย่างที่กล่าวไป
แม้ตัวเรื่องจะพยายามเดินตามสูตรสำเร็จของภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่(ภาคกำเนิด)ในยุคนี้ ไล่ตั้งแต่การทำความรู้จักหน้าที่การงานของตัวละคร การประสบเหตุการณ์ที่ทำให้พลังที่หลับไหลตื่นขึ้นมา เรียนรู้และพยายามทำความเข้าใจพลังนั้นไปพร้อมๆ กับพยายามสืบหาประวัติและต้นต่อ ถูกตัวร้ายตามล่าหรือไม่ก็มีผู้นำทางเข้าสู่การเป็นฮีโร่ ต้องเดินทางตามหาแก่นแท้ของการเป็นฮีโร่ และจบลงด้วยการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้กับตัวละคร แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าทุกอย่างมันไม่ได้ถูกขัดเกลาและวางเนื้อเรื่องมาได้ดีพอ Madame Web จึงมีแต่การเล่าเรื่องทื่อๆ เพื่อนำเสนอให้ครบประเด็นไปอย่างนั้นเอง (อุตส่าห์ไม่ต้องไปผูกเรื่องกับจักรวาลหลักแล้วแท้ๆ)
นอกจากนั้นยังมีความไม่สมเหตุสมผลและรายละเอียดเล็กน้อยที่น่าขัดใจอีกหลายอย่าง ทั้งตัวของแคสซานดราที่ขโมยรถแท็กซี่มาขับตระเวนไปทั่วโดยไม่ถูกตำรวจจับ? (หรือตำรวจในยุคต้น 2000 จะไม่เข้มงวด) การทิ้งเด็กสาวไว้ในป่าตามลำพังเพื่อกลับมาอ่านบันทึกที่ห้อง? แรงจูงใจของตัวร้ายกับแผนการสุดบ้องตื้น? ยังไม่รวมความขัดตาเรื่องการใช้นักแสดงอายุ 20 ปีบวกๆ มาเล่นเป็นเด็กมัธยมที่การกระทำน่าปวดหัวอีก (เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้)
ข้อดีเดียว คือ การที่สามารถดึงเอาเสน่ห์ของนักแสดงสาวผู้รับบทแคสซานดรา เว็บบ์ อย่างดาโกตา จอห์นสัน (Dakota Johnson) ออกมาได้ดี คาแรคเตอร์ของหญิงสาววัยสามสิบที่มาพร้อมกับทรงผมหน้าม้าเข้ากับรูปหน้าและดวงตาอันชวนหลง ในชุดหนังสีแดงเลือดหมูและกางเกงยีนส์สมัยนิยม เป็นตัวละครที่ทั้งสวยและดูเท่ห์ไปในคราวเดียวกัน แต่ละครั้งที่กล้องจับที่ใบหน้าอันเย้ายวนของดาโกตามันก็ช่วยให้เกิดความชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หรือบางคนจะชอบซิดนีย์ สวีนีย์ (Sydney Sweeney) ในลุคสาวเนิร์ดสุดเรียบร้อยก็ไม่ว่ากัน ในขณะที่ อิสเบลา เมอร์เซด (Isabela Merced) และ เซเลสเต โอคอนเนอร์ (Celeste O’Connor) ก็มีสไตล์ของตัวเอง แต่ทั้งสามคนไม่มีบทบาทมากนักในภาคนี้
สรุป Madame Web อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่จนทนดูไม่ได้ แต่ในขณะที่เรามีภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่น่าตื่นตามากมาย การกลับไปเล่าแบบ Old School ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่เสี่ยงไม่น้อย และยิ่งขาดความสร้างสรรค์ในการนำเสนอ มันจึงเกิดเป็นความเชยเหมือนกับที่ตัวละครในเรื่องบอกว่าการแปะมือของแคสซานดราเชยนั่นแหละ (และขอเลยถ้ามีภาคต่อก็ช่วยออกแบบแว่นให้แคสซานดราใหม่ด้วย อย่าเอาแว่นอ๊อกเหล็กมาใส่เลยได้โปรด เสียดายหน้าสวยๆ ของดาโกตา)
Story Decoder