’พิธา‘ ชี้ ไทยรับผลกระทบวิกฤตเมียนมา ระบุ ถึงเวลาจับมืออาเซียน-จีน-อินเดีย ร่วมสางปัญหาสู่สันติ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4453133
’พิธา‘ ชี้ ไทยรับผลกระทบวิกฤตเมียนมา ยกเป็นพื้นที่กลางของทุกฝ่าย ระบุ ถึงเวลาจับมืออาเซียน-จีน-อินเดีย ร่วมสางปัญหาสู่สันติ
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่รัฐสภา ในช่วงบ่ายของการประชุมระดับนานาชาติและนิทรรศการ “
3 ปีหลังรัฐประหาร : สู่ประชาธิปไตยในเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนไทย” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร่วมวงพูดคุยในหัวข้อ “
การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างประเทศ” ในกรณีบทบาทของประเทศไทยต่อการแก้ไขวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้ โดยมีนาย
สุทธิชัย หยุ่น เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
โดยนาย
พิธาเริ่มต้นจากคำถาม ที่เกี่ยวกับกรณีการออกจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ประท้วงการจัดงานของรัฐสภาในครั้งนี้ โดยระบุว่า รัฐสภาเป็นสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายอยู่แล้ว ในฐานะตัวแทนประชาชนที่มีส่วนได้เสีย รวมทั้งการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารของรัฐบาล ซึ่งย่อมต้องรวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคงด้วย และในเมื่อผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมา ล้วนแต่ส่งผลในทางตรงต่อคนไทยในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ต้องจ้างงานคนเมียนมา ปัญหาไฟป่าจากฝั่งเมียนมาที่กลายมาเป็น PM 2.5 ในไทย ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีที่ตั้งอยู่ตามชายแดน ฯลฯ รัฐสภาไทยจึงย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา ตามหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ต้องพูดคุยแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่การแทรกแซง แต่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้
นาย
พิธาได้ตอบคำถามถึงกรณีที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมา ในการสร้าง “
ระเบียงมนุษยธรรม” เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม ผ่านสภากาชาดของทั้งสองประเทศ โดยนาย
พิธาชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นก้าวแรกที่ไปต่อได้ แต่ก็มีการวิจารณ์อยู่มาก ว่าการใช้สภากาชาดทั้งสองฝั่งอาจไม่ส่งผลดี เพราะสภากาชาดเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบรวมศูนย์ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและองค์กรอื่นๆ ซึ่งในกรณีของเมียนมา สภากาชาดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไม่สามารถเลือกฝั่งได้
ในช่วงหนึ่ง นาย
สุทธิชัยได้ถามนาย
พิธาต่อว่า หากได้เป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี สิ่งที่จะทำแตกต่างไปจากนี้คืออะไรบ้าง นาย
พิธาระบุว่า ต้องแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
นาย
พิธา กล่าวต่อว่า โดยในส่วนของระยะสั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แน่ๆ ก็คือการทะลักเข้ามาของผู้หนีภัยความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการประกาศเกณฑ์ทหารแบบใหม่ ซึ่งประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือ ศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มีขึ้นแล้ว ต้องเปิดให้มีบทบาทมากกว่าของหน่วยงานรัฐ แต่ต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทั้งในทางสาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจด้วย ระยะกลาง การมีบทบาทต่อสถานการณ์เมียนมา ต้องอาศัยมากกว่าบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหม แต่ต้องมีการบูรณาการทุกส่วนของรัฐบาลเข้ามา หรือในอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย เพราะเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับปัญหาระดับชาติหลายกรณี ทั้งนี้ บทบาทของประเทศไทยไม่อาจกระทำโดยลำพังได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้นำอาเซียน และประเทศที่มีพรมแดนร่วมกับเมียนมารวมถึงจีนและอินเดียด้วย ไทยไม่อาจขาดอาเซียนในการมีบทบาท และอาเซียนก็ไม่อาจขาดประเทศไทยในการเดินหน้าตามฉันทามติ 5 ข้อกรณีเมียนมาได้
นาย
พิธา กล่าวต่อไปว่า ในระยะยาว สิ่งที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทขึ้นมาได้ ก็คือการเป็นตัวกลางในการเจรจา เช่น อาจจะมี “
เชียงใหม่ ไดอะล็อก” ขึ้นมา ที่จะเป็นพื้นที่ในการเชิญทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานการณ์เมียนมาเข้ามาร่วมพูดคุยกัน โดยประเทศไทยมีศักยภาพจะทำสิ่งนี้ได้ ทั้งด้วยความใกล้ชิด และความรับผิดชอบที่ประเทศไทยมีในฐานะเพื่อนบ้าน
“
จากนายกรัมนตรีไปจนถึงนายกท้องถิ่น หากมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ย่อมสามารถบรรลุสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เวลานี้เหมาะสมแล้ว ที่การพูดคุยจะต้องเกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจาเพื่อนำไปสู่การหยุดยิง และประเทศไทยสามารถเป็นได้มากกว่าผู้ยืนดูอยู่ห่างๆ แต่สามารถมีบทบาทในการเป็นผู้สร้างพื้นที่พูดคุยได้” นาย
พิธากล่าว
‘รอง ปธ.สภา’ แจ้ง ‘บิ๊กป้อม’ ขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของวันประชุม เสี่ยงหลุด ส.ส.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4452956
‘รอง ปธ.สภา’ แจ้ง ‘บิ๊กป้อม’ ขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของวัน เสี่ยงหลุด ส.ส.
จากกรณี พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ โจมตีว่าพล.อ.
ประวิตร ไม่เคยเข้าร่วมประชุมสภาฯ โดยย้อนถามว่า การไม่เข้าร่วมผิดหรือเปล่า
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม นาย
ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ได้โพสต์ผ่าน x ถึงกรณีดังกล่าวว่า
ส.ส.ขาดประชุมได้ไม่เกิน 1 ใน 4 ของวันประชุมครับ ถ้าเกินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภา จะสิ้นสุดสมาชิกภาพครับ
https://twitter.com/ongpadipat/status/1764197046213611768
ด้อมส้มโคราชเอาใจแรงงานตั้งเครือข่ายภาคอีสาน ขับเคลื่อนกม.ตอบโจทย์การจ้างงานที่เป็นธรรม
https://siamrath.co.th/n/518696
วันที่ 3 มีนาคม 2567 เวลา 16.00 น. ที่อาคารอเนกประสงค์ “
อาภาญา” ชื่อเดิมห้างสรรพสินค้า “
คลังพลาซ่าจอมสุรางค์” เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นาง
ภัทรกาญจน์ ทองแดง ผู้ประสานงานพรรคก้าวไกล (กก.) โคราช พร้อมคณะทำงานจัดงาน “
รวมพลคนทำงานโคราช” กิจกรรมนาย
ทวีศักดิ์ ทักษิณ รองประธานสวัสดิการและสังคมและประธานอนุกรรมาธิการศึกษาด้านกฎหมายแรงงานในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน กก. พร้อม ส.ส. เขต จ.นครราชสีมา ประกอบด้วยนาย
ฉัตร สุภัทรวณิชย์ นาย
ปิยชาติ รูจิพรวศิน และนาย
ศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ พบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานและประชาชน
โดยแลกเปลี่ยนแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงาน เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นข้อเสนอการขับเคลื่อนกลุ่มแรงงานก้าวหน้าโคราช เพื่อผนึกกำลังเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน จากนั้นได้เสวนาให้ความรู้กฎหมายบางฉบับที่ล้าสมัยและไม่ตอบโจทย์การจ้างงาน
นาย
ทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า เป้าหมายสำคัญคือการจัดตั้งเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน เป็นสิ่งที่ทางพรรคให้ความสำคัญ ปัจจุบันมีแรงงานไทยทั้งในระบบและนอกระบบกว่า 20 ล้านคน กก.ได้ขับเคลื่อนผลักดันกฎหมายแรงงาน เช่น สิทธิ์แสดงตนเป็นแรงงานลูกจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน กรอบเวลา 40 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 5 วัน กำหนดวันลาพักร้อน การลางานเพื่อดูแลผู้ป่วยภายในครอบครัว รวมถึงสิทธิต่างๆที่ยังขาดหายไปสำหรับแรงงานลูกจ้าง ซึ่งจะนำเสนอ ครม.ในวันที่ 6 มี.ค นี้
อนุสรณ์ ชี้ 6 ปีที่ผ่านมาต่างชาติเมินลงทุนไทย หันซบ ‘เวียดนาม-อินโดฯ-มาเลย์’ จี้รบ.หาคำตอบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4453072
อนุสรณ์ ชี้ ศก.มะกันดีแต่หนี้พุ่งกระฉูด ฉุดค่าดอลล์-พันธบัตร ส่วนทอง-บิทคอยน์ทำนิวไฮ หวั่นรบ.กลางชัตดาวน์บางส่วน ทำตลาดการเงิน-ศก.โลกป่วน ชี้ 10 ปีที่ผ่านมาไทยบาทแข็งค่าสุดในอาเซียน ฉุดความสามารถแข่งขัน ต่างชาติหันลงทุนเวียดนาม-อินโด-มาเลย์แทน
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม รศ. ดร.
อนุสรณ์ ธรรมใจ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาล่าสุดยังคงแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวดี แต่หนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 34 ล้านล้านดอลลาร์อย่างถาวร เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก่อหนี้เพิ่มมากถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2024 อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง ขนาดของหนี้สาธารณะกว่า 34.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุกๆ 100 วัน สิ่งนี้จะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนและธนาคารกลางประเทศต่างๆลดการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม
ภาวะดังกล่าวทำให้ราคาทองคำและบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำนิวไฮ โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับขึ้นมากว่า 6% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ตั้งแต่ต้นปี จากการ approval of spot ETFs และ halving ที่กำลังจะเกิดขึ้น การที่รางวัลจากการขุด Bitcoin ลดลงทุก ๆ 4 ปี หมายความว่า อุปทาน (Supply) ของ Bitcoin ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีก ในขณะที่อุปสงค์ (Demand) ใน Bitcoin กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากข่าวที่บริษัทต่าง ๆ พากันเข้าซื้อ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Tesla, MicroStrategy, Square รวมถึงธนาคารระดับโลกที่เริ่มสนใจ Bitcoin เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Goldman Sach, หรือ Morgan Stanley เป็นต้น ท่ามกลางสภาวะที่อุปทานของ Bitcoin ลดน้อยลง ขณะที่อุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามทฤษฎีแล้ว ราคาของ Bitcoin จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving แต่ขอให้ นักลงทุน ระมัดระวังการเก็งกำไรเกินขนาด และ ฟองสบู่อาจแตกได้อีกรอบหนึ่ง
รศ. ดร.
อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า แม้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาสู่ระดับ 124.2% เทียบกับระดับ 122.9% ในไตรมาสก่อนหน้านี้ อันเป็นผลจากจีดีพีที่ขยายตัวดี สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเคยขึ้นไปแตะระดับ 130% ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2564 หลังการหดตัวของเศรษฐกิจรุนแรงจากการล็อคดาวน์ในปี พ.ศ. 2563 การที่สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะคงค้างจำนวนมหาศาลและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะนำไปสู่ความจำเป็นต้องปรับขึ้นภาษี และ ลดการใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต รวมทั้ง ความวิตก US Government Shutdown และความเสี่ยงในการปิดที่ทำการของรัฐบาลบางส่วนในรอบใหม่อาจป่วนตลาดการเงินโลกได้นอกจากนี้ โอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะใช้แนวทางการส่งออกเงินเฟ้อเพื่อลดมูลค่าการเป็นหนี้อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการกดดันการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในระยะยาว
ผลของแผนเศรษฐกิจ American Rescue Plan 1.9 ล้านล้านดอลลาร์และงบประมาณขนาดใหญ่ภายใต้ Build Back Better Campaign Agenda ของรัฐบาลโจ ไบเดน เมื่อบวกเข้ากับงบประมาณใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้สหรัฐอเมริกาแซงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฝรังเศส และเยอรมันในแง่ของสัดส่วนการใช้จ่ายทางการคลังที่เป็น Fiscal Support เทียบกับจีดีพี ทำให้ตลาดแรงงานเข้าสู่การจ้างงานเต็มที่ เศรษฐกิจขยายตัวสหรัฐอเมริกาขยายตัวดี แต่การทำงบประมาณขาดดุลมหาศาลเพื่อลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลายปีทำให้ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน
รศ. ดร.
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยผันผวนน้อยลง แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจลดลงตามลำดับ ไทยยังมีช่องว่างทางการคลัง สามารถใช้เงินกู้เพื่อการลงทุนยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจให้สูงขึ้นและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างฐานรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการบริโภคเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ ต่อต้านการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้ ผลการศึกษาเชิงประจักษ์ส่วนใหญ่พบวา การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบ Countercyclical มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค กล่าวคือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบ Countercyc
JJNY : 5in1 ’พิธา‘ชี้ไทยรับผลกระทบ│แจ้ง‘ป้อม’ขาดประชุม│ด้อมส้มโคราชเอาใจแรงงาน│6 ปีต่างชาติเมินลงทุน│ ตต.สหรัฐเผชิญพายุ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4453133
’พิธา‘ ชี้ ไทยรับผลกระทบวิกฤตเมียนมา ยกเป็นพื้นที่กลางของทุกฝ่าย ระบุ ถึงเวลาจับมืออาเซียน-จีน-อินเดีย ร่วมสางปัญหาสู่สันติ
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่รัฐสภา ในช่วงบ่ายของการประชุมระดับนานาชาติและนิทรรศการ “3 ปีหลังรัฐประหาร : สู่ประชาธิปไตยในเมียนมา และผลกระทบต่อความมั่นคงชายแดนไทย” นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ร่วมวงพูดคุยในหัวข้อ “การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างประเทศ” ในกรณีบทบาทของประเทศไทยต่อการแก้ไขวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้ โดยมีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
โดยนายพิธาเริ่มต้นจากคำถาม ที่เกี่ยวกับกรณีการออกจดหมายจากกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา ประท้วงการจัดงานของรัฐสภาในครั้งนี้ โดยระบุว่า รัฐสภาเป็นสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายอยู่แล้ว ในฐานะตัวแทนประชาชนที่มีส่วนได้เสีย รวมทั้งการตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารของรัฐบาล ซึ่งย่อมต้องรวมถึงนโยบายด้านการต่างประเทศและด้านความมั่นคงด้วย และในเมื่อผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมา ล้วนแต่ส่งผลในทางตรงต่อคนไทยในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่ต้องจ้างงานคนเมียนมา ปัญหาไฟป่าจากฝั่งเมียนมาที่กลายมาเป็น PM 2.5 ในไทย ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีที่ตั้งอยู่ตามชายแดน ฯลฯ รัฐสภาไทยจึงย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา ตามหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ต้องพูดคุยแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ใช่การแทรกแซง แต่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้
นายพิธาได้ตอบคำถามถึงกรณีที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมา ในการสร้าง “ระเบียงมนุษยธรรม” เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม ผ่านสภากาชาดของทั้งสองประเทศ โดยนายพิธาชี้ให้เห็นว่า แม้จะเป็นก้าวแรกที่ไปต่อได้ แต่ก็มีการวิจารณ์อยู่มาก ว่าการใช้สภากาชาดทั้งสองฝั่งอาจไม่ส่งผลดี เพราะสภากาชาดเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบรวมศูนย์ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและองค์กรอื่นๆ ซึ่งในกรณีของเมียนมา สภากาชาดอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไม่สามารถเลือกฝั่งได้
ในช่วงหนึ่ง นายสุทธิชัยได้ถามนายพิธาต่อว่า หากได้เป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี สิ่งที่จะทำแตกต่างไปจากนี้คืออะไรบ้าง นายพิธาระบุว่า ต้องแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
นายพิธา กล่าวต่อว่า โดยในส่วนของระยะสั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แน่ๆ ก็คือการทะลักเข้ามาของผู้หนีภัยความขัดแย้งระลอกใหม่ หลังการประกาศเกณฑ์ทหารแบบใหม่ ซึ่งประเทศไทยจะต้องเตรียมรับมือ ศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่มีขึ้นแล้ว ต้องเปิดให้มีบทบาทมากกว่าของหน่วยงานรัฐ แต่ต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทั้งในทางสาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจด้วย ระยะกลาง การมีบทบาทต่อสถานการณ์เมียนมา ต้องอาศัยมากกว่าบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหม แต่ต้องมีการบูรณาการทุกส่วนของรัฐบาลเข้ามา หรือในอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย เพราะเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับปัญหาระดับชาติหลายกรณี ทั้งนี้ บทบาทของประเทศไทยไม่อาจกระทำโดยลำพังได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งผู้นำอาเซียน และประเทศที่มีพรมแดนร่วมกับเมียนมารวมถึงจีนและอินเดียด้วย ไทยไม่อาจขาดอาเซียนในการมีบทบาท และอาเซียนก็ไม่อาจขาดประเทศไทยในการเดินหน้าตามฉันทามติ 5 ข้อกรณีเมียนมาได้
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า ในระยะยาว สิ่งที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทขึ้นมาได้ ก็คือการเป็นตัวกลางในการเจรจา เช่น อาจจะมี “เชียงใหม่ ไดอะล็อก” ขึ้นมา ที่จะเป็นพื้นที่ในการเชิญทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในสถานการณ์เมียนมาเข้ามาร่วมพูดคุยกัน โดยประเทศไทยมีศักยภาพจะทำสิ่งนี้ได้ ทั้งด้วยความใกล้ชิด และความรับผิดชอบที่ประเทศไทยมีในฐานะเพื่อนบ้าน
“จากนายกรัมนตรีไปจนถึงนายกท้องถิ่น หากมีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ย่อมสามารถบรรลุสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เวลานี้เหมาะสมแล้ว ที่การพูดคุยจะต้องเกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจาเพื่อนำไปสู่การหยุดยิง และประเทศไทยสามารถเป็นได้มากกว่าผู้ยืนดูอยู่ห่างๆ แต่สามารถมีบทบาทในการเป็นผู้สร้างพื้นที่พูดคุยได้” นายพิธากล่าว
‘รอง ปธ.สภา’ แจ้ง ‘บิ๊กป้อม’ ขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของวันประชุม เสี่ยงหลุด ส.ส.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4452956
‘รอง ปธ.สภา’ แจ้ง ‘บิ๊กป้อม’ ขาดประชุมเกิน 1 ใน 4 ของวัน เสี่ยงหลุด ส.ส.
จากกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ ส.ส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ โจมตีว่าพล.อ.ประวิตร ไม่เคยเข้าร่วมประชุมสภาฯ โดยย้อนถามว่า การไม่เข้าร่วมผิดหรือเปล่า
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มีนาคม นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ได้โพสต์ผ่าน x ถึงกรณีดังกล่าวว่า
ส.ส.ขาดประชุมได้ไม่เกิน 1 ใน 4 ของวันประชุมครับ ถ้าเกินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภา จะสิ้นสุดสมาชิกภาพครับ
https://twitter.com/ongpadipat/status/1764197046213611768
ด้อมส้มโคราชเอาใจแรงงานตั้งเครือข่ายภาคอีสาน ขับเคลื่อนกม.ตอบโจทย์การจ้างงานที่เป็นธรรม
https://siamrath.co.th/n/518696
วันที่ 3 มีนาคม 2567 เวลา 16.00 น. ที่อาคารอเนกประสงค์ “อาภาญา” ชื่อเดิมห้างสรรพสินค้า “คลังพลาซ่าจอมสุรางค์” เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นางภัทรกาญจน์ ทองแดง ผู้ประสานงานพรรคก้าวไกล (กก.) โคราช พร้อมคณะทำงานจัดงาน “รวมพลคนทำงานโคราช” กิจกรรมนายทวีศักดิ์ ทักษิณ รองประธานสวัสดิการและสังคมและประธานอนุกรรมาธิการศึกษาด้านกฎหมายแรงงานในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน กก. พร้อม ส.ส. เขต จ.นครราชสีมา ประกอบด้วยนายฉัตร สุภัทรวณิชย์ นายปิยชาติ รูจิพรวศิน และนายศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ พบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานและประชาชน
โดยแลกเปลี่ยนแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงาน เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นข้อเสนอการขับเคลื่อนกลุ่มแรงงานก้าวหน้าโคราช เพื่อผนึกกำลังเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน จากนั้นได้เสวนาให้ความรู้กฎหมายบางฉบับที่ล้าสมัยและไม่ตอบโจทย์การจ้างงาน
นายทวีศักดิ์ เปิดเผยว่า เป้าหมายสำคัญคือการจัดตั้งเครือข่ายแรงงานภาคอีสาน เป็นสิ่งที่ทางพรรคให้ความสำคัญ ปัจจุบันมีแรงงานไทยทั้งในระบบและนอกระบบกว่า 20 ล้านคน กก.ได้ขับเคลื่อนผลักดันกฎหมายแรงงาน เช่น สิทธิ์แสดงตนเป็นแรงงานลูกจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน กรอบเวลา 40 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 5 วัน กำหนดวันลาพักร้อน การลางานเพื่อดูแลผู้ป่วยภายในครอบครัว รวมถึงสิทธิต่างๆที่ยังขาดหายไปสำหรับแรงงานลูกจ้าง ซึ่งจะนำเสนอ ครม.ในวันที่ 6 มี.ค นี้
อนุสรณ์ ชี้ 6 ปีที่ผ่านมาต่างชาติเมินลงทุนไทย หันซบ ‘เวียดนาม-อินโดฯ-มาเลย์’ จี้รบ.หาคำตอบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4453072
อนุสรณ์ ชี้ ศก.มะกันดีแต่หนี้พุ่งกระฉูด ฉุดค่าดอลล์-พันธบัตร ส่วนทอง-บิทคอยน์ทำนิวไฮ หวั่นรบ.กลางชัตดาวน์บางส่วน ทำตลาดการเงิน-ศก.โลกป่วน ชี้ 10 ปีที่ผ่านมาไทยบาทแข็งค่าสุดในอาเซียน ฉุดความสามารถแข่งขัน ต่างชาติหันลงทุนเวียดนาม-อินโด-มาเลย์แทน
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาล่าสุดยังคงแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาขยายตัวดี แต่หนี้สาธารณะพุ่งทะลุ 34 ล้านล้านดอลลาร์อย่างถาวร เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก่อหนี้เพิ่มมากถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2024 อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง ขนาดของหนี้สาธารณะกว่า 34.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในทุกๆ 100 วัน สิ่งนี้จะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนและธนาคารกลางประเทศต่างๆลดการถือครองดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติม
ภาวะดังกล่าวทำให้ราคาทองคำและบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำนิวไฮ โดยราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับขึ้นมากว่า 6% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ ราคาบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ตั้งแต่ต้นปี จากการ approval of spot ETFs และ halving ที่กำลังจะเกิดขึ้น การที่รางวัลจากการขุด Bitcoin ลดลงทุก ๆ 4 ปี หมายความว่า อุปทาน (Supply) ของ Bitcoin ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีก ในขณะที่อุปสงค์ (Demand) ใน Bitcoin กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากข่าวที่บริษัทต่าง ๆ พากันเข้าซื้อ Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Tesla, MicroStrategy, Square รวมถึงธนาคารระดับโลกที่เริ่มสนใจ Bitcoin เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Goldman Sach, หรือ Morgan Stanley เป็นต้น ท่ามกลางสภาวะที่อุปทานของ Bitcoin ลดน้อยลง ขณะที่อุปสงค์กลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามทฤษฎีแล้ว ราคาของ Bitcoin จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving แต่ขอให้ นักลงทุน ระมัดระวังการเก็งกำไรเกินขนาด และ ฟองสบู่อาจแตกได้อีกรอบหนึ่ง
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า แม้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาสู่ระดับ 124.2% เทียบกับระดับ 122.9% ในไตรมาสก่อนหน้านี้ อันเป็นผลจากจีดีพีที่ขยายตัวดี สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเคยขึ้นไปแตะระดับ 130% ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2564 หลังการหดตัวของเศรษฐกิจรุนแรงจากการล็อคดาวน์ในปี พ.ศ. 2563 การที่สหรัฐอเมริกามีหนี้สาธารณะคงค้างจำนวนมหาศาลและยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะนำไปสู่ความจำเป็นต้องปรับขึ้นภาษี และ ลดการใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต รวมทั้ง ความวิตก US Government Shutdown และความเสี่ยงในการปิดที่ทำการของรัฐบาลบางส่วนในรอบใหม่อาจป่วนตลาดการเงินโลกได้นอกจากนี้ โอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะใช้แนวทางการส่งออกเงินเฟ้อเพื่อลดมูลค่าการเป็นหนี้อาจเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการกดดันการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในระยะยาว
ผลของแผนเศรษฐกิจ American Rescue Plan 1.9 ล้านล้านดอลลาร์และงบประมาณขนาดใหญ่ภายใต้ Build Back Better Campaign Agenda ของรัฐบาลโจ ไบเดน เมื่อบวกเข้ากับงบประมาณใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้สหรัฐอเมริกาแซงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ฝรังเศส และเยอรมันในแง่ของสัดส่วนการใช้จ่ายทางการคลังที่เป็น Fiscal Support เทียบกับจีดีพี ทำให้ตลาดแรงงานเข้าสู่การจ้างงานเต็มที่ เศรษฐกิจขยายตัวสหรัฐอเมริกาขยายตัวดี แต่การทำงบประมาณขาดดุลมหาศาลเพื่อลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องหลายปีทำให้ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นเดียวกัน
รศ. ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยผันผวนน้อยลง แต่ศักยภาพของเศรษฐกิจลดลงตามลำดับ ไทยยังมีช่องว่างทางการคลัง สามารถใช้เงินกู้เพื่อการลงทุนยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจให้สูงขึ้นและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างฐานรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการบริโภคเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ ต่อต้านการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้ ผลการศึกษาเชิงประจักษ์ส่วนใหญ่พบวา การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบ Countercyclical มีความสัมพันธ์เชิงลบกับความผันผวนของเศรษฐกิจมหภาค กล่าวคือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบ Countercyc