นิยายรักวัยรุ่น

กระทู้ข่าว
The Fault in Our Stars โดย John Green: เรื่องราวความรักที่กินใจเกี่ยวกับสองวัยรุ่นที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง  
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แม้จะผ่านมา 8 ปี แต่ The Fault in Our Starts ของ จอห์น กรีน (John Green) ก็ยังโอบกอดเราไว้เหมือนอ่านครั้งแรกในสมัยวัยรุ่น เล่มนี้ผุดขึ้นมาในหัวเป็นเล่มแรกเมื่อรุ่นน้องทักมาชวนคุยเรื่อง “หนังสือที่กอดคุณไว้” พร้อมความทรงจำของความรู้สึกหลังอ่านจบที่ยังไม่ลบเลือนว่า “ดีจังที่มีชีวิตอยู่”
The Fault in Our Stars ได้รับการโปรโมทในฐานะ “นิยายวัยรุ่น” “นิยายรัก” “หนังสือ YA (Young Adult” ตามหมวดหมู่ของวงการหนังสือในโลกสมัยใหม่ แต่ The Fault in Our Stars เป็นมากกว่านั้น ใช่ มันเป็นนิยายรักวัยรุ่นที่ไม่บกพร่องเรื่องรัก แต่มันยังพูดถึงจักรวาล ความเจ็บปวดของมนุษย์ การกลัวถูกลืมเลือนและปรัชญามากมายที่สะท้อนมหากาพย์ความเป็นมนุษย์ผ่านชีวิตเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ และเรื่องราวเล็กๆ ที่ชวนตัวเราเมื่อ 8 ปีที่แล้วให้ฉุกคิดครั้งแรกว่าบางทีการจากโลกนี้ไปโดยทิ้งร่องรอยไว้ให้น้อยที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด1
ก่อนจะชวนคุยว่าปรัชญาที่แฝงอยู่ใน The Fault in Our Stars มีอะไรบ้างขอเล่าเรื่องย่อสักเล็กน้อย (หลังจากนี้ สปอยล์หลายส่วนของหนังสือ)
.
เรื่องย่อ
เฮเซล เกรซ (Hazel Grace) ค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งไทรอยด์ตั้งแต่อายุ 13 มะเร็งลามไปที่ปอดจนทำให้เฮเซลต้องพกถังอ็อกซิเจนเพื่อช่วยหายใจติดตัวไปทุกที่จนถึงตอนนี้ที่เฮเซลอายุ 17 แม่ของเฮเซลที่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเฮเซลเต็มเวลาเห็นว่าเฮเซลน่าจะมีอาการซึมเศร้าเลยคะยั้นคะยอให้เฮเซลไปเข้ากลุ่ม Support Group สำหรับเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็งที่โบสถ์
เฮเซลมีวิธีเข้าใจโลกเฉพาะตัว เธออธิบายว่าแม่เข้าใจผิดที่คิดว่าเธอซึมเศร้าจากมะเร็ง แท้จริงอาการซึมเศร้าสำเป็นผลข้างเคียงของความตาย มะเร็งเองก็เป็นผลข้างเคียงของความตาย เกือบทุกอย่างในโลกนี้ก็เป็นแค่ผลข้างเคียงของความตาย แท้จริงแล้วมะเร็งก็แค่อยากมีชีวิตรอด มะเร็งเป็นแค่ผลข้างเคียงของวิวัฒนาการ ส่วนตัวเธอเองก็เป็นผลข้างเคียงของวิวัฒนาการเหมือนกัน
สุดท้ายเมื่อเฮเซลยอมไป Support Group เธอได้พบกับเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีชื่อ ออกัสตัส (Augustus) หรือกัส อดีตนักบาสเก็ตบอลโรงเรียนที่ทุกวันนี้ต้องใส่ขาเทียมแทนขาที่ตัดไปข้างหนึ่งจากมะเร็งในกระดูก ตัวกัสเองก็ไม่ได้ตั้งใจมา Support Group แต่มาเป็นเพื่อนไอแซคซึ่งกำลังจะตาบอดเพราะต้องรักษามะเร็งในตา  
ครั้งแรกที่เจอกันกัสกับเฮเซลก็ปะทันกันทางความคิดทันที ขณะที่กัสกลัวการถูกลืมเลือนชนิดที่ไม่มีใครบนโลกจำได้ที่สุดในชีวิต เฮเซลกลับคิดว่านี่เป็นคำตอบที่น่าขำที่สุด เธอบอกว่าสักวันหนึ่งบนโลกนี้ก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์อาศัยอยู่ จะไม่มีใครมีชีวิตอยู่เพื่อจำใครได้ทั้งนั้น เดี๋ยวทั้งพระอาทิตย์และโลกก็จะถูกกลืนหายไปในจักรวาล ฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลยว่าจะถูกลืม คนอื่นก็ไม่มีใครใส่ใจ เมื่อกัสได้ยินคำตอบเฮเซลก็ประหลาดใจจนเปรยออกมาว่าเฮเซลช่างต่างจากคนอื่นเสียจริง
กัสรอเจอเฮเซลหลังเลิก Support Group อยู่ๆ เขาก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาแล้วคีบไว้ระหว่างริมฝีปาก เฮเซลตำหนิอย่างรุนแรงว่าไม่เห็นเหรอว่าเธอต้องใช้ถังอ็อกซิเจน ควันบุหรี่อาจจะฆ่าเธอได้ กัสจึงได้โอกาสอธิบายแนวคิดที่เขายึดมั่นในชีวิตว่าบุหรี่ระหว่างริมฝีปากเป็นเพียงอุปมา เราอาจเอาสิ่งที่จะฆ่าเราไว้ที่ริมฝีปากได้ แต่เรามีสิทธิไม่จุดมัน เราเลือกได้
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็สานสัมพันธ์ผ่านการแลกหนังสือที่ชอบสุดอ่าน กัสขอให้เฮเซลอ่าน The Price of Dawn นิยายซอมบี้จากวิดิโอเกม ส่วนเฮเซลขอให้กัสอ่าน An Imperial Affliction นิยายที่จบกลางประโยค สิ่งที่เฮเซลอยากรู้ที่สุดในชีวิตคือตอนจบของหนังสือเล่มนี้ กัสจึงตัดสินใจเติมเต็มความฝันของเฮเซลด้วยการใช้ตั๋วขอพรสำหรับเด็กป่วยหนักพาเฮเซลไปอัมสเตอร์ดัมตามหาผู้แต่ง An Imperial Affliction เพื่อถามตอนจบของหนังสือ ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป สามารถอ่านต่อได้ในหนังสือ (หรือจะไปดูหนัง/อ่านเรื่องย่อที่อื่นก็ตามแต่ผู้เสพย์จะสะดวก)
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่