นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซของ Netflix อีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ จริงๆผมว่าหลายๆคนคงได้รับรู้ถึงความอลังการที่ซ่อนอยู่ในตัวอย่างกันไปบ้างแล้ว แต่ต้องขอบอกเลยว่าในเรื่องจริงๆ จัดเต็ม CG แบบจุกๆ ฉ่ำๆให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย นับว่าเป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์แซงหน้าซีรีส์เรื่องไหนๆของ Netflix ไปแล้ว แม้แต่วิชเชอร์ที่มีเนื้อหาแฟนซีก็หาสู้ได้ไม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือปมปัญหาของตัวละครต่างๆ เหตุผลของการกระทำ ผมยกให้เป็นบทที่ลงลึกไปยังตัวละครได้ค่อนข้างดีเรื่องหนึ่งเลย แต่การรีวิวนี้ผมจะไม่อ้างอิงจากการ์ตูนใดๆก่อนหน้าทั้งสิ้น เพราะผมไม่ได้ดู 5555 แต่ก็รู้ว่ามันสร้างจากการ์ตูน ผมจึงขอยึดหลักการเป็นผู้ดูแบบสดใหม่หน้างานเลยแล้วกัน ถ้าพร้อมกันแล้ว มาฟังรีวิวกันได้เลย!
เรื่องย่อ
มีชนเผ่าอยู่ 4 เผ่า ที่แต่ละเผ่ามีผลังในการควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่กระนั้นจะมีคนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ทุกธาตุ นั่นคือ “ผู้อวตาร” แต่ละชาติ ผู้อวตารจะถือกำเนิดไปยังเผ่าทั้ง 4 โดยจนถึงวาระของเผ่าลมที่ แอง เณรน้อย ได้เป็นผู้อวตารลงมาเกิด แต่ทว่า แอง ยังเด็กเกินไปที่จะรับหน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ ประกอบกับ เผ่าไฟได้ตั้งตนเป็นใหญ่กว่าเผ่าอื่นๆ และพยายามกำจัดผู้อวตารเพื่อที่จะขึ้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว แอง ต้องออกตามหาปรมาจารย์และความช่วยเหลือจากเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะพัฒนาตนเอง ขึ้นสู่ ผู้อวตาร แองต้องร่วมผจญภัยพร้อมกับผองเพื่อนของเขา เพื่อนำความสมดุลกลับมายังโลกให้ได้ก่อนจะสายเกินไป
บทภาพยนตร์
เรื่องนี้ต้องแยกออกเป็นสองทาง คือ บทที่ดีและบทที่ละเอียด
บทที่ดี/เสีย
โดยหากใครได้ชมในช่วงต้นๆของซีรีส์ เราจะพบว่า บทมีความเร่งรีบพอตัว คือจะดราม่าในการตายของใครมันก็ไม่ค่อยสุด เพราะแป๊บๆ เดี๋ยวก็ตัดไปต่อสู้แล้ว หรือต้องไปทำภารกิจแล้ว ผมเลยมองว่ามันรีบไปหน่อยทั้ง ๆที่ถ้าขยี่ดราม่าอีกนิด หรือถึงอารมณ์หน่อย มันจะซึ้งมาก เพราะมีการตายของตัวละครเยอะพอสมควรในเรื่อง แต่กระนั้นคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าหนังจะไม่ดี เพราะคุณจะถูกเสริฟด้วยฉากเปิดที่อลังการมากกกกกกกกก GC สวยสุด และฉากต่อสู้ที่ซัดกันไม่ยั้ง ทำให้เนื้อหาในส่วนที่ผมบ่นไป ก็อภัยให้ได้เลย เมื่อเทียบกับฉากและภาพสวยๆที่ได้เห็น แต่ไม่ใช่ว่าบทจะเร่งทั้งเรื่อง ถ้าคุณสามารถดูมาจนถึง ตอนที่ 4 5 6 คุณจะพบว่านี่คือกราฟของบทที่ขึ้นสูงที่สุด เพราะเป็นบทที่เปิดปมของตัวละครได้ดีมาก โดยเฉพาะปมของตัวร้าย หัวจุก หรือ พี่ ซูโก ของเรา จะอยู่ช่วงตอนที่ 6 ซึ่งตอนนี้พาร์ทดราม่าทำได้ถึงมาก พอเห็นปมปัญหาของพี่แกแล้ว เล่นเอาโกรธไม่ลงกันเลยทีเดียว หรือแม้แต่ปมของเพื่อนๆ เณร(แอง) ก็ตาม จะมาเปิดในช่วงอีพีที่ผมบอกไป แล้วมันทำให้เราเข้าใจตัวละคร เหตุผลของการกระทำต่างๆได้ชัดเจนมาก แต่ถึงกระนั้นบทก็แอบมีแผ่วตอนปลายทำให้ผมมองว่า ถ้าบทในช่วงอีพีที่ผมบอกไป ถูกเกลี่ยให้กราฟไปสุดถึงตอนปลายๆ จะเป็นอะไรที่ดีมาก นั่นคือข้อเสียข้อหนึ่งคือบทไปแผ่วตอนปลาย
บทที่ละเอียด
บทเรื่องนี้ละเอียดนะครับว่าไม่ได้ จะมีสักกี่เรื่องที่ปมปัญหาของตัวละครถูกกกระจายไปยังตัวละครกระกอบธรรมดาๆ เช่น ทหารรับจ้าง กลุ่มเด็กกำพร้า ชาวบ้านธรรมดา หรือผู้คุมนักโทษอันแสนสามัญชน คือเขาจะปล่อยไปก็ได้ แต่เขาไม่ปล่อยครับ แต่กลับเปิดให้เราเห็นว่าสงครามมันกระทบหมดไม่สนลูกใคร แม้แต่ทหารธรรมดาก็มีเหตุผลในการกระทำของเขา หรือแม้แต่ปิศาจที่ดูจะไม่ค่อยสำคัญ แต่หนังก็จับเหตุผลเข้าไปใส่ ทำให้มิติของตัวละครต่างๆ มันออกมาครบมาก เราจะไม่สงสัยเลยว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น เพราะเหตุผลของแต่ละคนมันตอบเราไปหมดแล้ว
ภาระอันใหญ่หลวงของผู้อวตาร และภาระหน้าที่ของเด็กที่ต้องแบกรับ
คือเรื่องนี้ถอดความเป็นแฟนซีออกไป ผมจะคิดว่าหนัง ผู้ใหญ่รังแกฉัน 5555 เพราะปมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกับเหล่าเด็กผู้กล้าพวกนี้ ล้วนมาจากผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ภาระหน้าที่ที่เกินตัว การพิสูจน์ตนเองให้พ่อแม่เห็น หรือแม้แต่การทำด้วยความจำใจในหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่มาจากความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ในเรื่องทั้งสิ้น อารมณ์พ่อแม่ฝากความหวังไว้ที่ลูกเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ เลยจ้องโยนภาระให้เด็กทำ ประมาณนั้น เราจะเห็นได้จากผู้นำเผ่าต่างๆ ดูมีความไม่เป็นผู้นำเลย หวาดกลัว หยิ่งผยอง หรือไม่ยอมรับในตัวตนของ แอง และเพื่อนๆของแอง ทั้งที่สถานการณ์ตรงหน้าจะตุยเย่ตายหมู่กันอยู่แล้ว มันเลยส่งผลให้เด็กทุกคนในเรื่องรับภาระที่ใหญ่เกินตัวไปมาก
การพิสูจน์ตนเอง
อันนี้ต้องขอยกบทบาทเจ้าแห่งการพิสูจน์ตนเองให้กับ ซูโก พี่หัวจุกของเรา 5555 คือเณรแองก็พิสูจน์ตนเองแหละกับเผ่าต่างๆ แต่อย่าลืมว่า เณรแองมีสถานะผู้อวตาร เพราะอย่างนั้นมันจึงง่ายกว่า พี่หัวจุกซูโก เพราะทุกคนยอมรับผู้อวตารอยู่แล้ว แต่คือพี่จุกเนี่ยต้องบอกเลยว่าพ่อไม่รัก พ่อรักน้องมากกว่า เพราะน้องดูแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมกว่า ทำให้ ซูโก ต้องพิสูจน์ตนเองโดยการตามหาผู้อวตาร หรือ แอง นั่นแหละ เพื่อทำให้พ่อเห็นว่าเขาเหมาะสมแก่การเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ โดยพื้นฐานเดิมทีของซูโกไม่ใช่คนโหดร้ายเลย มีเมตตาด้วยซ้ำ แต่กลับต้องโดยล้างสมองโดยผู้เป็นพ่อ ว่าความเมตตามันอ่อนแอ ทำให้ซูโกต้องแสดงความโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา เพื่อกลบความอ่อนแอ และความเมตตาในใจของเขาเอง ฉากในอีพี 6 ผม อยากกอดตัวละครตัวนี้มากเพราะมันโคตรจะน่าสงสาร เพราะถ้าเราได้เห็นสิ่งที่เขาเผชิญมาจากพ่อ และแรงกดดันของสังคมที่หล่อหลอมเขามา เราจะเข้าใจหัวอกตัวละครนี้เลย
ไม่มีใครเลวแต่กำเนิด และไม่มีใครดีแต่กำเนิดเช่นกัน
เห็นแบบนี้อย่าคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้จะจับเอา ธรรมมะชนกับฝ่ายอธรรมกันแบบเฉยๆนะ เพราะในเรื่องมันจะมีบางตัวละครที่พลิกจากดีเป็นร้าย หรือร้ายเป็นดีก็มี คือ มิติตัวละครมันค่อนข้างสวิง เดี๋ยวเราจะเอาใจช่วยตัวร้าย กลับกันบางทีก็เกลียดตัวดี หรือเข้าใจว่าทำไมตัวร้ายต้องทำอะไรแบบนั้น คือในเรื่องผมก็โกรธใครไม่ลง เพราะอย่างที่กล่าวไป มันมีเหตุผลของตัวมันเองหมด แม้กระทั่งปิศาจมันก็มี มันเลยค่อนข้างมีความเป็นมนุษย์สูงในด้านการกระทำ
“เจ้า กับ ข้า จะเป็นเพื่อนกันได้ไหม”
คำ ๆนี้ชอบมาก เล่นเอาน้ำตา คลอเลย มันเป็นประโยคในช่วงๆหนึ่งของซีรีส์ ที่แอง ถาม ซูโก มันแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วทุกความเกลียดชัง มันไม่ได้มีในหัวของเด็กพวกนี้เลย แต่มันถูกสงคราม การเมือง และสิ่งที่ผู้ใหญ่กระทำ ส่งผลกระทบมายังเด็กพวกนี้ ทั้ง ๆที่พื้นฐานโดยเนื้อแท้ มันมีแต่ความบริสุทธิ์อยู่ภายใน ทำให้ซูโก นิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเขาก็ไม่ได้อยากทำ แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำต่างหาก
ผู้เอาวตารเก่าและผู้อวตารหน้าใหม่
ในเรื่องเราจะเห็นเลยว่า แองมักถอดจิตไปขอความช่วยเหลือจากผู้อวตารคนเก่า และจะเถียงกับผู้อวตารก่อนหน้าเขาเสมอถึงภาระหน้าที่ที่แองจะต้องทำ เราจะเห็นสองชุดความคิดของความเก่าและใหม่เถียงกันในเรื่องที่ต่างกัน มันทำให้เราเห็นสภาพของเด็กและผู้อาวุโสพูดกันในเรื่องของวิธีการในแบบของตนเอง ว่าใครดีใครไม่ดี ใครถูกและใครผิด สิ่งที่แองมักจะได้กลับมาคือ การต้องเผชิญปัญหาคนเดียว ไม่สามารถลากใครไปด้วยได้ เพราะแอง คือผู้อวตาร เป็นผู้วิเศษกว่าชาวบ้าน กระนั้นก็ต้องเป็นผู้แบกรับทุกการกระทำของตนเองไว้ทั้งหมด มันคือความโชคดีปนความโชคร้ายของเขาเองด้วยไปในตัว ซึ่งแองมีความพยายามที่จะเปลี่ยนชุดความคิดแบบนี้ แสดงถึงทัศนะของยุคสมัยที่ต่างกันในรูปแบบความคิดของคนสองเจนในสังคมของเราได้ดีมากๆ
ยิ่งใหญ่แค่ไหน ความเจ็บปวดยิ่งเท่าทวีคูณ
อันนี้เห็นได้ชัดจากหนังหลายๆเรื่องเลยโดยเพราะเรื่องนี้ก็มีให้เห็นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น แอง เพื่อนอีกสองคนของแอง หรือซูโก เองก็ตาม ทุกคนล้วนผ่านความเจ็บปวดกันมาต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ที่แน่ๆคือหนักๆทั้งนั้น เป็นวลีเบสิว่า “ถ้าต้องการจะยิ่งใหญ่คุณต้องล้มและเจ็บปวดมาก่อน” จริงๆถือเป็นวลีที่เศร้าและก็เป็นวลีที่สัจธรรม เพราะไม่ว่าจะฮีโร่มาเวล กษัตริย์ นักรบ จอมทัพ ล้วนต้องผ่านการสูญเสียไม่อย่างใดอย่างหนึ่งไป เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าหรือยิ่งใหญ่กว่า แต่กระนั้นก็ต้องแลกมาซึ่งหลายอย่างเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน พ่อแม่ ความฝัน หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนตัวตนไปเลยก็ตาม มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายและตัวละครในเรื่องต่างแบกรับไว้ทั้งหมด
รีวิวไม่สปอย Avatar: The Last Airbender ความอลังการงานสร้างแบบตาแตก ที่ควรค่าแก่การรับชม
นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซของ Netflix อีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ จริงๆผมว่าหลายๆคนคงได้รับรู้ถึงความอลังการที่ซ่อนอยู่ในตัวอย่างกันไปบ้างแล้ว แต่ต้องขอบอกเลยว่าในเรื่องจริงๆ จัดเต็ม CG แบบจุกๆ ฉ่ำๆให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย นับว่าเป็นซีรีส์ฟอร์มยักษ์แซงหน้าซีรีส์เรื่องไหนๆของ Netflix ไปแล้ว แม้แต่วิชเชอร์ที่มีเนื้อหาแฟนซีก็หาสู้ได้ไม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือปมปัญหาของตัวละครต่างๆ เหตุผลของการกระทำ ผมยกให้เป็นบทที่ลงลึกไปยังตัวละครได้ค่อนข้างดีเรื่องหนึ่งเลย แต่การรีวิวนี้ผมจะไม่อ้างอิงจากการ์ตูนใดๆก่อนหน้าทั้งสิ้น เพราะผมไม่ได้ดู 5555 แต่ก็รู้ว่ามันสร้างจากการ์ตูน ผมจึงขอยึดหลักการเป็นผู้ดูแบบสดใหม่หน้างานเลยแล้วกัน ถ้าพร้อมกันแล้ว มาฟังรีวิวกันได้เลย!
เรื่องย่อ
มีชนเผ่าอยู่ 4 เผ่า ที่แต่ละเผ่ามีผลังในการควบคุมธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่กระนั้นจะมีคนเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้ทุกธาตุ นั่นคือ “ผู้อวตาร” แต่ละชาติ ผู้อวตารจะถือกำเนิดไปยังเผ่าทั้ง 4 โดยจนถึงวาระของเผ่าลมที่ แอง เณรน้อย ได้เป็นผู้อวตารลงมาเกิด แต่ทว่า แอง ยังเด็กเกินไปที่จะรับหน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ ประกอบกับ เผ่าไฟได้ตั้งตนเป็นใหญ่กว่าเผ่าอื่นๆ และพยายามกำจัดผู้อวตารเพื่อที่จะขึ้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว แอง ต้องออกตามหาปรมาจารย์และความช่วยเหลือจากเผ่าต่างๆ เพื่อที่จะพัฒนาตนเอง ขึ้นสู่ ผู้อวตาร แองต้องร่วมผจญภัยพร้อมกับผองเพื่อนของเขา เพื่อนำความสมดุลกลับมายังโลกให้ได้ก่อนจะสายเกินไป
บทภาพยนตร์
เรื่องนี้ต้องแยกออกเป็นสองทาง คือ บทที่ดีและบทที่ละเอียด
บทที่ดี/เสีย
โดยหากใครได้ชมในช่วงต้นๆของซีรีส์ เราจะพบว่า บทมีความเร่งรีบพอตัว คือจะดราม่าในการตายของใครมันก็ไม่ค่อยสุด เพราะแป๊บๆ เดี๋ยวก็ตัดไปต่อสู้แล้ว หรือต้องไปทำภารกิจแล้ว ผมเลยมองว่ามันรีบไปหน่อยทั้ง ๆที่ถ้าขยี่ดราม่าอีกนิด หรือถึงอารมณ์หน่อย มันจะซึ้งมาก เพราะมีการตายของตัวละครเยอะพอสมควรในเรื่อง แต่กระนั้นคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าหนังจะไม่ดี เพราะคุณจะถูกเสริฟด้วยฉากเปิดที่อลังการมากกกกกกกกก GC สวยสุด และฉากต่อสู้ที่ซัดกันไม่ยั้ง ทำให้เนื้อหาในส่วนที่ผมบ่นไป ก็อภัยให้ได้เลย เมื่อเทียบกับฉากและภาพสวยๆที่ได้เห็น แต่ไม่ใช่ว่าบทจะเร่งทั้งเรื่อง ถ้าคุณสามารถดูมาจนถึง ตอนที่ 4 5 6 คุณจะพบว่านี่คือกราฟของบทที่ขึ้นสูงที่สุด เพราะเป็นบทที่เปิดปมของตัวละครได้ดีมาก โดยเฉพาะปมของตัวร้าย หัวจุก หรือ พี่ ซูโก ของเรา จะอยู่ช่วงตอนที่ 6 ซึ่งตอนนี้พาร์ทดราม่าทำได้ถึงมาก พอเห็นปมปัญหาของพี่แกแล้ว เล่นเอาโกรธไม่ลงกันเลยทีเดียว หรือแม้แต่ปมของเพื่อนๆ เณร(แอง) ก็ตาม จะมาเปิดในช่วงอีพีที่ผมบอกไป แล้วมันทำให้เราเข้าใจตัวละคร เหตุผลของการกระทำต่างๆได้ชัดเจนมาก แต่ถึงกระนั้นบทก็แอบมีแผ่วตอนปลายทำให้ผมมองว่า ถ้าบทในช่วงอีพีที่ผมบอกไป ถูกเกลี่ยให้กราฟไปสุดถึงตอนปลายๆ จะเป็นอะไรที่ดีมาก นั่นคือข้อเสียข้อหนึ่งคือบทไปแผ่วตอนปลาย
บทที่ละเอียด
บทเรื่องนี้ละเอียดนะครับว่าไม่ได้ จะมีสักกี่เรื่องที่ปมปัญหาของตัวละครถูกกกระจายไปยังตัวละครกระกอบธรรมดาๆ เช่น ทหารรับจ้าง กลุ่มเด็กกำพร้า ชาวบ้านธรรมดา หรือผู้คุมนักโทษอันแสนสามัญชน คือเขาจะปล่อยไปก็ได้ แต่เขาไม่ปล่อยครับ แต่กลับเปิดให้เราเห็นว่าสงครามมันกระทบหมดไม่สนลูกใคร แม้แต่ทหารธรรมดาก็มีเหตุผลในการกระทำของเขา หรือแม้แต่ปิศาจที่ดูจะไม่ค่อยสำคัญ แต่หนังก็จับเหตุผลเข้าไปใส่ ทำให้มิติของตัวละครต่างๆ มันออกมาครบมาก เราจะไม่สงสัยเลยว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น เพราะเหตุผลของแต่ละคนมันตอบเราไปหมดแล้ว
ภาระอันใหญ่หลวงของผู้อวตาร และภาระหน้าที่ของเด็กที่ต้องแบกรับ
คือเรื่องนี้ถอดความเป็นแฟนซีออกไป ผมจะคิดว่าหนัง ผู้ใหญ่รังแกฉัน 5555 เพราะปมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกับเหล่าเด็กผู้กล้าพวกนี้ ล้วนมาจากผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ภาระหน้าที่ที่เกินตัว การพิสูจน์ตนเองให้พ่อแม่เห็น หรือแม้แต่การทำด้วยความจำใจในหน้าที่ เพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่มาจากความเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่ในเรื่องทั้งสิ้น อารมณ์พ่อแม่ฝากความหวังไว้ที่ลูกเพื่ออนาคตที่ดีกว่า เพราะพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้ เลยจ้องโยนภาระให้เด็กทำ ประมาณนั้น เราจะเห็นได้จากผู้นำเผ่าต่างๆ ดูมีความไม่เป็นผู้นำเลย หวาดกลัว หยิ่งผยอง หรือไม่ยอมรับในตัวตนของ แอง และเพื่อนๆของแอง ทั้งที่สถานการณ์ตรงหน้าจะตุยเย่ตายหมู่กันอยู่แล้ว มันเลยส่งผลให้เด็กทุกคนในเรื่องรับภาระที่ใหญ่เกินตัวไปมาก
การพิสูจน์ตนเอง
อันนี้ต้องขอยกบทบาทเจ้าแห่งการพิสูจน์ตนเองให้กับ ซูโก พี่หัวจุกของเรา 5555 คือเณรแองก็พิสูจน์ตนเองแหละกับเผ่าต่างๆ แต่อย่าลืมว่า เณรแองมีสถานะผู้อวตาร เพราะอย่างนั้นมันจึงง่ายกว่า พี่หัวจุกซูโก เพราะทุกคนยอมรับผู้อวตารอยู่แล้ว แต่คือพี่จุกเนี่ยต้องบอกเลยว่าพ่อไม่รัก พ่อรักน้องมากกว่า เพราะน้องดูแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมกว่า ทำให้ ซูโก ต้องพิสูจน์ตนเองโดยการตามหาผู้อวตาร หรือ แอง นั่นแหละ เพื่อทำให้พ่อเห็นว่าเขาเหมาะสมแก่การเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ โดยพื้นฐานเดิมทีของซูโกไม่ใช่คนโหดร้ายเลย มีเมตตาด้วยซ้ำ แต่กลับต้องโดยล้างสมองโดยผู้เป็นพ่อ ว่าความเมตตามันอ่อนแอ ทำให้ซูโกต้องแสดงความโกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลา เพื่อกลบความอ่อนแอ และความเมตตาในใจของเขาเอง ฉากในอีพี 6 ผม อยากกอดตัวละครตัวนี้มากเพราะมันโคตรจะน่าสงสาร เพราะถ้าเราได้เห็นสิ่งที่เขาเผชิญมาจากพ่อ และแรงกดดันของสังคมที่หล่อหลอมเขามา เราจะเข้าใจหัวอกตัวละครนี้เลย
ไม่มีใครเลวแต่กำเนิด และไม่มีใครดีแต่กำเนิดเช่นกัน
เห็นแบบนี้อย่าคิดว่าซีรีส์เรื่องนี้จะจับเอา ธรรมมะชนกับฝ่ายอธรรมกันแบบเฉยๆนะ เพราะในเรื่องมันจะมีบางตัวละครที่พลิกจากดีเป็นร้าย หรือร้ายเป็นดีก็มี คือ มิติตัวละครมันค่อนข้างสวิง เดี๋ยวเราจะเอาใจช่วยตัวร้าย กลับกันบางทีก็เกลียดตัวดี หรือเข้าใจว่าทำไมตัวร้ายต้องทำอะไรแบบนั้น คือในเรื่องผมก็โกรธใครไม่ลง เพราะอย่างที่กล่าวไป มันมีเหตุผลของตัวมันเองหมด แม้กระทั่งปิศาจมันก็มี มันเลยค่อนข้างมีความเป็นมนุษย์สูงในด้านการกระทำ
“เจ้า กับ ข้า จะเป็นเพื่อนกันได้ไหม”
คำ ๆนี้ชอบมาก เล่นเอาน้ำตา คลอเลย มันเป็นประโยคในช่วงๆหนึ่งของซีรีส์ ที่แอง ถาม ซูโก มันแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วทุกความเกลียดชัง มันไม่ได้มีในหัวของเด็กพวกนี้เลย แต่มันถูกสงคราม การเมือง และสิ่งที่ผู้ใหญ่กระทำ ส่งผลกระทบมายังเด็กพวกนี้ ทั้ง ๆที่พื้นฐานโดยเนื้อแท้ มันมีแต่ความบริสุทธิ์อยู่ภายใน ทำให้ซูโก นิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเขาก็ไม่ได้อยากทำ แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำต่างหาก
ผู้เอาวตารเก่าและผู้อวตารหน้าใหม่
ในเรื่องเราจะเห็นเลยว่า แองมักถอดจิตไปขอความช่วยเหลือจากผู้อวตารคนเก่า และจะเถียงกับผู้อวตารก่อนหน้าเขาเสมอถึงภาระหน้าที่ที่แองจะต้องทำ เราจะเห็นสองชุดความคิดของความเก่าและใหม่เถียงกันในเรื่องที่ต่างกัน มันทำให้เราเห็นสภาพของเด็กและผู้อาวุโสพูดกันในเรื่องของวิธีการในแบบของตนเอง ว่าใครดีใครไม่ดี ใครถูกและใครผิด สิ่งที่แองมักจะได้กลับมาคือ การต้องเผชิญปัญหาคนเดียว ไม่สามารถลากใครไปด้วยได้ เพราะแอง คือผู้อวตาร เป็นผู้วิเศษกว่าชาวบ้าน กระนั้นก็ต้องเป็นผู้แบกรับทุกการกระทำของตนเองไว้ทั้งหมด มันคือความโชคดีปนความโชคร้ายของเขาเองด้วยไปในตัว ซึ่งแองมีความพยายามที่จะเปลี่ยนชุดความคิดแบบนี้ แสดงถึงทัศนะของยุคสมัยที่ต่างกันในรูปแบบความคิดของคนสองเจนในสังคมของเราได้ดีมากๆ
ยิ่งใหญ่แค่ไหน ความเจ็บปวดยิ่งเท่าทวีคูณ
อันนี้เห็นได้ชัดจากหนังหลายๆเรื่องเลยโดยเพราะเรื่องนี้ก็มีให้เห็นเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น แอง เพื่อนอีกสองคนของแอง หรือซูโก เองก็ตาม ทุกคนล้วนผ่านความเจ็บปวดกันมาต่างกรรมต่างวาระกัน แต่ที่แน่ๆคือหนักๆทั้งนั้น เป็นวลีเบสิว่า “ถ้าต้องการจะยิ่งใหญ่คุณต้องล้มและเจ็บปวดมาก่อน” จริงๆถือเป็นวลีที่เศร้าและก็เป็นวลีที่สัจธรรม เพราะไม่ว่าจะฮีโร่มาเวล กษัตริย์ นักรบ จอมทัพ ล้วนต้องผ่านการสูญเสียไม่อย่างใดอย่างหนึ่งไป เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าหรือยิ่งใหญ่กว่า แต่กระนั้นก็ต้องแลกมาซึ่งหลายอย่างเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน พ่อแม่ ความฝัน หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนตัวตนไปเลยก็ตาม มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายและตัวละครในเรื่องต่างแบกรับไว้ทั้งหมด