JJNY : 5in1 “ก้าวไกล”เปิดตัว│ก้าวไกลชี้ 4 ข้อส.ป.ก.│สุดารัตน์ชี้วิชั่นเศรษฐา│ผู้นำตต.ให้กำลังใจยูเครน│ยังอยากให้รบต่อ

“ก้าวไกล” เปิดตัว “นพ.เลอศักดิ์” ชิงเก้าอี้ นายก อบจ.ภูเก็ต “พิธา” อ้อนคนภูเก็ตเลือก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_8111407

“ก้าวไกล” เปิดตัว “นพ.เลอศักดิ์” ชิงเก้าอี้ นายก อบจ.ภูเก็ต “พิธา” อ้อนคนภูเก็ตเลือก ต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ผนึกกำลังท้องถิ่น-นิติบัญญัติทำงานไร้รอยต่อ
 
วันที่ 24 ก.พ.2567 ที่สวนศรีภูวนาถ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พรรคก้าวไกล จัดเวที “จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะเปลี่ยนชีวิตคนภูเก็ต” เปิดตัว นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล เป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจ.ภูเก็ต(อบจ.ภูเก็ต) ในนามพรรค โดยมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส.ของพรรคก้าวไกลจ.ภูเก็ต ร่วมเวทีด้วย
 
นายพิธา กล่าวว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2568 ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นการเลือกตัวแทนมาทำหน้าที่ฝ่ายบริหารในพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะนายก อบจ.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีความใกล้ชิดและใช้ชีวิตอยู่กับประชาชนในพื้นที่
 
และหากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนก็สามารถอยู่ได้ถึง 2 สมัย หรือ 8 ปี จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง ต่างจากผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้ง และมีอายุราชการในจังหวัดนั้น ๆ โดยเฉลี่ยเพียงแค่ปีครึ่ง
 
นอกจากนี้ นายก อบจ. มีหน้าที่ดูแลจัดการบริการสาธารณะในพื้นที่ ซึ่งสำหรับ อบจ.ภูเก็ตได้รับงบประมาณปีละกว่า 1,200 ล้านบาท เป็นงบที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและสาธารณสุขเกือบครึ่ง ซึ่งตนกล่าวมาเช่นนี้แล้ว ก็มีเพียงนายแพทย์เลอศักดิ์ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะสามารถดูแลงบประมาณเพื่อพี่น้องชาวภูเก็ตได้
 
เพราะที่ผ่านมานายแพทย์เลอศักดิ์พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาระบบสาธารณสุขและปัญหาอื่น ๆ ในจังหวัดภูเก็ตมาโดยตลอด มาถึงตอนนี้จึงพร้อมแล้วที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาจากต้นเหตุ ผ่านนโยบายการบริหาร
 
นายพิธา กล่าวว่า ตนอยากฝากให้ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล ช่วยกลับมาเลือกตั้งนายก อบจ.ในช่วงต้นปี 2568 หากประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกผู้สมัครนายก อบจ.จากพรรคก้าวไกล เราจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
 
หากภารกิจต่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายครั้งนี้สำเร็จ จะทำให้การบริหารจังหวัดภูเก็ตเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ เพราะเรามี สส.ทั้ง 3 เขตที่ทำงานสะท้อนปัญหาในฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว หากมีนายก อบจ.ด้วยก็จะสามารถนำนโยบายและงบประมาณมาปฏิบัติจริงในจังหวัดได้


 
ก้าวไกล ชี้ 4 ข้อ สาเหตุที่ดินส.ป.ก.ทับซ้อน แนะเร่งสอบผู้ถือครอง เป็นเกษตรกรจริงไหม?
https://www.matichon.co.th/politics/news_4441351

“อภิชาติ” ชี้ ปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ทับซ้อนเขตอุทยาน เกิดจากข้อมูลหน่วยงานรัฐไม่เชื่อมโยงกัน จี้รัฐเร่งปรับปรุงแนวเขตที่ดินของแต่ละหน่วยงาน ตรวจสอบสิทธิผู้ถือครอง ส.ป.ก.ว่าเป็นเกษตรกรจริงหรือไม่ ด้วยกระบวนการที่ประชาชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วม ย้ำต้องไม่นำกรณีพิพาทนี้ไปตัดสิทธิประชาชนในพื้นที่อื่นที่ได้รับที่ดินมาอย่างถูกต้อง
 
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายอภิชาติ ศิริสุนทร สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการพบหลักหมุดที่ดิน ส.ป.ก.ทับซ้อนแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา อันนำมาซึ่งการติดตามตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับ 2 หน่วยงานหลัก ได้แก่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ
 
นายอภิชาติ กล่าวว่า พรรคก้าวไกล มีข้อสังเกตต่อเหตุการณ์นี้ใน 4 ประเด็นสำคัญ ประเด็นแรก ปัญหาข้อพิพาทแนวเขตที่ดินกรณีนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่ในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาแนวเขตที่ดินที่ทับซ้อนกันระหว่างหน่วยงานรัฐ และระหว่างหน่วยงานรัฐกับประชาชนเกิดขึ้นอยู่ตลอด ซึ่งล้วนแต่เกิดจากการที่แต่ละหน่วยงานใช้ข้อมูลคนละชุด รวมถึงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ทั้งแนวเขต ส.ป.ก. แนวเขตป่าอุทยานแห่งชาติ เขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือที่ดินอื่น ๆ ของรัฐที่ต่างมีการประกาศทับซ้อนกันจำนวนไม่น้อย รวมถึงกรณีทับซ้อนกับที่ดินเดิมของประชาชนที่ได้ใช้ประโยชน์มาก่อน
ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งรัดโครงการปรับปรุงแนวเขตที่ดินเพื่อยุติปัญหาและป้องกันปัญหาในอนาคต ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อถ่วงดุลและตรวจสอบข้อมูลร่วมกันจากหลายฝ่ายให้เป็นที่ยุติร่วมกัน และสร้างมาตรการเชิงระบบเพื่อป้องกันการประกาศแนวเขตที่ดินรัฐทับซ้อนที่ดินของประชาชนหรือซ้อนทับกันเอง
 
ประเด็นที่ 2 กรณีข้อพิพาทดังกล่าวพบข้อพิรุธหลายประการ เช่น การพิจารณาคุณสมบัติผู้ได้รับสิทธิ ส.ป.ก. ความถูกต้องของขั้นตอนการสำรวจรังวัดแปลงที่ดิน สภาพพื้นที่ไม่เหมาะสม ขัดแย้งกับการเป็นพื้นที่เกษตรปกติ ซึ่งอันที่จริงการได้มาซึ่งสิทธิในที่ ส.ป.ก.นั้นต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบพิจารณาหลายขั้น ทั้งชั้นเอกสารที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติ ขั้นสำรวจรังวัดแปลงที่ดิน การสอบสวนสิทธิ ตรวจสอบบัญชีคัดเลือกเกษตรกร ตรวจสอบระยะเวลาการถือครองที่ดิน หรือการแจ้งผลและคัดค้าน
 
ตัวอย่างกรณีนี้จำนวนหลายแปลง พบว่าผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ไม่ทราบว่าบุคคลที่มีชื่อได้รับการจัดสรรคือใคร ไม่พบว่าเป็นชาวบ้านที่ทำกินอยู่ในพื้นที่ เป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าผู้ได้รับการจัดสรรเป็นเกษตรกรตัวจริงหรือไม่ ส่อให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการทุจริตในการออก ส.ป.ก.​ ที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คนปัจจุบัน และส่วนหนึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งหากพบการกระทำความผิดจริงอาจจะมีเจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติการถูกดำเนินคดี แต่ประชาชนทั่วไปไม่มีทางรู้ว่ามีฝ่ายนโยบายเกี่ยวข้องหรือได้สั่งการหรือไม่ อย่างไร
 
นายอภิชาติ กล่าวต่อไปว่า มีความเป็นไปได้ที่ภายใต้กระแสนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์บางประการของที่ดิน ส.ป.ก. โดยใช้คำว่า “โฉนด ส.ป.ก.” ขณะนี้มีช่องว่างให้คนบางกลุ่มหรือกลุ่มนายทุนที่ไม่ใช่กลุ่มเกษตรกรตัวจริงแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หาช่องทางเพื่อเข้ามาจับจองถือครองพื้นที่มากยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมมาตรการป้องกันที่ดินรัฐหลุดมือจากประชาชนกลุ่มเกษตรกร จนกลายเป็นคำถามต่อมาว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่รับผิดชอบนโยบายนี้โดยตรง รวมถึงนายกรัฐมนตรี จะแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร และจะมีแนวทางป้องกันอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร
 
ประเด็นที่ 3 จากที่มีการอ้างข้อมูลว่า นอกจากพื้นที่เขาใหญ่แล้ว ยังพบการออก ส.ป.ก.ทับซ้อนเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ โดยจากการสำรวจอุทยานแห่งชาติ 142 แห่งพบพื้นที่ทับซ้อนประมาณ 205,000 ไร่ เฉพาะแค่พื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานก็สูงถึง 7-8 หมื่นไร่แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก และมีการแถลงจากสำนักงาน ส.ป.ก.ว่า “เราจะไม่จัดพื้นที่แนวกันชนให้กับเกษตรกรทำกินโดยเด็ดขาด
 
นายอภิชาติกล่าวว่า ประเด็นนี้ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพื้นที่แนวกันชนที่ถูกกล่าวอ้างว่าจะดำเนินการเพิกถอนทั้งหมดกว่าสองแสนไร่นั้นไม่ใช่ต้นตอของปัญหาทั้งหมด แต่เกิดจากกระบวนการขั้นตอนของหน่วยงานรัฐ ซึ่งต้องแยกแยะเป็นกรณี ไม่ควรจะนำเอาปัญหาพิพาทกรณีเดียวนี้ไปเหมารวมกับพื้นที่อื่น ๆ ทั้งประเทศ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ ส.ป.ก.อื่น ๆ ที่ดำเนินการถูกต้อง และมีประชาชนทำประโยชน์ตามสิทธิ จึงไม่ควรจะนำปัญหาเรื่องแนวเขตของรัฐที่ทับซ้อนกันและยังไม่มีความชัดเจนนี้ไปเป็นเงื่อนไขให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีสิทธิถูกต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างไม่เป็นธรรม
 
และ ประเด็นที่ 4 นโยบายด้านการปฏิรูปที่ดินมีความจำเป็นที่ต้องเป็นไปเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรรายย่อย ดังนั้น การพิจารณาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงนโยบาย ส.ป.ก.ควรเป็นไปด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นตั้งแต่ระดับชุมชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง บนฐานของข้อมูลข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์เชิงสหวิชาการอย่างรอบด้านเนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของประเทศที่สัมพันธ์โดยตรงกับปัญหาการจัดการที่ดิน ดังนั้น บทบาทของหน่วยงานด้านปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงไม่ควรทำเพียงแต่การจัดสรรที่ดิน แต่ควรมีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถพัฒนาอาชีพ เงินทุน สาธารณูปโภค การตลาด เพื่อสามารถรักษาที่ดินพร้อมกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนได้
 
นายอภิชาติ กล่าวทิ้งท้ายว่า หากรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาจริง ควรเร่งตรวจสอบข้อมูลสิทธิของผู้ได้รับ ส.ป.ก.ทั่วประเทศ เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลผู้ถือครองจริงในปัจจุบันว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรตามคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่งหากเป็นผู้ที่ผิดคุณสมบัติตามระเบียบกฎหมายต้องเร่งดำเนินการเพิกถอนสิทธิ และจัดสรรที่ดินให้กับกลุ่มเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้อง



สุดารัตน์ ชี้วิชั่นเศรษฐา ไร้เรื่องโครงสร้าง ต้นเหตุฉุดศก.โตต่ำ แนะ 5 แผนงาน ต้องแก้ไข
https://www.matichon.co.th/politics/news_4441009

“สุดารัตน์” ห่วงอนาคตไทย หลังฟังนายกโชว์วิสัยทัศน์ IGNITE Thailand ฟังแล้วกลายเป็น IGNORE Thailand ชี้ขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาโครงสร้างหลัก ที่เป็นอุปสรรคทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย “โตช้า โตต่ำ” กว่าศักยภาพ ระบุการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยั่งยืนไม่ใช่การ“แจกเงิน” แต่ต้อง“แจกโอกาส” เพื่อ“ช่วยคนตัวเล็ก ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน”
 
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) แสดงความห่วงใย หลังจากได้ฟังนายกฯแถลงวิสัยทัศน์ประเทศไทยในหัวข้อ IGNITE Thailand เห็นว่า นายกฯพยายามเสนอวิธีแก้ปัญหาหลายๆ ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคไทยสร้างไทยก็เห็นด้วย และจะสนับสนุนในหลายประเด็น แต่ที่นายกฯพูดเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ปลายเหตุ ที่เรายังมองไม่เห็นอนาคตของประเทศไทย
 
เพราะนายกฯไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาโครงสร้างหลักๆ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการฉุดรั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทย “โตช้า โตต่ำ” กว่าศักยภาพของประเทศ และไม่สร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทย
 
ไทยสร้างไทย ขอเสนอ 5 แผนงานในการแก้โครงสร้างสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้า และโตต่ำคือ
 
1. การพัฒนาศักยภาพคนไทย ให้ทันวิทยาการของโลกใหม่ เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ
 
การวิจัยพบว่าเด็กไทยตั้งแต่แรกเกิดจะมี IQ ใกล้เคียงกับเด็กทั่วโลก แต่หลังจาก 6 ขวบ IQ ของเด็กไทยจะน้อยกว่ามาตรฐานสากลอยู่ 1.8% สาเหตุสำคัญคือเด็กไทยไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอ

นอกจากนั้นต้องมีการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาใหม่ทั้งหมดการสอนที่ให้เด็กท่องจำไปแข่งกับ AI เราต้องสอนเด็กไทยให้เป็นผู้ควบคุมและใช้ AI ให้เป็น
ต้องลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาด้วยการใช้เทคโนโลยี ใช้ครูที่เก่งในวิชานั้นๆ ให้สอนออนไลน์จากกรุงเทพฯไปถึงยอดดอยได้ เช่นที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงริเริ่มไว้

2. การแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงวัย ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่มีผู้สูงวัยเต็มขั้น และจะเป็นประเทศสูงวัยขั้นสุดยอดในปี 2030 หรือมีผู้สูงวัยถึง 28% ของประชากร สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยมีลักษณะ “แก่จนเจ็บ” คือสังคมผู้สูงอายุที่มีแต่โรค สุขภาพไม่แข็งแรง ไม่มีเงินและสวัสดิการยามแก่ชราอย่างเพียงพอต่อการยังชีพ จึงทำให้กำลังซื้อของผู้สูงอายุไทยลดลง พรรคไทยสร้างไทยจึงเสนอบำนาญประชาชน 3,000 บาท เพื่อแก้ปัญหา สังคมผู้สูงวัย โดยเงิน 3,000 บาทจะให้พร้อมหน้าที่ โดยเฉพาะการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กลับมาทำงานได้ สร้างรายได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน และจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้ประเทศ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่