อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๒๐)

กระทู้สนทนา
(เขียนชื่อตอนผิด ความจริงตอนที่๒๑ ครับ)

อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๒๑ บินเดี่ยว (ต่อ)

(ต่อจากตอนที่แล้ว)
…ยุ่งแล้วครับทีนี้ ผมด่าตัวเองในใจไปด้วยขณะยืนงง หันมองรอบตัว และแม้จะไม่มีสัญญาณตอบรับแต่ผมยังคงกดโทรศัพท์ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้วนี่นา 

ผมออกเดินย้อนไปตามเส้นทางที่เขาพาเข้ามา กวาดตามองรอบด้านพลางกดโทรศัพท์ตลอดทาง สัญญาณถูกตัดผมกดโทรซ้ำ และแม้จะเดินออกมาไกลแล้วหากยังไม่มีวี่แววของเขาเลยสักนิด แต่ผมก็ต่อโทรศัพท์ติดจนได้ในที่สุด เพียงแต่ว่า…

“ผมเองครับฅนไทยนะครับ คุณอยู่ตรงไหน”

“ผมก็อยู่ข้างหน้านะครับแต่ไม่เห็นคุณเลย”

ผมพยายามพูดภาษาของเขาให้ชัดที่สุดเท่าที่จะชัดได้ แต่ดูจะไร้ผล เราสื่อสารกันไม่รู้เรื่องว่าอย่างนั้นเถอะ เขาบอกว่าเขาอยู่ข้างหน้านี่แหละ แล้วทำไมผมหาเขาไม่เจอล่ะ ทั้งที่โดยรอบแทบไม่มีใครสักฅนเลยด้วยซ้ำ ครั้นจะสอบถามให้ได้ใจความกว่านี้ก็ติดตรงภาษาอย่างที่บอก โดนหลอกแน่เลยเรา ครั้งแรกก็เจอดีเข้าแล้ว ผมได้แต่บอกตัวเองขณะเดินกลับมายังตัวปราสาทอีกครั้ง

รถรับจ้างคล้ายสกายแล็ปของบ้านเราสองสามคันจอดรอผู้โดยสารอยู่มุมหนึ่งหน้าปราสาท ผมเดินไปที่นั่น ขอให้ผู้ที่อยู่ตรงนั้นซึ่งคงจะเป็นเจ้าของรถช่วยพูดกับเขาที ให้บอกว่าผมอยู่ตรงนี้ 

สักพักหลังจากรับโทรศัพท์คืนรถของเขาก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าของผม

“ผมบอกแล้วไงว่าจะไปรอด้านหน้า” เขาพูดพลางชี้มือไปฝั่งตรงข้ามเมื่อรถจอดสนิท อ้าว ผมก็นึกว่าด้านนี้เป็นด้านหน้าเสียอีก

ผมมาทราบภายหลังว่าทางที่เขาพาผมเข้าไปนั้นคือประตูด้านใต้ ด้านหน้าของเขาคงหมายถึงทิศเหนือหรือฝั่งตรงข้าม

แล้วผมก็นึกได้ว่าก่อนเข้าไปเขาชี้มือชี้ไม้บอกอะไรสักอย่าง แต่ด้วยความรีบจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ตกลงว่างานนี้ผมร้อนอกร้อนใจไปเอง แต่คิดว่าถึงอย่างไรคงต้องสะพายกระเป๋าเข้าอ็องกอร์ตู๊จเองนั่นแหละ เพื่อความอุ่นใจครับ แฮ่…

ขณะออกจากอ็องกอร์ธมผมบอกเขาว่าจอดรถให้ผมได้ถ่ายภาพหน้าประตูทางเข้าด้วย เขาพยักหน้ารับ และจอดรถให้ผมได้ถ่ายภาพประตูจากด้านใน ซึ่งความจริงผมอยากถ่ายด้านหน้ามากกว่า เมื่อถ่ายเสร็จก่อนขึ้นรถจึงบอกว่าเดี๋ยวจอดรถด้านนอกให้ผมด้วยนะ เขาพยักหน้ารับเช่นเคย แต่เมื่อออกมาเขาทำท่าหันมองซ้ายขวาแล้วบิดเร่งคันเร่งออกมาเลย อ้าว ผมนึกว่าเขาเข้าใจแล้วเสียอีก ได้แต่งงว่าผิดพลาดตรงไหนวะเรา 

และในที่สุดเขาก็พาผมมาถึงอ็องกอร์ตู๊จ ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่ามันก็คือปราสาทที่ผมผ่านตอนเข้าไปอ็องกอร์ธมนั่นเอง (แล้วผมไปเสนอค่ารถเพิ่มให้เขาทำไมกันนี่) 

.
เพราะเป็นช่วงสงกรานต์ที่นี่จึงมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตาทีเดียว ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามทางเข้าจะมีร้านค้าหลายร้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของกินเสียมากกว่า และแต่ละร้านดูจะมีลูกค้าค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน

งานนี้ผมสะพายกระเป๋าเข้าไปแต่ลำพัง เดินดุ่ยไม่ได้สนใจอะไร และเพราะไม่ทราบข้อมูลอะไรเลยสักอย่างนั่นแหละผมจึงเดินปะปนไปกับนักท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ ซึ่งที่จริงผมควรจะรู้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปอ็องกอร์ธมแล้ว แต่นั่นถือเป็นข้อดี 

และไม่ว่าอย่างไรผมก็ข้ามสะพานผ่านซุ้มประตูไปสู่อ็องกอร์ตู๊จจนได้



อ็องกอร์ตู๊จกับความรู้สึกแรกที่ได้เห็นนั้น มันดูสวยงามและกว้างใหญ่กว่าที่คิดมากทีเดียว หากแต่มนต์เสน่ห์ต่าง ๆ ที่เคยมีดูจะมลายหายไปสิ้นแล้ว 

ในความรู้สึกตลอดมาของผมนั้น มันเป็นดินแดนลึกลับขรึมขลังด้วยมนต์เสน่ห์ หากที่เห็นตรงหน้ามันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของแขมร์เท่านั้น 

ผู้ฅนขวักไขว่จนหามุมถ่ายภาพแทบไม่ได้ มีแม่ค้าขายน้ำตาลสดข้างทาง ผมแวะซื้อแก้กระหายจากการที่นั่งรถมาครึ่งค่อนวันโดยไม่ได้กินอะไรเลย 

ทางเข้าด้านหน้ากำลังมีการบูรณะกันอยู่ ผมไม่อยากผ่านทางนั้น จึงเลี้ยวซ้ายผ่านมุมมหาชนซึ่งทุกฅนชอบถ่ายภาพตรงนี้กัน แต่วันนี้บึงบัวน้ำดูจะแห้งลงมากสักหน่อย ฟ้าก็ครึ้มตลอดไม่เหมาะกับการถ่ายภาพเอาเสียเลย มนต์เสน่ห์ต่าง ๆ ดูจะหายไปจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรผมยังหยุดถ่ายภาพสองสามภาพก่อนไปต่อ 



ด้านข้างนี้จะมีร้านขายของที่ระลึกเป็นแถวข้างทาง มนต์เสน่ห์ทั้งหลายแหล่มลายสิ้น
ผมเดินผ่านร้านค้าเหล่านั้นเข้าไป เมื่อถึงก็เดินเวียนขวาหนึ่งรอบ ถ่ายภาพไปด้วยในระหว่างนั้น และขึ้นสู่ชั้นถัดไป ฟ้าใกล้มืดเต็มที ผมจึงไม่ได้ดูอะไรมากนัก นอกจากรีบเดิน ถ่ายภาพ แล้วก็เดิน 



มีการสร้างบันไดไม้ครอบบันไดหินที่ชั้นสูงสุดเพื่อให้ขึ้นกันได้โดยสะดวก แต่ก็ยังค่อนข้างลำบากเพราะมีความลาดชันมากทีเดียว แถมฅนเยอะให้ต้องคอยระวันตอนสวนกันอีก 
หลังจากขึ้นไปวนได้หนึ่งรอบ (คราวนี้วนซ้าย) ผมก็กลับลงมา ตะวันต่ำลงมาก ไม่มีฟ้าสีทองเพราะเมฆฝนบดบังเอาไว้จนหมด (ขนาดมาหน้าร้อนแล้วนะ)



ในที่สุดผมก็ได้เยื่อนอ็องกอร์ว็อตแต่ผ่าน ๆ เพียงเท่านี้ คิดว่าสักวันผมต้องไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง ซึ่งคงต้องใช้เวลามากกว่านี้สักหน่อย อย่างน้อยก็ต้องมากพอตามหามนต์เสน่ห์ที่หายไปนั้นให้เจอจนได้ แฮ่ม

ฅนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างรอผมอยู่แล้วตรงทางเข้าออก ระหว่างนั่งรถกลับผมถามเขาเรื่องที่พัก ถามถึงเกสต์เฮ้าส์ราคาถูก แต่เขาบอกว่าฟังไม่ออก แม้ผมจะพยายามพูดภาษาของเขาด้วยการออกเสียงสารพัด พะตะซำนัก, พะตะซำเนียะ, พะเตียะซำนัก, พะเตียซำเนียะ, 

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังบอกว่าไม่รู้จัก และรู้จักแต่โรงแรม ผมถามว่าคืนละเท่าไร เขาบอกว่าพันกว่าบาท ซึ่งที่ผมทราบข้อมูลจากเพื่อนนั้นมันจะไม่กี่ร้อยเอง จึงถามเขาว่ามีถูกกว่านี้ไหม เขาทำท่าคิดก่อนบอกว่า แปดเก้าร้อยก็มี และด้วยความไม่ถนัดภาษานักอย่างที่บอก ผมจึงฟังแปดเก้าร้อยเป็นสามสี่ร้อยไปเสียอย่างนั้น จึงตอบตกลงกับเขาไป

ค่ำแล้วเมื่อเขาพาผมมาถึงโรงแรมที่พัก ค่อยยังชั่วหน่อยเพราะที่นี่พนักงานฅนหนึ่งจะพูดไทยได้ แต่ราคาค่าห้องจะมีแต่พันบาทขึ้นไปทั้งหมด มืดแล้วด้วย ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตกลงในที่สุด 

ก็ถือว่าไม่เลวนักหรอกกับค่าห้องหนึ่งพันของที่นี่ มีสระว่ายน้ำ มีอาหารเช้าให้หนึ่งมื้อ เพียงแต่ว่ามันเกินจากงบที่ผมคำนวณมาเยอะอยู่เหมือนกัน ทั้งค่ารถเครื่องนั่นด้วยที่ดูจะมากกว่าที่คิด ก็ได้แต่บอกตัวเองว่ามาฅนเดียวก็แบบนี้แหละ โดยไม่ได้รู้เลยว่า ผมนั้นโชคดีที่สุดแล้ว เพราะหากเป็นฅนอื่นจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเกือบพันทีเดียว ผมว่าหลายท่านที่เคยเยือนอ็องกอร์ว็อตคงพอเดาได้แล้ว หรือไม่ก็คงเอะใจนานแล้วว่าผมเล่าลัดขั้นตอนไหนไป

หลังจากล้มตัวบนที่นอนก็อดภูมิใจไม่ได้ ในที่สุดก็ได้มาเซียมเรียบ แถมมาฅนเดียวอีกต่างหาก (เก่งเหมือนกันนะเรา) แต่ก็เหงาน่าดู อยากท่องราตรีเซียมเรียบก็ไม่รู้จะทำอย่างไรมาฅนเดียวแบบนี้ ในที่สุดหลังจากอาบน้ำอาบท่า ออกไปหาอะไรกินแถวหน้าโรงแรม เดินเที่ยวตลาดกลางคืนเบียดไหล่กับฝรั่งสักพักผมก็ขึ้นมานอน



เซียมเรียบนี้ดูจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต่างจากบัตด็อมบองมาก เสียดายมีเวลาค่อนข้างน้อยจึงไม่อาจกล่าวถึงได้มากนัก แต่สิ่งแตกต่างอย่างหนึ่งซึ่งผมสัมผัสได้ก็คือ ตามปกตินั้นร้านค้าในขแมร์จะรับเงินทั้งสกุลดอลลาร์และบาทอยู่แล้ว เซียมเรียบก็เช่นกัน เพียงแต่ที่นี่ ไม่ว่าจ่ายด้วยเงินสกุลอะไรก็ตาม เราจะได้เงินทอนเป็นดอลล่าร์หมด ต่างจากที่อื่นที่บรรดาแม่ค้าชอบทอนเป็นเงินเรียลให้เรามากกว่า  เรียกว่าที่นี่ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักกันไปแล้วนั่นแหละครับ

ในที่สุดผมก็พกความภาคภูมิใจกลับบ้านในฐานะผู้เดินทางเพียงลำพังสู่เซียมเรียบ

“เสียค่าเข้านครวัดเท่าไร” ฅนทางบ้านที่เคยไปอ็องกอร์ว็อตกับคณะทัวร์ถามผมเมื่อเราได้คุยกัน ‘มันต้องเสียเงินด้วยหรือวะ’ ผมถามตัวเองก่อนหันไปถามเขาว่ามันต้องเสียด้วยเหรอ เขาเองก็ดูจะงงอยู่เหมือนกัน ผมพยายามบวกลบคูณหารเรื่องราวต่าง ๆ นี่แสดงว่าฅนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นพาผมเข้าอ็องกอร์ธมทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ซื้อบัตร นั่นเองเขาถึงทำท่าจะจอดตรงหน้าประตูแต่ไม่จอด เพราะเท่าที่เห็นจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ตรงนั้นหลายฅน ส่วนที่อ็องกอร์ตู๊จนั้นผมว่าการที่ผมเดินดุ่ย ๆ ไปฅนเดียวนั่นแหละ ที่ทำให้พวกเขาคิดว่าผมเป็นขแมร์ (บอกแล้วว่าหน้ามันให้)

และในที่สุดคงต้องขอจบบทนี้ลงแต่เพียงเท่านี้ ได้โปรดติดตามตอนต่อไป.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่